ตอนที่ 12-13 เริ่มเข้าสมาธิฝึกฝน
แสงจากตะวันยามเช้าลอยขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้าเหมือนเทพธิดาแห่งธรรมชาติทอดสายตาลงมายังพื้นพิภพโลก
ภายในพื้นที่ฝึกฝนของปราสาทเลือดมังกร มีคนนับหมื่นคนรวมตัวกัน พวกเขามาที่นี่เพื่ออำลาและส่งกลุ่มของถูลี่กับเดลี่กลับ
“ลินลี่ย์, ตอนนี้งานนี้จบลงแล้ว เจ้าควรจะเริ่มขังตัวฝึกฝีมือได้แล้วข้าคิดว่าเมื่อเราพบกันครั้งต่อไป เจ้าควรจะถึงระดับเทพไปแล้ว” เดลี่หัวเราะพลางถอนหายใจ
ลินลี่ย์หัวเราะเช่นกัน “เดลี่, ถูลี่,อย่าลืมสิว่าลอร์ดเบรุตบอกว่าถ้าอย่างเร็วท่านจะกลายเป็นระดับเทพได้ในวันเดียว บางทีสองท่านอาจจะถึงระดับเทพก่อนข้าเสียอีก”
ถูลี่และเดลี่เริ่มหัวเราะทั้งคู่
“พอเถอะ, เราจะไปกันแล้ว” ลินลี่ย์มองดูขณะที่กลุ่มของเดลี่และถูลี่บินขึ้นฟ้า จากนั้นเปลี่ยนเป็นจุดดำหายลับไปในขอบฟ้า
“บิน... มันคงจะยอดเยี่ยมมากเลยถ้าข้าบินได้” เทย์เลอร์ยืนอยู่ด้านหลังลินลี่ย์มีแววอิจฉาอยู่ในสายตาของเขา
ลินลี่ย์อดหันมามองดูเทย์เลอร์ไม่ได้
ซีน่ายืนอยู่ใกล้ๆ หัวเราะ “เทย์เลอร์ทำไมต้องรีบร้อนด้วยเล่า? ฝึกอีกสองสามปี เจ้าก็ถึงระดับแปดไปแล้ว เมื่อเจ้ากลายเป็นนักรบระดับเก้า เจ้าจะเป็นระดับเซียนเมื่อเจ้าแปลงร่างมังกรไม่ใช่หรือ? ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะบินได้”
“เทย์เลอร์,เป็นความผิดของเจ้าเองที่ไม่เลือกมังกรทองในปีนั้น”ที่ด้านหลังลินลี่ย์คนพูดเป็นหญิงสาวงดงามผมทอง
ชาชาที่ยังเป็นเด็กสาวมาตลอดหลายปีกลายเป็นหญิงงามที่น่าหลงใหล เนื่องจากว่านางมีสถานะสูงส่งมากจึงมีชายหนุ่มชนชั้นสูงนับไม่ถ้วนหมายปองพะเน้าพะนอนาง แต่ในเมืองบาลุคนี้โชคไม่ดีที่ความต้องการของชาชาสูงเกินไป และนางไม่ให้ความสนใจขุนนางท้องถิ่นแม้แต่น้อย
“พอเถอะกลับไปท้องพระโรงกันก่อน” ลินลี่ย์กล่าวกับเทย์เลอร์และชาชา
“ครับ (ค่ะ) ท่านพ่อ” เทย์เลอร์กับชาชารับคำพร้อมกัน
แม้ว่าลินลี่ย์เองก็ไม่เข้มงวดกับเทย์เลอร์และชาชามากนัก ลูกทั้งสองไม่ได้พบเขาเลยเนื่องจากระหว่างสิบปีที่ลินลี่ย์ใช้เวลาอยู่ในสุสานเทพเจ้า ระหว่างที่พวกเขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆพวกเขาไม่ได้พบเห็นลินลี่ย์เลยซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขารู้สึกเกรงกลัวและเคารพต่อบิดาของพวกเขาผู้กลายเป็นตำนานของจักรวรรดิบาลุคไปแล้ว
ภายในโถงใหญ่
มีโต๊ะตัวหนึ่งยาวสิบเมตรตั้งอยู่ตรงกลาง ยอดฝีมือของจักรวรรดิรวมทั้งซาสเลอร์และพี่น้องบาร์เกอร์นั่งอยู่ในแต่ละข้าง
“การรวมตัวซึ่งตระกูลเราจัดให้มีในวันนี้บางทีในอีกสองสามปีข้างหน้าอาจจะเป็นการประชุมที่มีคนมากมายเข้าร่วมก็ได้” ลินลี่ย์ทำใจไว้แล้วว่ากิจการของตระกูลได้รับการจัดการแล้ว เขาจะเริ่มต้นฝึกฝนและเข้าสมาธิ
เพียงแต่...
การมาเยือนของลอร์ดเบรุตในคืนก่อนเนื่องจากคำเตือนที่แปลกอย่างกะทันหันทำให้ลินลี่ย์รู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจ
เขายังคงมีความรู้สึกแปลกนี้เหมือนกับว่ามีอันตรายที่มองไม่เห็นบางอย่างหมอบรออยู่ในทวีปยูลาน..และตอนนี้, อันตรายซ่อนเร้นกำลังจะเปิดเผยตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ต้องให้ความสำคัญกับการฝึกไว้สูงสุด ที่สำคัญ การรออย่างโง่ๆเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ ทันทีที่เขาเข้าถึงระดับเทพ คงจะดีต่อครอบครัวและสหายของเขามากกว่า
ที่สำคัญคือทั้งเดเลียและบาร์เกอร์ได้ประกายศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว แต่แม้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นระดับเทพบางทีพวกเขาอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับวิธีใช้กฎธรรมชาติสู้ในศึกแรก
แหล่งพลังสำหรับสู้รบจริงๆ ของพวกเขาก็ยังเป็นลินลี่ย์ และบีบีทันทีที่เขากลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
“ลินลี่ย์, เจ้ากำลังจะขังตัวฝึกสมาธิใช่ไหม?” ซาสเลอร์เข้าใจสิ่งที่ลินลี่ย์สื่อความทันที
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย “แต่ก่อนที่ข้าจะทำเช่นนั้น มีบางอย่างที่ข้าจะปรึกษา ซีน่า”
“ท่านลุง”
ลินลี่ย์มองดูซีน่าและพูดด้วยเสียงเข้ม “เมื่อคืนนี้ แม้ว่าข้าจะได้บอกข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสงครามโลกที่จะมาถึง ขณะนั้นข้านึกว่าการรบครั้งนี้จะเป็นงานง่าย แต่ตอนนี้ข้าต้องเตือนเจ้าอยู่สองสามเรื่อง เจ้าต้องจำไว้ให้ดี!”
“ท่านลุง, เชิญบอก” ซีน่าพูดด้วยความเคารพ
คนที่รายรอบรวมทั้งเดเลีย พี่น้องบาร์เกอร์วอร์ตันและซาสเลอร์ รู้สึกสับสนกันหมด
“ประเด็นแรกก็คือเรื่องนี้ ในตอนนี้จักรวรรดิบาลุคจักรวรรดิยูลานและจักรวรรดิโอเบรียนกำลังวางแผนรบเพื่อพิชิตและแบ่งโลกอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายแต่เดิมของจักรวรรดิบาลุคเราคือปราบจักรวรรดิโรฮอลท์และพิชิตทุ่งราบใหญ่ตะวันออก แต่ตอนนี้ข้าต้องการให้เจ้าชะลอระดับการโจมตีให้ช้าลง อย่าใจร้อนและไม่ต้องโลภมาก ต่อให้เราสามารถได้รับดินแดนพวกเขาเกินครึ่ง,หนึ่งในสามหรือน้อยกว่าดินแดนพวกเขาก็ตาม นั่นก็ยังยอมรับได้”
ซีน่าสับสนทันที
เมื่อคืนนี้เขายังได้ยินและเข้าใจว่าเซียนของสามจักรวรรดิมีความเหนือกว่าอย่างแน่นอน ไม่น่าจะมีตัวแปรอื่นในสงครามนี้เลยแม้แต่น้อย
“ท่านลุง...” ซีน่าอดแทรกไม่ได้
“ฟังข้าก่อน” ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว ซีน่าไม่กล้าส่งเสียงต่อไปทันที
ลินลี่ย์พูดอย่างจริงจัง เขาขมวดคิ้ว “ประเด็นที่สองก็คือ...ในสงครามทวีปที่กว้างใหญ่นี้,เป้าหมายของจักรวรรดิบาลุคของเราไม่ใช่เพื่อพิชิต แต่เป็นเพื่อปกป้องตัวเอง”
ตอนนี้ ซีน่ายิ่งสับสนมากขึ้น
“ประเด็นสุดท้าย ข้าต้องการให้เจ้า, ซีน่า..ระมัดระวัง, รอบคอบไว้, รอบคอบ” ลินลี่ย์เองเข้าใจความสำคัญตรงนี้ “การกระทำทั้งหมดของเจ้าควรจะมีเป้าหมายเพื่อให้ปกป้องพวกเราเองได้”
ลอร์ดเบรุตเป็นคนระดับไหนแล้ว?
เขาคือคนที่สามารถสั่งได้กระทั่งมหาพรต,เทพสงครามและลินลี่ย์เอง ลอร์ดเบรุตเน้นเรื่องนี้กับเขาเอง ดังนั้นนี่จะต้องเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ที่สำคัญที่สุด เหตุการณ์ที่ลอร์ดเบรุตพิจารณาว่าน่าสังเกตต้องมีอยู่น้อยมากแน่นอน
“เจ้าได้ยินคำพูดของข้าชัดไหม?” ลินลี่ย์ย้ำ
“ข้าทราบแล้ว” ซีน่าขมวดคิ้วจากนั้นถามอย่างสงสัย “ท่านลุง, ข้าอยากถาม.. แม้ว่าเราจะยังไม่เริ่มทำสงคราม แต่การเริ่มต้นและการจบสิ่งที่ได้ตั้งเป้าไปแล้วก็ควรทำ แล้วทำไมท่านลุง..”
ซาสเลอร์ บาร์เกอร์และน้องๆ รวมทั้งคนอื่นที่อยู่ใกล้ๆล้วนเข้าใจสิ่งที่ลินลี่ย์พูด... แต่พวกเขายังงงอยู่บ้าง
พวกเขาทำลายศาสนจักรเจิดจรัสไปแล้ว ขณะที่การทำลายลัทธิเงาก็ถูกจัดการโดยกองกำลังภายใต้บัญชาการของเทพสงครามและมหาพรต ถ้าสงครามเริ่มขึ้นจริงๆ พวกเขาก็น่าจะชนะได้แน่นอน
ลินลี่ย์ส่ายศีรษะ “ทั้งหมดที่ข้าบอกพวกเจ้าได้ก็คือมีอันตรายแฝงอยู่ในสงครามครั้งนี้มากกว่าที่พวกเจ้าจะจินตนาการได้ แม้แต่ระดับเทพก็ยังไม่ประมาทกับอันตรายเหล่านี้”
ยอดฝีมือทั้งหมดในห้องโถงรู้ตกตะลึงอยู่ในใจ
ระดับเทพ?
ปัจจุบันนี้ปราสาทเลือดมังกรยังไม่มีนักสู้เข้าถึงระดับเทพที่แท้จริงสักคน เดเลียเพียงแต่หลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์ของนางได้ครึ่งทางเท่านั้น ขณะที่บาร์เกอร์เพิ่งจะเริ่ม
“ท่านลุงไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ให้ท่านต้องกังวลเกินไป” ตอนนี้ซีน่ารู้ว่าสถานการณ์จริงจังแค่ไหน จึงรับปากทันที
ลินลี่ย์พยักหน้า
เขาค่อนข้างมั่นใจในตัวซีน่า ความจริง แม้แต่ตอนก่อนจะเข้าสุสานเทพเจ้าวอร์ตันปรึกษาเรื่องจักรพรรดิคนต่อไปถัดจากเขา เวลานั้นวอร์ตันเตรียมจะตั้งให้เทย์เลอร์บุตรของลินลี่ย์เป็นจักรพรรดิคนถัดไป แต่ลินลี่ย์เข้าใจดีถึงอารมณ์ของเทย์เลอร์กับซีน่า
ซีน่าเป็นคนที่ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างมีเมตตา แต่เมื่อเวลาต้องลงมือเขาจะทำได้รวดเร็วและทรงพลังราวสายฟ้าฟาด นี่คือคนที่เหมาะกับการเป็นจักรพรรดิ
“หลังจากพูดคุยกันเรื่องนี้แล้ว มีแค่อีกเรื่องเดียวที่เหลืออยู่” ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะ เมื่อเห็นแววตาของทุกคนลินลี่ย์เข้าใจว่าพวกเขากำลังคิดอะไร “เอาล่ะ, ข้ากำลังจะเตรียมตัวขังตัวฝึกฝนระยะยาว แต่แน่นอนว่าเดเลียจะเข้าไปฝึกกับข้าบาร์เกอร์ก็ต้องการฝึกฝนเช่นกัน สำหรับสถานที่ สถานที่จะเป็นที่ห้องฝึกฝนใต้ดิน”
ซีน่า เทย์เลอร์และชาชามองดูลินลี่ย์นัยน์ตาพวกเขาเต็มไปด้วยความเทิดทูน
บิดา (ลุง) ของพวกเขาไม่ต้องฝึกเป็นเวลาร้อยปี เพียงอาศัยความสามารถของตัวท่านเองก็กำลังจะกลายเป็นเทพแล้ว!
นักสู้ระดับเทพสำหรับพวกเขาคือผู้ที่น่าเคารพและมองด้วยความเทิดทูน
“ลอร์ดลินลี่ย์” บาร์เกอร์กล่าว
“หืม?” ลินลี่ย์มองดูบาร์เกอร์
บาร์เกอร์พูดอย่างจริงใจ “ท่านลอร์ดลินลี่ย์ กระบวนการหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์ต้องให้ผู้หลอมรวมศึกษาความลึกลับของกฎธาตุที่บรรจุอยู่ในนั้นไม่จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ”
ลินลี่ย์พยักหน้า
การกลายเป็นเทพวิถีธรรมชาติจำเป็นต้องฝึกฝนกันอย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องกับธรรมชาติจึงจะได้รับการรู้แจ้งใหม่ ก็หมายความว่าทุกอย่างที่เขาค้นพบในเส้นทางการฝึกต้องมาจากภายใน
การหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์ ตรงกันข้ามหมายถึงความลึกลับกฎธรรมชาติจะถูกวางอยู่ต่อหน้าท่านและทั้งหมดที่ท่านต้องทำก็คือเรียนรู้ ขณะที่การหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์ผู้หลอมรวมไม่ต้องปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ
“นั่นคือเหตุผลที่ข้าคิดว่าบางทีข้าไม่จำเป็นต้องเข้าห้องฝึกใต้ดินก็ได้ ข้าจะอยู่ที่ปราสาทเลือดมังกรและฝึกของข้าที่นี่ก็ได้” บาร์เกอร์กล่าว ความจริงจุดใหญ่ใจความก็คือบาร์เกอร์ต้องการใช้เวลากับภรรยาของเขามากขึ้น ที่สำคัญก็คือเขาสามารถหยุดการหลอมรวมเมื่อใดก็ได้ที่เขาต้องการ
นี่เหมือนกับการอ่านหนังสือท่านไม่ต้องอ่านหนังสือตลอดเวลารวดเดียวก็ได้
แต่แน่นอนว่า เหตุผลที่สองก็คือบาร์เกอร์ไม่ต้องการรบกวนลินลี่ย์กับเดเลีย ที่สำคัญทั้งสองเป็นสามีและภริยากัน! มีคู่สามีกับภรรยาฝึกวิชาด้วยกันถ้าเขาต้องอยู่ที่นั่นด้วย บางครั้งหลายๆ อย่างอาจจะน่าอึดอัด
“บางทีอย่างนั้นอาจจะดีที่สุดก็ได้” ลินลีย์พยักหน้าหัวเราะ
แต่จากนั้น ลินลี่ย์หันไปมองทุกคนอย่างจริงจัง เขากล่าว “คืนนี้ข้ากับเดเลียจะเริ่มขังตัวฝึกฝน ขณะที่เราฝึกฝนเว้นแต่มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้มารบกวนเราที่ห้องใต้ดิน”
ทุกคนพยักหน้า
ทันใดนั้นลินลี่ย์นึกถึงคำเตือนของเบรุตอีกครั้ง
เขารีบเสริมต่อ “แต่แน่นอน ถ้าพวกเจ้าเผชิญพบกับเรื่องวิกฤติยุ่งยากเมื่อจำเป็นก็แจ้งให้เราทราบได้ ทุกคนต้องแน่ใจว่าพวกเจ้ารู้ขีดจำกัดของตนเองดี โดยทั่วไปถ้าพวกเจ้าเผชิญเรื่องที่แปลกประหลาดหรืออันตราย ดีที่สุดให้แจ้งข้าให้เร็ว อย่ากระทำการบุ่มบ่าม”
เมื่อไม่ให้คำแนะนำเพิ่มเติม ลินลี่ย์ไม่อาจไว้วางใจได้เด็ดขาด
“พี่ใหญ่ อย่ากังวลไปเลย เราจัดการได้” วอร์ตันหัวเราะขณะกล่าว
“ซาสเลอร์” ลินลี่ย์หันไปมองซาสเลอร์ที่อยู่ใกล้ๆ “ท่านเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากที่สุดในกลุ่มของพวกเรา ถ้าเกิดเรื่องใหญ่ใดๆ ขึ้น ท่านปล่อยให้พวกนี้สุมหัวฝืนแก้ปัญหาจะเกิดเรื่องยุ่งยากได้” ลินลี่ย์เข้าใจอารมณ์ของวอร์ตันและพี่น้องบาร์เกอร์ดี
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนบุ่มบ่ามใจร้อนมาก แต่เมื่อพวกเขาโกรธจริงๆไม่ว่าใครก็มักจะสูญเสียความคิดปล่อยให้ความโกรธครอบงำ
“ตกลง, ลอร์ดลินลี่ย์” ซาสเลอร์กล่าว
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
เขาพูดทุกอย่างที่เขาต้องพูดไปแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ภายในทวีปยูลานแน่ และเหตุผลที่เบรุตเตือนเขา อย่างน้อยลินลี่ย์ก็ยังได้เตรียมตัวไว้บ้าง
เมื่อความมืดโรยตัว ลึกลงไปในปราสาทเลือดมังกร ภายในห้องมิติ
ห้องมิติถูกรายล้อมไปด้วยมิติที่ปั่นป่วนไม่มีที่สิ้นสุดทั้งสี่ด้าน
พื้นที่ปั่นป่วนมีสีสันแตกต่าง...แน่นอนว่าเต็มไปด้วยความลี้ลับและลึกลับแต่ลินลี่ย์และคนอื่นรู้ดีว่ามิติที่ปั่นป่วนนั้นอันตรายแค่ไหน แม้แต่นักสู้ระดับเทพก็ยังไม่กล้าบุกเข้าไปในพื้นที่นั้น
ลินลี่ย์โอบเดเลียไว้ในอ้อมแขนจุมพิตนางเบาๆ จากนั้นมองและแนะนำนาง “เดเลีย, เจ้านั่งอยู่บนเตียงศิลาในตอนฝึก ข้าจะนั่งอยู่บนพื้น”
เมื่อลินลี่ย์ฝึกสัจธรรมแห่งความเร็วจำเป็นต้องมีการทดสอบและเคลื่อนไหวบางอย่าง ปกติเขาต้องการพื้นที่มากกว่าเดเลียที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวขณะที่หลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์
“เข้าใจแล้ว” เดเลียพยักหน้าอย่างว่าง่าย และจากนั้นมองดูลินลี่ย์อย่างคาดหวัง “ลินลี่ย์, จงตั้งใจฝึก ไม่ต้องห่วงข้า”
ลินลี่ย์และเดเลียแยกกันนั่งทำสมาธิคนหนึ่งอยู่บนเตียงศิลา อีกคนหนึ่งอยู่บนพื้น
แทบจะทันทีลินลี่ย์พบว่าเขาเองดำดิ่งปรับตัวเข้ากับธาตุลม ครั้งนี้ลินลี่ย์ทุ่มเทจิตใจวิเคราะห์กฎธาตุลม ที่สำคัญลินลี่ย์เกือบจะถึงระดับเทพผ่านความรู้แจ้งสัจธรรมแห่งความเร็ว เนื่องจากสัจจธรรมแห่งธาตุดินหนทางยังไม่เปิด
สิ่งที่ลินลี่ย์ต้องทำในตอนนี้ก็คือเข้าถึงระดับเทพผ่านสัจจธรรมแห่งความเร็วให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้
“ตั้งแต่ข้าบรรลุเป็นเซียนจอมเวทและพลังวิญญาณเปลี่ยนไป แม้แต่ความเร็วในการฝึกและการสร้างทฤษฎีก็เพิ่มขึ้นมากมาย” ลินลี่ย์รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นและจากนั้นพลังวิญญาณของลินลี่ย์ขยายออกไปปรับตัวเข้ากับความสั่นสะเทือนของแก่นธาตุลมโดยรอบ
ภายในสำนึกของเขา ด้าน ‘เร็ว’ และด้าน ‘ช้า’สองด้านที่แตกต่างกันนี้เริ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน และกระบี่ลวงตาทั้งสองด้านพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ลินลี่ย์ทดสอบความต่างกันของด้านทั้งสองสามารถส่งเสริมและสนับสนุนกันอย่างไรอย่างไหนจะช่วยให้เขารู้แจ้งความรู้ในสัจธรรมแห่งความเร็วได้ ในใจเขาเขายังคงมองเห็นกระบี่ที่สามซึ่งแสดงให้เห็นถึงกระประยุกต์ใช้สัจธรรมแห่งความเร็ว...
เมื่อใดก็ตามที่การสร้างภาพทางใจไม่สามารถคลี่คลายความสงสัยของลินลี่ย์ได้ ลินลี่ย์จะลุกขึ้นยืนและลองทฤษฎีในชีวิตจริง
การปรับ วิเคราะห์ ผสมผสาน ใช้งาน ได้รับความรู้และทดสอบ...
ลินลี่ย์จะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ เขาลืมเวลาที่ผ่านไป โลกภายในใจของเขาไม่มีอะไรนอกจากกระบี่สามเล่ม กระบี่ ‘เร็ว’ กระบี่ ‘ช้า’ และกระบี่ที่ผสานสัจธรรมแห่งความเร็วกระบี่ในจิตสำนึกทั้งสามเล่มนี้เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลังของกระบี่ลวงตาสัจธรรมแห่งธาตุลมเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน