ตอนที่แล้วตอนที่ 370 - อาสี่ลาลับ, รับภาระครอบครัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 372 - อสูรที่ต้องการทำสัญญากับคัมภีร์?

ตอนที่ 371 - พี่ชายจงเจริญ!


เย่ว์หยางต้องการไปจากวังเทียนหลัวพร้อมกับแม่สี่และหนูน้อยเย่ว์ซวงโดยพาพวกนางเข้าไปอยู่ในโลกคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม แม่สี่ไม่เห็นด้วยกับเขา

“จักรพรรดินีราตรี พูดไว้แล้วว่าภายในมิติลวงนั้นปลอดภัยมาก แม้แต่นักสู้ปราณก่อกำเนิดก็ไม่อาจเข้าไปได้ง่ายๆ ถ้าข้าติดตามเจ้ากลับไปยังปราสาทตระกูลเย่ว์หรือภายในโลกคัมภีร์ของเจ้า กลับจะเป็นการรบกวนการฝึกฝนของเจ้าแน่นอน ข้าไม่อยากรบกวนเจ้า ข้าแค่หวังให้เจ้าพยายามอย่างดีที่สุด ถ้าเจ้ามีเวลาก็ให้มาเยี่ยมข้าที่นี่ และในที่สุดเมื่อเจ้าแข็งแกร่งเพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องกลัวศัตรูของเจ้า เราค่อยกลับไปที่บ้านน้อยในเมืองไป๋ฉือกัน!”

“อย่างนั้นก็ได้” เย่ว์หยางไม่รบเร้า และอยู่ในมิติลวงกับแม่สี่อีกสองวัน ในที่สุดเขาพาหนูน้อยเย่ว์ซวงกลับไปยังปราสาทตระกูลเย่ว์

ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่มองดูชราภาพมากกว่าแต่ก่อน

อย่างไรก็ตาม หลังของเขายังคงตั้งตรงอย่างเห็นได้ชัด

เขาหยิบคำสั่งเสียที่อาสี่ได้เขียนไว้ให้เย่ว์หยางและพยักหน้า “ข้าไม่เป็นไร, เมื่อย่าและบิดาของเจ้าล่วงลับจากเราไปตอนนั้น ข้าก็ยังข่มความเศร้าโศกจากการตายของพวกเขาได้ เรื่องของอาสี่ของเจ้าคงไม่ถึงกับให้ข้าตายได้แน่ ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ข้าจะดูแลตระกูลเย่ว์ให้ดี อย่างไรก็ตาม เมื่อข้าจากไปแล้ว ข้าคงต้องมอบภาระยุ่งยากให้กับเจ้าคอยดูแลตระกูลนี้ด้วย!”

จุนอู๋โหย่ว, อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าและคนอื่นๆ เข้ามาร่วมแสดงความเสียใจ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้พูดอะไรมาก ได้แต่เพียงตบไหล่เย่ว์หยางเท่านั้น

หลังจากอ่านคำสั่งเสียแล้ว เย่ว์หยางอยู่เงียบๆ เป็นเวลานาน

หลังจากนั้น เขาขอให้พ่อบ้านส่งจดหมายเชิญสี่ตระกูลใหญ่, สามราชตระกูลและสี่นิกายใหญ่มายังตระกูลเย่ว์เพื่อเป็นประจักษ์พยานในการทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญของหนูน้อยเย่ว์ซวง

ถ้าเป็นคนอื่น พวกเขาคงจะแค่นเสียงไม่พอใจเรื่องเช่นนี้เป็นแน่ เป็นไปได้อย่างไรที่ใครๆ จะทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญแค่เพราะมีคนพูดว่าพวกเขาทำได้?

แม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาที่สมาชิกของสี่ตระกูลใหญ่จะทำสัญญากับคัมภีร์ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถทำสัญญาเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการก็ได้

การเป็นประจักษ์พยานให้ใครบางคนทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญ ว่ากันตามความเป็นจริงแล้วนับเป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้ยินเรื่องเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม คนที่ส่งคำเชิญนี้ไม่ใช่ใคร หากแต่เป็นยอดมนุษย์ที่ไม่เหมือนผู้ใดในโลก คุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ ฉะนั้น จึงไม่มีผู้ใดสงสัยถึงความเป็นไปได้เช่นนั้น

ในโลกนี้ ยังมีอะไรที่คาดไม่ถึงมากไปกว่าการที่คนวัยยี่สิบบรรลุขอบเขตแดนปราณก่อกำเนิดอีกเล่า? ปาฏิหาริย์ที่คุณชายสามตระกูลเย่ว์สร้างขึ้นไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้ง ปาฏิหาริย์คาดไม่ถึงที่เย่ว์หยางได้สร้างขึ้นมานั้นนับไม่ถ้วน อาทิเช่น มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อราชันย์จ้าวปีศาจบารุธส่งคำกล่าวหารุนแรงไปให้ผู้เฒ่าหนานกงจากพันธมิตรปราณก่อกำเนิดกล่าวหาว่า มีเด็กมนุษย์คนหนึ่งนามเย่ว์หยางบุกรุกวังปีศาจโดยไม่มีเหตุผลอันควร ทำลายรูปปั้นจ้าวปีศาจ ทำร้ายทหารปีศาจบาดเจ็บนับไม่ถ้วน เขายังขโมยอสูรและฆ่าสหายที่มาขอความคุ้มครองในแดนปีศาจอีกด้วย ราชันย์จ้าวปีศาจบารุธย้ำว่านักสู้จากทวีปมังกรทะยานจะต้องให้คำอธิบายพวกเขาถึงเหตุการณ์ละเมิดสนธิสัญญาพันธมิตรปราณก่อกำเนิดครั้งใหญ่ด้วย มิฉะนั้น แดนปีศาจจะทำทุกวิถีทางเพื่อรุกรานทวีปมังกรทะยานบ้าง

ตลอดเวลาที่ผ่านมามักเป็นนักรบจากทวีปมังกรทะยานที่เป็นฝ่ายฟ้องร้องเรื่องจ้าวปีศาจ พอเห็นจ้าวปีศาจฟ้องร้องทวีปมังกรทะยานนับเป็นเรื่องที่พันปีถึงจะเกิดสักครั้ง

ผู้คนไม่รู้เรื่องว่าผู้เฒ่าหนานกงพูดอะไรกับราชันย์จ้าวปีศาจบารุธ แต่ในที่สุด บารุธไม่พูดถึงเรื่องรุกรานทวีปมังกรทะยานอีกต่อไป

ทุกคนรู้อยู่อย่างหนึ่ง

นั่นก็คือ คุณชายสามตระกูลเย่ว์ได้บุกรุกเข้าไปในวังปีศาจ พวกเขาไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่เล่นงานอะไรกับราชินีปีศาจหรือนางสนมปีศาจ หรือว่าล่อลวงองค์หญิงปีศาจ แต่ว่าจะมีสักกี่คนจากทวีปมังกรทะยานที่บุกวังหลวงปีศาจแล้วกลับมายังทวีปมังกรทะยานได้อย่างปลอดภัย?

แม้ผ่านไปสามร้อยปีจากนั้น ยังจะมีคนที่ผิดธรรมดาเหมือนอย่างคุณชายสามตระกูลเย่ว์หรือไม่

ผู้คนอาจไม่ให้เกียรติจักรพรรดิของพวกเขา? แต่พวกเขาจะไม่ให้เกียรติวีรบุรุษได้อย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งวีรบุรุษผู้บุกเข้าวังปีศาจซึ่งเป็นสถานที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจไปถึงได้ ใครก็ตามที่ริษยาและต้องการหาข้อผิดพลาดในตัวคุณชายสามตระกูลเย่ว์ ต้องการถือโอกาสคุยโอ่ถึงความน่ากลัวของพวกเขา ทุกคนก็จะรีบขัดจังหวะพวกเขาด้วยคำว่า “ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ลองไปวังหลวงปีศาจด้วยตัวเองดูบ้างเล่า?”

ยิ่งกว่านั้น เย่ว์หยางยังเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนหนึ่ง ศักยภาพของเขาไม่มีจำกัด และจื่อจุนก็ยังเป็นผู้แนะนำของเขา

ต่อให้เย่ว์หยางไม่อาจส่งคำเชิญแขกผู้มีเกียรติได้ทั้งโลก แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการฉวยโอกาสมาเยี่ยมและสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กหนุ่มที่ไม่ธรรมดาผู้นี้ ทันทีที่พวกเขาสร้างสัมพันธ์ที่ดีได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหาแน่นอน

ราชันย์ฟ้าตะวันออกและตะวันตกทั้งสอง, ขุนพลเฒ่าหม่าและราชทูตของจักรพรรดิหัวซิ่วรี่, เฟิงเสี่ยวหวิน, เฟิงขวง, เฟิงชิซาจากตระกูลเฟิง, เสวี่ยเวิ่นเต้าจากตระกูลเสวี่ย, เหยียนเชียนจ้งและเหยียนพั่วจวินจากตระกูลเหยียน, เจ้าเมืองไป๋ฉือ, จอมยุทธดาบทอง, อาจารย์ตาเหยี่ยว, องค์ชายแห่งต้าเซี่ย, ทูตแห่งอาณาจักรสือจิน, ผู้อาวุโสจากเจดีย์ราชสีห์, ผู้เฒ่ากู่หมิงจากนิกายเขาหมอกลอยฟ้า, ทูตมังกรปี้ปัวจากนิกายปราสาทแก้วและจอมกระบี่หานซิงจากนิกายตำหนักภูตจันทรา

พวกที่มานั้น บางคนก็เป็นสมาชิกตระกูลใหญ่, นิกายใหญ่, ราชตระกูลใหญ่ หรือเป็นเจ้าเมืองที่เย่ว์หยางมิได้เชิญ

พวกเขามาโดยมิได้รับเชิญ ดูเหมือนพวกเขาจะมีมารยาท แต่ในความเป็นจริงพวกเขาพยายามสร้างสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลเย่ว์และแนะนำว่าตนเองเป็นชนชั้นสูง เป็นศูนย์กลางผู้เชี่ยวชาญระดับสูง

ตัวอย่างเช่น ตระกูลไห่ของเจ้าอ้วนไห่และตระกูลเย่ของเย่คง ถือว่าเป็นตระกูลไม่มีชื่อเสียง คนอื่นๆ มักจะดูแคลนในก่อนนั้น แต่พอคนในตระกูลพวกเขามีสัมพันธ์ที่ดีกับเย่ว์หยาง พวกเขาก็พลอยได้หน้าตายกระดับตระกูลไปด้วย

นักสู้อีกมากต่างก็พาบุตรของตนมาด้วย

แน่นอนว่า พวกเขามิได้คาดหวังว่าเย่ว์หยางอาจจะชอบบุตรของพวกเขาและหมั้นหมายหนูน้อยเย่ว์ซวงกับบุตรของเขาก็เป็นได้ ไม่มีผู้ใดกล้าคิดเช่นนั้น เพราะดูเหมือนว่าถ้าบุตรของพวกเขามิได้เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด พวกเขาก็คงจะเข้ากันไม่ได้

แรงบันดาลใจที่แท้จริงของพวกเขาก็คืออยากให้เย่ว์หยางได้เห็นลูกของพวกเขาว่ามีศักยภาพ และเพื่อให้เย่ว์หยางได้ให้คำแนะนำเขาซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของบุตรพวกเขา

มีคนที่รู้ว่าสิ่งที่ไม่ธรรมดาที่สุดเกี่ยวกับเย่ว์หยาง ไม่ใช่ความสามารถในการฝึกฝนของตัวเขาเอง แต่เป็นการค้นหาอัจฉริยภาพ

คนที่ไร้ประโยชน์อย่างเย่คงและเจ้าอ้วนไห่และนักผจญภัยธรรมดาอย่างพี่น้องตระกูลหลี่ซึ่งไม่เคยมีที่ยืนที่โดดเด่นในหมู่ผู้คนเมื่อก่อนนั้น กลายเป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมในเวลาเพียงไม่กี่เดือนภายใต้คำแนะนำของเย่ว์หยาง พวกเขาได้รับพิจารณาถูกจัดให้อยู่ในระดับเดียวกับเสวี่ยทันหลาง, เหยียนพั่วจวิน, เฟิงชิซาซึ่งได้รับการฟูมฟักเป็นอย่างดีภายใต้การดูแลของตระกูลใหญ่ทั้งสี่ เกี่ยวเรื่องอสูรสายพฤกษาที่ถูกจัดว่าเป็นอสูรชั้นแย่ที่สุดและใช้เป็นแค่อุปกรณ์การเรียนการสอนในสถาบัน… แต่ภายใต้การดูแลของเย่ว์หยาง เขาได้ฟูมฟักดูแลจนนางพญาดอกหนามมงกุฏทองที่มีพลังสามารถสังหารเจ้าปีศาจคุกโลกหิตในตำนาน ได้ถือกำเนิดอีกครั้ง

นี่คือส่วนที่น่ากลัวที่สุดของเย่ว์หยาง เขาทำให้คนรอบๆ ตัวเขาน่ากลัวและมีพลังไปด้วย

มีอาคันตุกะมากมาย แต่เว้นกลุ่มที่มีอำนาจแล้ว ตามปกติผู้เฒ่าเย่ว์ไห่จะไม่ได้ไปต้อนรับพวกเขาด้วยตนเอง

เย่ว์หยางก็คร้านเกินกว่าจะขยับไปในที่ใดๆ

เขาเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด แน่นอนว่าเขามีสิทธิพิเศษนี้ ถ้าเขาต้องออกไปต้อนรับทุกคน จะมิเป็นการทำให้อาคันตุกะตกใจกระนั้นหรือ? ยังจะมีผู้ใดกล้าเข้ามา?

ลุงรองเย่ว์หลิ่ง รักษาการประมุขตระกูลก็กำลังวุ่น แต่ก็ต้อนรับประชาสัมพันธ์จัดเลี้ยงอาคันตุกะเป็นอย่างดี หลังจากผ่านปัญหาครอบครัวมามากมายแล้ว เขากลายเป็นคนจิตใจเปิดเผยและลดความถือดี เขาทักทายคนจากตระกูลใหญ่น้อยอย่างเป็นกันเอง สร้างชื่อเสียงที่ดีงามให้กับตระกูลเย่ว์ในหมู่คนทั่วไป

เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนหมดความพยศอวดดี และกลายเป็นคนว่าง่ายมากขึ้น ขณะที่พวกเขาตัดสินใจเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

พวกเขายังออกไปปฏิสันถารกับอาคันตุกะที่เข้ามา แม้บางคนอาจจะเคยขัดแย้งกันในอดีต

บางทีพวกเขาคงไม่คิดกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด ขณะที่พวกเขารู้ว่ามันอาจเป็นไปไม่ได้ แต่พวกเขาก็หวังว่า อย่างน้อยขอให้พวกเขาได้เป็นนักสู้ระดับ 7 หรือระดับ 8 ในเวลาที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ นี่คือฝันของพวกเขา แน่นอนว่านี่ก็เป็นความตั้งใจเดิมของพวกเขาเช่นกัน

เหยียนพั่วจวินและเฟิงชิซาเข้ามาเยี่ยมพบเย่ว์หยางโดยเจาะจง และต้องการแสดงความนับถือเขา เหมือนอย่างที่เขามีต่อบิดา แต่เย่ว์หยางใจกว้างพอที่จะช่วยพวกเขาและพูดคุยกับพวกเขา ให้คำแนะนำกับพวกเขากลายๆ ทำให้ทั้งสองคนปลาบปลื้มมาก ในฐานะเป็นพ่อคน เหยียนเชียนจ้งและเฟิงเสี่ยวหวินตื่นเต้นจนน้ำตาคลอ มีคำที่กล่าวกันว่า “เปรียบเทียบสินค้าไม่ใช่เรื่องน่ากลัว, แต่เปรียบเทียบคนกลับเป็นเรื่องน่ากลัว”

ทั้งสองคนนี้เป็นส่วนหนึ่งของสามดาวเพชฌฆาต แต่เสวี่ยทันหลางเหนือล้ำพวกเขาจนกลายเป็นผู้มีพลังที่สุดในกลุ่มสามคนนี้ อย่าว่าแต่เป็นนักสู้ระดับ 7 หรือระดับ 8 เลย เสวี่ยทันหลางอาจกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้ในเร็ววันนี้หรือต่อๆ ไปก็ได้ สำหรับเหยียนพั่วจวินและเฟิงชิซาก็ยังแพ้คนอย่างเย่คง, เจ้าอ้วนไห่และพี่น้องตระกูลหลี่ พวกเหล่านี้เหนือล้ำพวกเขาไปแล้ว พวกเขาจะไม่กังวลใจได้อย่างไร? เฟิงเสี่ยวหวินนั้นก็ยังดีอยู่ เพราะแม้ว่าตระกูลเฟิงจะไม่สนิทกับตระกูลเย่ว์มากกว่าตระกูลเสวี่ย แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยังนับว่าดี ไม่ว่าจะเป็นขุนพลพันกระดูกผุกร่อนเฟิงขวง ก็เป็นสหายสนิทกับเย่ว์หยางแม้จะมีวัยต่างกันก็ตาม อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดูเหมือนจะมืดมนสำหรับเหยียนเชียนจ้ง ขณะที่ตระกูลเหยียนมักจะแข่งชิงดีชิงเด่นกับตระกูลเย่ว์เสมอ พวกเขาพยายามทุกวิถีทางที่จะข่มอีกฝ่ายลง และสิ่งที่แย่ก็คือเหยียนพั่วจวินมีเรื่องเข้าใจผิดกับเย่ว์หยางในก่อนหน้านั้น ดังนั้น เรื่องนี้จึงสร้างความปวดหัวให้กับตระกูลเหยียน

“ตระกูลเหยียนทั้งหมดจะจดจำความกรุณาของท่านในวันนี้ไว้” พอเห็นเช่นนั้น เย่ว์หยางไม่ถือสาเรื่องในอดีตอีกต่อไป เหยียนเชียนจ้งยืนยันแสดงความเลื่อมใสอย่างมากแทบจะยกเย่ว์หยางให้เป็นเจ้านายของเขาเอง

“พี่พั่วจวินเปี่ยมไปด้วยทักษะที่ยอดเยี่ยมและยังนับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก ในอนาคตเขาจะได้เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้แน่ ฉะนั้นท่านลุงไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป ถ้าเขามีอุปสรรคในการฝึก ข้าจะพยายามอย่างดีที่สุดช่วยให้เขาได้เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด ท่านลุงและผู้อาวุโสทั้งหลาย เชิญพักตามอัธยาศัย ข้าจะคุยกับพี่พั่วจวินและพี่ชิซาเอง” เฟิงชิซายังพอทำเนา แต่เย่ว์หยางไม่ต้องการแนะนำเหยียนพั่วจวินในตอนแรก เพราะพฤติกรรมที่ล่วงเกินเขาในอดีตที่ผ่านมา

แต่หลังจากสูญเสียอาสี่ เย่ว์หยางเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

ในกรณีของเหยียนพั่วจวิน ไม่ว่าเขาจะฝึกหนักเพียงใดก็ตาม เขามีชะตาว่าจะประสบผลสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ เย่ว์หยางประเมินว่า ถ้าเหยียนพั่วจวินโชคดีมากและฝึกได้จนสุดศักยภาพของตน เขาจะกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5 ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ก็อาจไปถึงขั้นปราณก่อกำเนิดระดับ 3

กับความสามารถระดับนี้ เย่ว์หยางก็ยังสามารถฆ่าเหยี่ยนพั่วจวินได้ง่ายอยู่ดี แน่นอนเย่ว์หยางไม่ถือว่าเขาเป็นภัยคุกคาม

หลังจากผ่านไปไม่กี่สิบปี เหยียนพั่วจวินจะกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนหนึ่งได้ เย่ว์หยางก็คงเข้าสู้แดนสวรรค์และสู้กับผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ หมิงเย่ว์กวง, ซิวคงและจิ่วเซียวไปแล้ว

หลังจากผ่านไป 200-300 ปี เมื่อเหยียนพั่วจวินกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5 ไปแล้ว เย่ว์หยางประเมินว่าเขาคงโดดเด่นอยู่ในแดนสวรรค์ไปแล้ว ถ้าหลายอย่างดำเนินไปในทำนองนี้ ทำไมเขาจะต้องกังวลเรื่องของเหยียนพั่วจวินด้วยเล่า? ยังจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าสำหรับเย่ว์หยางให้คำแนะนำที่ดีเล็กๆ น้อยๆ กับเขา เพื่อที่ว่าเหยียนพั่วจวินจะได้ช่วยเขาปกป้องทวีปมังกรทะยาน ที่สำคัญที่สุด เพิ่มมิตรคนหนึ่งดีกว่าสร้างศัตรูคนหนึ่ง ถ้าเขาถูกล่อลวงให้ร่วมกับแดนปีศาจหรือนักสู้ปราณก่อกำเนิดจากประเทศอื่น เขาอาจจะก่อความยุ่งยากในอนาคตได้ ถ้าหากจะต้องเป็นเช่นนั้น ให้เขาควบคุมเหยียนพั่วจวินจะมิดีกว่าหรือ? เพื่อที่ว่าเหยียนพั่วจวินได้ทำงานให้เขาได้

ขณะที่สี่ตระกูลกูลใหญ่เป็นรากฐานของอาณาจักรต้าเซี่ย จำต้องรักษาพวกเขาเอาไว้

ตอนนี้ เนื่องจากการปรากฏตัวของเย่ว์หยาง ตระกูลใหญ่ทั้งสี่จึงมีความกลมเกลียวกัน จัดเป็นยุคทองของทวีปมังกรทะยาน อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ทวีปมังกรทะยานร่วมแรงร่วมกำลังและมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น พวกเหล่าปีศาจก็คงไม่ยืนมองเฉยๆ เป็นแน่ ถ้าผู้อาวุโสเหล่านั้นตาย ก็ยังจะมีรุ่นผู้เยาว์อย่างเหยียนพั่วจวินและเฟิงชิซามาแทนที่พวกเขา มิฉะนั้นเย่ว์หยางคงไม่วางใจเข้าดินแดนสวรรค์เป็นแน่

“พี่พั่วจวินและพี่ชิซา โปรดตามข้ามาทางนี้” หลังจากเย่ว์หยางคุยกับสองสหายประมาณชั่วโมงหนึ่ง พวกเขารู้สึกว่าในที่สุด พวกเขาก็เห็นแสงสว่าง

พวกเขาอดไม่ได้ที่จะแสดงความซาบซึ้งขอบคุณต่อเย่ว์หยาง

เนื่องจากแม่สี่ไม่ได้มาร่วมพิธีฉลอง เย่ว์หยางสร้างการสัญจรพิเศษเพื่อไปพบนาง

แม่สี่รู้สึกปลาบปลื้มกับการกระทำของเย่ว์หยาง แต่ขณะเดียวกันก็ยังรู้สึกว่าเขายังคงอยู่ใกล้ๆ อีกด้วย เย่ว์ซวงยังเด็กนัก นางจะรู้อะไร?

จะดีที่สุดถ้าเย่ว์ซวงไม่ตกใจกลัวที่พวกนักรบจำนวนมากหัวเราะขบขันเธอและร้องไห้จ้าต่อหน้าพวกเขา

ความกังวลของแม่สี่ไม่ได้เป็นจริง เนื่องจากเย่ว์ซวงไม่ได้กลัวเหล่าคนผู้มีอำนาจและชื่อเสียงเลยแม้แต่น้อย เธอยังกล้านั่งบนพระเพลาของจุนอู๋โหย่วจักรพรรดิต้าเซี่ยและดึงเคราของนักสู้ปราณก่อกำเนิดอย่างอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าเล่นได้ สำหรับเย่ว์หยาง เขาไม่มีทางเลือกได้แต่ให้หนูน้อยได้ขี่คอต่างม้าของเธอตลอดเวลา

หลังจากเลือกเวลาที่เหมาะสม ภายใต้สายตาของนักสู้ชาวทวีปมังกรทะยานนับพันคน เย่ว์หยางจูงมือน้องสาวเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ พร้อมๆ กับจุนอู๋โหย่ว, อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าและผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ พวกเขาเดินลงไปที่ลานใหญ่ที่รองรับคนได้หลายหมื่นคนมีแท่นเวทีอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง

เย่ว์ซวงไม่ได้กลัวขณะที่เธอถือลูกอมผลไม้ที่เย่ว์หยางหมักเองไว้ในมือตลอดเวลา

เมื่อผู้ชมส่งเสียงให้กำลังใจดังลั่น เธอก็เคี้ยวลูกอมผลไม้และโบกมือให้ผู้ชมทุกคนเหมือนที่จักรพรรดิจุนอู๋โหย่วทำ

“ข้ามีความปลาบปลื้มมากจริงๆ ที่เห็นทุกท่านในที่นี้เพื่อร่วมเป็นสักขีในพิธีทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญของน้องแปดของข้า อาสี่เพิ่งจะล่วงลับจากไป เหลือแต่น้องสองของข้าสองคนให้ดูแล ข้าไม่ใช่อัจฉริยะ ดังนั้นข้าเกรงว่า ข้าอาจรานความตั้งใจของอาสี่ ข้าขอสัญญาในที่นี้เลยว่าข้าจะขอปกป้องน้องสาวและชี้แนะนำพวกเธอแทนบิดา ข้าคงไม่หวังว่าพวกเธอจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ได้แต่เพียงขอให้พวกนางมีชีวิตอย่างมีความสุขและมีสุขภาพดีแข็งแรงทุกวัน ข้าขอส่งความปรารถนาดีต่อน้องสาวในโลกนี้ทุกคนมีพี่ชายคอยปกป้องพวกนาง และขอให้พวกนางมีความสุข” เย่ว์หยางพูดพลางเช็ดเศษขนมรอบปากหนูน้อยเย่ว์ซวงจากนั้นจูบหน้าผากเธอ

“ข้าจะจูบพี่เช่นกัน, พี่ชายจงเจริญ!” หนูน้อยเย่ว์ซวงจูบพี่ชายด้วยความรัก เธอจูบพี่ชายนางซ้ำสองครั้งเพราะรู้สึกว่าแค่ครั้งเดียวคงไม่พอ

ข้างล่างเวทีมีเสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว

คนรุ่นอาวุโสหลายคนมีน้ำตาคลอเบ้า เมื่อพวกเขาได้เห็นฉากที่น่าซาบซึ้งตรึงใจนี้

โดยเฉพาะปู่ห้า คอยปาดน้ำตาอยู่บ่อยๆ

เย่ว์หยางจูงมือหนูน้อยเย่ว์ซวงที่ยิ้มแย้มตลอดเดินตรงไปที่กลางเวที จากนั้นล้วงคัมภีร์ทองแดงที่เขาเตรียมไว้นานแล้วออกมาจากแหวนลิช

พิธีฉลองทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญกำลังจะเริ่ม….

*******

สวัสดีวันปีใหม่ และสุขสันต์วันปีใหม่ครับทุกท่าน….

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด