ตอนที่ 367 - คนฝันร้ายตายในฝันร้าย
เอ้อเมิ่งเป็นบุรุษร่างผอมสูง
เขาไม่เพียงแต่ผอมเท่านั้น แต่ยังมีแขนขาเรียวยาว เย่ว์หยางจำได้ว่าเขาเคยอ่านบทประพันธ์ในอดีต เรื่อง “บ้านเกิด” ประพันธ์โดยหลู่ซิ่นทำให้ภาพสตรีนามว่าคุณนายหยางผู้มีขาราวกับตะเกียบ ยังคงปรากฏชัดอยู่ในใจเย่ว์หยาง เขาคาดว่าเอ้อเมิ่งผู้นี้ยืนเต๊ะท่ามือเท้าสะเอวดูไม่ต่างจากคุณนายหยางผู้นั้นเลย ถ้าเขาผมสั้นลงอีกนิด เขาจะดูเหี่ยวผอมแห้งเหมือนกับเซี่ยย่าหลง (ผู้บริหารระดับสูงในจีนที่ติดคุกในความผิดคอรัปชัน)
สำหรับเหนียนหู่นั้นตรงกันข้าม เขามิได้ดูเหมือนกันเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเหนียนหู่จะแก่กว่าเล็กน้อย แต่ผมของเขาดำขลับทั้งศีรษะ แข็งและตั้งชันเหมือนเขาสัตว์มากกว่า เขาดูเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
แขนหนาใหญ่และลำตัวที่แข็งแกร่งพร้อมที่จะระเบิดพลังต่อสู้ออกมา
นัยน์ตาเสือของเขามองดูน่ากลัว บีบคั้นทรมานจิตใจของผู้คนยิ่งนัก
ถ้าเคราของเขาไม่มีสีขาวแซมให้เห็น คงไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าเขาเป็นคนสูงวัย
ทั้งสองคนนี้เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 3 และพวกเขายังครอบครองคัมภีร์อัญเชิญ สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางประหลาดใจก็คือ พวกเขามีแค่เพียงคัมภีร์อัญเชิญระดับทองเท่านั้น เขาจำได้ที่นางเซียนหงส์ฟ้าเล่าให้ฟังว่า คนเหล่านี้อย่างมากที่สุดก็ยกระดับพลังเป็นชั้นนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้ เนื่องจากเร่งรัดเติบโตก่อนที่พวกเขาจะพร้อมจริงๆ พวกเขาจึงสูญเสียศักยภาพทั้งหมดในอนาคตข้างหน้าของพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงถูกดูหมิ่นดูแคลนจากนักสู้ปราณก่อกำเนิดที่แท้จริง แน่นอนว่าบางพวกจะใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้รับพลังปราณก่อกำเนิด เนื่องจากขาดความอดทน ผลที่ตามมาก็คือ คุณค่าที่พวกเขาต้องจ่ายไปเพื่อแลกกับการบรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิดระดับ 3 ซึ่งเป็นขีดจำกัดสูงสุดของพวกเขา คัมภีร์อัญเชิญของพวกเขาก็จะถูกจำกัดไม่ให้มีวัฒนาการและยกระดับ ไม่มีทางที่จะวิวัฒนาการขึ้นสู่ระดับสูงได้อีกต่อไป
ก่อนหน้านั้น เย่ว์หยางได้สู้กับเหยากวง, ไคหยางและเทียนฉวนจากกลุ่มพันธมิตรเจ็ดดาวซึ่งยกระดับพลังได้ด้วยความช่วยเหลือจากซุ่นเทียน พวกเขามีทักษะไม่สูงมากนัก และพวกเขาก็ยังเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 3 และระดับต่ำกว่าลดหลั่นกันไป อย่างไรก็ตาม พวกเขาทุกคนก็ยังครอบครองคัมภีร์แพลตตินัม
นี่พิสูจน์ได้ว่า เหยากวง, เทียนฉวนและคนอื่นๆ ก็มีวุฒิภาวะพร้อมอยู่แล้วก่อนที่พวกเขาจะยกระดับพลัง พวกเขาฝึกฝนจนกระทั่งคัมภีร์ของพวกเขากลายเป็นคัมภีร์แพลตตินัมก่อนจะยกระดับพลัง
คาดไม่ถึงว่า เอ้อเมิ่งและเหนียนหู่ยังไม่ได้ครอบครองคัมภีร์แพลตตินัมด้วยซ้ำ
พวกเขามีแค่เพียงคัมภีร์อัญเชิญชั้นทองเล่มหนึ่ง
เย่ว์หยางไม่รู้เรื่องประสบการณ์ของเอ้อเมิ่งและเหนียนหู่ก่อนหน้านั้น ถ้าเขาถามคนในป้อมสายฟ้า เขาอาจตกใจก็ได้ ตอนนั้นก่อนที่เอ้อเมิ่งและเหนียนหู่จะบรรลุเขตแดนปราณก่อกำเนิด ความจริงพวกมันฆาตกรรมอาจารย์ผู้เลี้ยงดูประคบประหงมพวกมันเป็นอย่างดี แล้วกินศพอาจารย์ของพวกมัน จากนั้นความสามารถที่เหมือนกับอสูร พวกมันจึงยกระดับพลังกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดทันที
เพราะการกระทำที่ชั่วร้ายของพวกมัน พันธมิตรนักสู้ปราณก่อกำเนิดจึงปฏิเสธพวกมันและไม่ยอมรับพลังความแข็งแกร่งของพวกมัน
เมื่อเหยากวงและเทียนฉวนยกระดับพลังเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด พวกมันแค่อาศัยความช่วยเหลือจากซุ่นเทียนและใช้ยาเร่งพลังเท่านั้น
พวกมันยังโดนคนอื่นๆดูหมิ่นดูถูกเพราะใช้วิธีเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเอ้อเมิ่งและเหนียนหู่ผู้กินศพอาจารย์ของตนจะเป็นเช่นไร
กลุ่มพันธมิตรเจ็ดดาว แม้ว่าชื่อเสียงของพวกมันจะอื้อฉาวมากในหอทงเทียนชั้นที่หก แต่เมื่อเทียบกับเอ้อเมิ่งและเหนียนหู่แล้ว พวกพันธมิตรเจ็ดดาวแทบกลายเป็นเด็กดีกันทุกคน
“เด็กใหม่! เจ้ามันบ้าจริงๆ” เอ้อเมิ่งหัวเราะเสียงแหลมดังเสียดแก้วหูของเย่ว์หยาง
“นี่คือคำพูดสุดท้ายของเจ้าใช่ไหม?” เย่ว์หยางล้วงหนังสือออกมาเล่มหนึ่งและขีดเส้นใต้คำบางคำ เหมือนกับว่าเขากำลังบันทึกบางอย่าง
“เจ้าหมายความว่าไง?” แม้ว่าเหนียนหู่จะหยิ่งยโส แต่เขาก็ยังสงสัยอยู่ดี คนทั้งคู่สงสัยและอยากรู้อยากเห็นหนังสือที่เย่ว์หยางมีไว้ ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น แม้แต่ผู้ชมทุกคนก็สงสัยว่าเย่ว์หยางบันทึกข้อความอะไรไว้ในหนังสือ การเผชิญหน้ากับนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 3 ถึงสองคน การได้เผชิญหน้ากับมารร้ายอย่างเอ้อเมิ่งและเหนียนหู่อย่างนี้ เขายังมีอารมณ์จดบันทึกบางอย่างได้ยังไง?
“จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ ดูเหมือนว่าข้าอาจเอาหัวของพวกเจ้าไปแลกของดีๆ บางอย่างที่สมาคมนักผจญภัยได้หลังจากฆ่าเจ้าไปแล้ว ข้าจึงต้องจดบันทึกไว้ มิฉะนั้นข้าอาจจะลืมและสูญเสียโอกาสดีๆ ก็ได้” คำตอบของเย่ว์หยางเหมือนถังระเบิดที่โยนลงไปในหมู่ผู้ชมก่อให้เกิดโกลาหลด้วยความตื่นเต้น
เย่ว์หยางหยิ่งยโสเกินไปแล้ว ไม่ใช่คนนอกเท่านั้นที่คิดอย่างนี้ แม้แต่จั๊ดด์ก็ยังคิดว่าเย่ว์หยางโอหังเกินไป
พวกมันเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 3 ไม่ใช่นับรบระดับ 3 ทั่วไปที่อ่อนแอ เย่ว์หยางไม่เคยสู้กับพวกมันมาก่อน แต่กลับต้องการศีรษะของพวกมันไปขึ้นเงินรางวัลอีกหรือ?
คิดว่าเอ้อเมิ่งและเหนียนหู่เป็นคนเช่นไร?
แม้ว่าจำนวนคนที่ต้องการให้พวกมันตายอาจจะไม่ถึง 100,000 คน แต่ก็มีอย่างน้อย 99,999 คนแน่ อย่างไรก็ตาม เจ้าคนนอกคอกทั้งสองนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ดีมาจนถึงบัดนี้ เป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้ว่าสองคนนี้เป็นนักสู้ทรงพลังอยู่ดี ถ้าพวกมันอ่อนแอบ้างเล็กน้อย ป่านนี้หลุมศพของพวกมันคงมีวัชพืชขึ้นเต็มไปหมดแล้ว พวกมันยังจะอยู่เป็นสุขในป้อมสายฟ้าได้ยังไง? คนเหล่านั้นผู้รู้จักความสามารถเอ้อเมิ่งและเหนียนหู่มั่นใจว่าเย่ว์หยางจะต้องพ่ายแพ้แน่นอน เอ้อเมิ่งและเหนียนหู่เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 3 ที่ทรงพลัง พวกมันมีอสูรระดับสูงที่ไม่เหมือนใคร เวลานั้น เมื่อพวกมันยังไม่เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด พวกมันยังสามารถฆ่าอาจารย์ที่เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้
จากเหตุนี้ เห็นได้ชัดว่าอสูรของพวกมันจะน่ากลัวขนาดไหน
เจ้าอ้วนแอนตันหัวร่อเย็นชา “เจ้าบัดซบนี่ต้องตายแน่นอน!”
บุรุษลึกลับผู้สวมหมวกปีกกว้างยักไหล่ “ท่านแอนตัน อภัยให้ข้าเถอะ แต่ข้าไม่เห็นด้วยกับมุมมองของท่าน ข้าไม่ปฏิเสธว่าอสูรของเอ้อเมิ่งและเหนียนหู่ไม่เหมือนใครเลย แต่พวกมันไม่อาจเอาชนะได้”
หน้าของเจ้าอ้วนแอนตันกลายเป็นดำคล้ำ “ท่านกำลังจะปล่อยข้อมูลให้เจ้าเด็กนั่น?”
บุรุษผู้สวมหมวกปีกกว้างโบกมือปฏิเสธอย่างสง่างาม “อย่านึกว่าข้าเหมือนกับเจ้านะ เมื่อข้าเห็นด้วยกับการต่อสู้นี้ ข้าจะปฏิบัติตามกฎแน่นอน”
“ดีที่สุดแล้วที่เจ้าทำเช่นนั้น อย่าลืมว่าเจ้าพนันไว้หนึ่งล้าน” แอนตันเตือนคนของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“…ข้าต้องขอบคุณท่านไหมที่ช่วยย้ำเตือน?” กลุ่มบุรุษลึกลับไม่สนใจใยดีต่อความคิดเห็นของแอนตัน
ที่ด้านข้างสนามต่อสู้ จั๊ดด์บิดมือไปมาด้วยความกังวล
เขาอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาควรจะเตือนไตตันเรื่องอสูรที่ไม่เหมือนใครของเอ้อเมิ่งและเหนียนหู่ดีไหม? ในทางตรงกันข้าม ถ้าไตตันแพ้ เขาก็จะไม่ได้อะไรเลย อย่างไรก็ตาม ถ้ามองอีกด้านหนึ่ง หากเขาทำลายกฎก่อน แม้ว่าเขาจะยังไม่เป็นอะไร ถ้าไตตันชนะ เพราะไม่มีผู้ใดสนใจข้อผิดพลาดที่ก่อโดยผู้ได้ชัยชนะ แต่ถ้าไตตันแพ้ เกรงว่าเขาจะพลอยถูกฆ่าไปด้วย
เขาจะยอมเห็นไตตันพ่ายแพ้ เพียงเพราะเขาไม่รู้จักพลังของอสูรฝ่ายตรงข้ามไหม?
แม้ว่าจะไม่ใช่เพื่อเงินพนัน 280,000 เขาก็ควรใส่ใจชีวิตไตตัน สหายใหม่ของเขา
แม้ว่าอย่างน้อยไตตันผู้นั้นก็ยังใช้คำว่า “สหาย”
นักสู้คนหนึ่งต้องการเป็นสหายกับพ่อค้า มีนักสู้ในหอทงเทียนมากนักหรือที่ทำเช่นนั้น? ความรู้สึกกระตุ้นเตือนให้จั๊ดด์ลุกจากที่นั่งและตะโกนลั่นอยู่ข้างสนามต่อสู้ “รอเดี๋ยว!”
“เจ้าต้องการขัดขวางการต่อสู้?” พวกยามจำนวนมากกว่ารายล้อมเขาทันที
“ข้า, ข้าเป็นสหายเขาและข้าต้องการแสดงการสนับสนุนเขา เจ้าต้องการดื่มไหม? เจ้าควรจะได้พักตอนนี้ เพราะเจ้าได้ต่อสู้มารอบหนึ่งแล้ว มันไม่ยุติธรรมที่เจ้าจะเริ่มต่อสู้รอบสองทันที!” จั๊ดด์ชูขวดเครื่องดื่มในมือเขาไปมา ขณะที่เขาเตรียมจะบอกเรื่องอสูรของเอ้อเมิ่งและเหนียนหู่ที่ไม่เหมือนใครทันทีที่เย่ว์หยางรับน้ำไปดื่ม
“ไม่เป็นไร, การต่อสู้จะจบลงอย่างง่ายดาย” เย่ว์หยางยิ้มเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้จั๊ดด์ไม่ต้องกังวลเกินไป
“หือ?” จั๊ดด์เหงื่อไหลพร่างพรู คิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้หยิ่งเกินไป หรือว่ายังอ่อนเกินไปกันแน่
เย่ว์หยางไม่ตระหนักถึงน้ำเสียงที่อ่อยลงของเขาหรือ?
เขาไม่ได้ขอให้เขาดื่มหรือพักจริงๆ แต่แทนที่เย่ว์หยางจะสนทนากับเขา นี่เย่ว์หยางเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า?
จั๊ดด์ต้องการอ้าปากพูดอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นเขาคิดถึงคำพูดของเย่ว์หยางเมื่อไม่นานนี้ “ให้ข้าบอกอะไรเจ้าสักอย่าง ถ้าเจ้าต้องการเป็นสหายของข้า สิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำก็คือ เชื่อใจข้า”
เขาควรจะเชื่อเย่ว์หยางต่อไปไหม?
ระหว่างที่เขาต่อสู้กับหัวหน้าผู้คุ้มกันทั้งสามคน จั๊ดด์ก็กังวลคล้ายๆ กันอย่างนี้ แต่ชัยชนะของเย่ว์หยางพิสูจน์ว่าเขากังวลและข้องใจโดยไม่จำเป็นเลย ในเวลาเดียวกัน เขายังช่วยให้เขาได้รับรางวัลอย่างดีด้วย ตอนนี้การต่อสู้กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง จะเชื่อใจเย่ว์หยางอีกครั้งดีไหม? เจ้ากบอ้วนจั๊ดด์กัดฟันยิ้มให้เย่ว์หยาง
แม้ว่าเขาจะเชื่อคำเย่ว์หยาง ถ้าเป็นจั๊ดด์เมื่อก่อนนั้น คงเป็นเรื่องน่าขัน
แต่ตอนนี้ เขายินดีจะลองเชื่ออีกสักครั้ง
แค่ครั้งเดียว
พอได้ยินการตอบสนองที่หยิ่งผยองของเย่ว์หยาง การตอบสนองของนักเก็งกำไรนั้นแตกต่างกันมากมาย แอนตันยิ้มเย็นชา ขณะที่พวกนักพนันยิ่งส่งเสียงเชียร์ดังสนั่นเหมือนกับว่าพวกเขาชอบนักสู้ผู้หยิ่งผยอง อ่อนแอ? ให้พวกมันตายทุกคน เหล่าผีพนันไม่สนับสนุนให้ใช้รองเท้าดีๆ สองคู่ แต่ชอบเจ้าไก่อ่อนที่หยิ่งผยองและเป็นผู้ชนะที่ทรงพลัง แน่นอนว่า เหล่าผีพนันที่เดิมพันว่าเย่ว์หยางแพ้ก็สาปแช่งด่ากันเสียงขรม แต่เพราะพวกเขาเป็นคนกลุ่มน้อย เสียงด่าของพวกเขาจึงถูกเสียงเชียร์ดังกลบจนหมด
“….” เหนียนหู่ยิ้มเยือกเย็นอย่างเงียบสงบ
“เด็กใหม่! เนื่องจากเจ้าต้องการตายเร็วๆ ข้าจะส่งเสริมความปรารถนาของเจ้า”เอ้อเมิ่งถือคัมภีร์ทองไว้ ขณะที่เขาเริ่มอัญเชิญอย่างรวดเร็ว
แสงสีดำปรากฏอยู่บนคัมภีร์ทอง คล้ายกับควันหนา มันลอยขึ้นท้องฟ้าก่อตัวเป็นรูปร่างประหลาด
จากนั้นก็ม้วนตัวไปรอบๆ ตลอดทั้งหลังคาสนามต่อสู้ และก่อตัวเป็นพื้นที่มืดสลัวเหมือนกับว่าค่อยๆ เลื่อนลงมายังพื้น
เย่ว์หยางไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบขณะที่มองดูอย่างสงบ
จู่ๆ พื้นเวทีก็แยกออกและมีลาวาเดือดสีเหมือนเลือดพุ่งออกมา จากนั้นก็ลามเข้าหาเท้าของเย่ว์หยาง ขณะที่เย่ว์หยางไม่ขยับลาวาก็ล้อมตัวเขาไว้ทำให้เขาไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป อากาศในบริเวณเวทีกลายเป็นร้อนระอุทันที ทุกคนไม่สามารถต้านทานความร้อนได้และเริ่มหลั่งเหงื่อโชกตัว ทั้งนี้รวมทั้งจั๊ดด์ที่นั่งอยู่ด้านข้างเวที เหงื่อของเขาไหลออกราวกับน้ำตก
ที่ซึ่งเอ้อเมิ่งและเหนียนหู่ยืนอยู่จะยกสูงเหนือพื้น และเป็นรูปเสาสูงสองต้น
ดินมากมายกับผนังกำแพงของเวทีต่อสู้พังครืนลงมา กรงโลหะที่เคยใช้ขังสัตว์อสูรก็ยังล้มลงมาและจมลงในลาวา
พร้อมกับเสียงซี่ๆ กรงเหล่านั้นละลายกลายเป็นควัน
ถัดต่อจากนั้น ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของลาวา
นัยน์ตาของเย่ว์หยางยังคงสงบและไม่สามารถบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เหมือนกับว่าบ่อลาวาไม่มีอยู่จริง
จากนั้น ภายใต้การใช้นิ้วควบคุมของเอ้อเมิ่ง หลาวแหลมนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากพื้นและแทงทะลุเท้าเย่ว์หยาง เลือดนองไปทั่วบริเวณ ขณะที่หลาวเปื้อนเลือดฉีกเท้าของเขาทำให้ทุกคนอุทานด้วยความตกใจ
เอ้อเมิ่งอัญเชิญต่อเป็นครั้งที่สาม ขณะที่ดาวตกหล่นลงมาจากท้องฟ้าและกระแทกใส่ศีรษะของเย่ว์หยาง
เย่ว์หยางยังคงนิ่ง
ดาวตกปาดหนังศีรษะของเขาและตกลงพื้นข้างตัวเขาเสียงดังตูม ทำให้แมกม่ากระจายทั่วตัวเขา
คลื่นกระแทกมหาศาลทำให้ทุกคนล้มลงกับพื้นระเนระนาด บางพวกร้องคร่ำครวญอย่างน่าสงสารเพราะพวกเขาถูกลาวาลวกใส่ ขณะที่ร่างของพวกเขาติดไฟ บางคนก็กลิ้งไปมากับพื้น บางคนก็ตบตามตัวเพื่อพยายามดับไฟ เจ้ากบอ้วนจั๊ดด์นั้นอ้วนอยู่แล้ว แต่ร่างหนักๆ ก็ยังลอยกระเด็นไปยังจุดชมเวทีต่อสู้ชั้นสอง ซึ่งเป็นที่นั่งชั้นพิเศษ ลาวาบางส่วนติดอยู่ที่ตัวด้านล่างของเขาและเกิดไฟลุกไหม้ มีควันลอยขึ้น
หน้าของจั๊ดด์บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด และเขาทำได้เพียงกัดฟันอดกลั้นไม่ให้ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
“ไม่เลวนี่, แต่จะดีกว่าถ้ามีฝนตกลงมาเป็นพริกป่นจากฟากฟ้า” จู่ๆ เย่ว์หยางก็พูดขึ้น
“พริกป่น?” ทุกคนตะลึง ทำไมเขาถึงต้องการให้ฝนตกลงมาเป็นพริกป่น?
“ถ้าไม่มีพริกป่น ชามก๋วยเตี๋ยวยักษ์นี้ นับว่ารสชาติยังไม่ดีพอ กินก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่พริกป่น อย่างนั้นรสชาติก็คงไม่น่าพอใจแล้ว…” เย่ว์หยางอธิบาย
“นี่คือลาวา!” จมูกของเอ้อเมิ่งพะเยิบพะยาบด้วยความโกรธ นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องกินก๋วยเตี๋ยวเลยแม้แต่น้อย
“ข้าเห็นด้วย, นี่คือบะหมี่สำเร็จรูปยี่ห้อลาวา ถ้าเจ้าเติมน้ำร้อนสักหน่อย ตอกไข่ใส่ลงไปด้วย เติมพริกป่นหรือซอสพริก รับรองรสชาติสุดยอด ไม่สิ ต้องเอาผักโรยหน้านิดหน่อย ยิ่งมีซี่โครงหมูที่เหลืออยู่ในตู้เย็น เติมลงไปอีกสองชิ้นกำลังเหมาะ” เย่ว์หยางเกือบน้ำลายหกขณะที่พูด แต่ไม่มีใครเข้าใจคำพูดของเขา
บะหมี่สำเร็จรูป, ตู้เย็น ไม่มีใครเคยได้ยินคำนี้มาก่อน
นอกจากนี้ จะกินบะหมี่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับลาวา?
ทุกคนเกาหัวแกรกกราก แต่ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดอยู่ดี
เพียงแค่นั้น เรื่องแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น ลาวาร้อนเดือดหายไปในกลางเวทีต่อสู้ ปรากฏมีชามบะหมี่ขนาดยักษ์ใบหนึ่ง
ภายในปรุงด้วยไข่ตุ๋น, ซี่โครงหมูและซอสพริก เย่ว์หยางสาวเท้าก้าวยาวๆ เข้ามาในมือถือตะเกียบคู่หนึ่ง ดูเหมือนเขาเตรียมตัวจะกินบะหมี่จริงๆ พวกที่ช่างสังเกตมองเห็นแล้วว่าเท้าของเขาที่ถูกแทงและลาวาที่ราดรดตัวเขาหายไป ขณะที่เขาดูดีปกติเหมือนแต่ก่อน แล้วยังมีเรื่องน่าขนลุกมากยิ่งขึ้นคือ เอ้อเมิ่งกลายเป็นหมูขาวทั้งตัวไปในทันที
ตะเกียบในมือของเย่ว์หยางกลายเป็นปังตอสับเนื้อ ขณะที่เขาอธิบายว่า “ซี่โครงยังไม่พอ ข้าต้องฆ่าหมูมาทำบาร์บีคิวและหมูย่างบางส่วน!”
“ไม่, ข้าไม่ใช่หมู, นี่เป็นภาพลวงตาทั้งหมด…” เอ้อเมิ่งร้องเหมือนในหนังสยองขวัญ
ภาพลวงตาทั้งหมดหายไปทันที
เย่ว์หยางไม่ได้ขยับเลยแม้แต่นิ้วเดียว ขณะที่เขายังคงมองดูอย่างสงบ
ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาก็คือเหนียนหู่ที่ยังมีสีหน้าตกตะลึง และเอ้อเมิ่งมีเหงื่อท่วมตัว
ที่น่าตกใจหนักยิ่งขึ้นก็คือ เอ้อเมิ่งยังคงฟูมฟายอย่างเสียสติ “ข้าต้องไม่ถูกฆ่า ข้าต้องไม่ถูกเสริฟบนโต๊ะ, ไม่, ข้าต้องไม่ถูกแล่เนื้อเถือหนัง ข้าไม่ใช่หมูปิ้ง, ไม่, นี่คืออสูรของข้า, นี่คือภาพลวงตา, ข้าจะไม่ตาย.. นี่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้อย่างไรที่คนอื่นควบคุมอสูรของข้าได้, นี่คือภาพลวงตาทั้งหมด.. เหนียนหู่! ช่วยข้าด้วย, ไม่, เจ้าไม่อาจฆ่าข้าได้, เจ้าหักหลังข้าไม่ได้นะ, เรา.. นี่เป็นไปไม่ได้.. ท่านตายไปแล้ว ข้ากินท่านไปแล้ว, ไม่, ไม่, อาจารย์, ไว้ชีวิตข้าด้วย…”
เสียงร้องตีโพยตีพายของเอ้อเมิ่งชะงักทันที
เอ้อเมิ่งทรุดตัวลง ขณะที่ร่างของเขาบิดชักกระตุกราวกับว่าเพิ่งเห็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก
นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงและปูดโปนเหมือนปลาตาย ม่านตาขยายกว้างและค่อยๆ แข็งค้าง
เหนียนหู่เขย่าตัวเอ้อเมิ่งอย่างจริงจังและตบหน้าเขาไม่หยุด ขณะที่เขาพยายามปลุกเอ้อเมิ่งจากภาพลวงตาอสูรฝันร้ายของเขา แต่น่าเสียดาย ทั้งหมดที่เขาทำได้คือดูเอ้อเมิ่งคู่หูของเขาเสียชีวิตจากการต่อสู้
เอ้อเมิ่ง, ฆาตกรต่อเนื่องผู้ใช้อสูรของตนเล่นงานคู่ต่อสู้ของเขาและฆ่าอาจารย์ตนเอง ถูกฆ่าตายแล้ว
เขาตายจากอสูรฝันร้ายของตนเอง
ในภาพลวงตาของอสูรฝันร้าย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นภาพหลอน แต่ถ้าเขายอมรับมัน ภาพเหล่านั้นจะกลายเป็นจริง เมื่อคนๆ หนึ่งตายในภาพหลอน ร่างของเขาก็จะตายจริงๆ เป็นเพราะภาพลวงตาได้ฆ่าวิญญาณของคนๆ นั้น ภายใต้การควบคุมของเอ้อเมิ่ง ทักษะที่ไม่เหมือนใครนี้เอาชีวิตผู้เคราะห์ร้ายมากมาย แม้แต่นักรบผู้แข็งแกร่งกว่าเอ้อเมิ่งก็ยังหลบหนีไม่ได้
แต่สำหรับเย่ว์หยาง เขาเคยผ่านภาพลวงตาในวิหารคนคู่และวิหารเทพสตรีมาแล้ว ภาพลวงตาเช่นนี้ถือเรื่องขนมสำหรับเขา
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นก็ได้ เย่ว์หยางยังมีพลังจักษุญาณทิพย์ทำให้เขามองเห็นทักษะของคู่ต่อสู้ของเขา
“….เป็นไปไม่ได้!” เจ้าอ้วนแอนตันเหงื่อไหลเป็นน้ำตก ขณะจ้องดูเย่ว์หยางในสนามต่อสู้อย่างขวัญผวา เขามีหน้าซีดขาวรำพึงกับตนเองว่า “นี่เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นความเข้าใจผิด เจ้าเด็กนี่ไม่ได้ฆ่าเอ้อเมิ่ง เขาคือเอ้อเมิ่งผู้ยิ่งใหญ่”
“ขอให้ข้าเตือนท่านหน่อยนะ ท่านแอนตัน นั่นคือเรื่องจริง” บุรุษลึกลับยิ้ม
***********