บทที่ 16: โลกมนุษย์หรือโลกเซียน?
บทที่ 16: โลกมนุษย์หรือโลกเซียน?
หลังจากปรับสภาพจิตใจมาตลอดทั้งคืน
ไม่ว่าจะเป็นเป่ยฉิงซูหรือหลี่หมิงเฉียง ทั้งสองต่างก็เป็นเหมือนกับเด็กน้อยที่เชื่อฟัง
แม้ว่าพวกเขาจะได้รับอนุญาตจากซุยเฮ็งให้ยืนขึ้น แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าไปในวิลล่าโดยตรง พวกเขายังคงรอการอนุญาตจากซุยเฮ็งก่อนจะเข้าไป
และทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในวิลล่า ปัญญาประดิษฐ์ก็ได้ทักทายพวกเขาโดยอัตโนมัติ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาตกใจมาก
สิ่งประดิษฐ์เซียน!
สมบัติวิญญาณ!
ชื่อของสมบัติต่างๆ ปรากฏขึ้นในความคิดของพวกเขาไม่หยุดหย่อน
ในความเข้าใจของพวกเขา มันก็มีเพียงสิ่งประดิษฐ์เซียนหรือสมบัติวิญญาณเท่านั้นที่จะมีสติปัญญาและสามารถพูดตอบโต้กับผู้คนโดยอัตโนมัติได้
สิ่งนี้ทำให้เป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียงรู้สึกว่าซุยเฮ็งนั้นทรงพลังมาก เขาแตกต่างจากคนธรรมดาไปโดยสิ้นเชิง!
ท้ายที่สุดแล้ว แค่พละกำลังที่ปรมาจารย์เซียนผู้นี้แสดงออกมา มันก็ได้สะท้อนให้เห็นแล้วมันมีเต๋าอันยิ่งใหญ่แฝงอยู่ในทุกการเคลื่อนไหวของเขา
นอกจากนี้ บ้านหลังนี้เองก็อาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์เซียนในตำนานด้วยก็ได้!
ในฐานะลูกชายคนโตของตระกูลขุนนางชั้นสูงและองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดในราชสำนัก ทั้งสองก็สามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากมาย แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังไม่เคยได้ยินแม้แต่ข่าวลือเกี่ยวกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน!
แม้แต่ผู้อาวุโสที่มีข่าวลือว่าอาศัยอยู่อย่างสันโดษภายในสำนักเซียนอันที่ยิ่งใหญ่ก็ยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับเขาได้
เขาจะต้องเป็นเซียนเหนือเซียนอย่างแน่นอน!
ด้วยเหตุนี้เอง คู่ปรับทั้งสองจึงลงมติเป็นเอกฉันท์
การมาที่นี่และได้พบกับประมุเซียนนั้นถือเป็นโอกาสอันล้ำค่าที่ไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้ มันเป็นพรที่พวกเขาได้รับหลังจากสะสมบุญมานาน!
ด้วยเหตุนี้เอง เป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียงจึงหวงแหนโอกาสนี้อย่างมาก พวกเขาระมัดระวังอย่างมากในทุกการกระทำของพวกเขา
เมื่อทั้งสองคนเข้ามาอยู่ในวิลล่าเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะนั่งลงหากไม่ได้รับอนุญาตจากซุยเฮ็ง พวกเขายืนอยู่ที่มุมกำแพงเหมือนกับเด็กที่ถูกทำโทษ
สถานการณ์นี้อยู่เหนือการคาดการณ์ของซุยเฮ็งไปเล็กน้อย
เดิมที เขาก็ต้องการให้เด็กทั้งสองนั่งคุกเข่าอยู่ข้างนอกสักพักเพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่าความเคารพคืออะไร เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าผลที่ได้จะออกมาดีขนาดนี้
“หรือเป็นเพราะยิ่งรู้มาก จินตนาการของพวกเขาถึงได้ไปไกลมากเช่นกัน?” ซุยเฮ็งคิดกับตัวเอง เขากำลังหั่นมะเขือเทศและเตรียมทำมะเขือเทศกับไข่คนและบะหมี่สำหรับอาหารเช้า
เขาหั่นมะเขือเทศสองลูกเป็นชิ้นเล็กๆ ด้วยมีดแล้วโยนมันลงในกระทะโดยตรงเพื่อผัด ไม่นาน กลิ่นหอมก็ลอยออกมาจากครัว
สำหรับเป่ยฉิงซู ฉากนี้ก็ทำให้สมองของเขาแทบจะละลาย
นั่นคือโอสถเซียน!
นั่นคือผลไม้สีแดงเพลิง!
ก่อนหน้านี้เขาก็เก็บมันอย่างลวกๆ แต่พอมาตอนนี้ เขาก็กำลังผัดมันกินราวกับผักกาด?!
นี่มันไร้สาระเกินไปแล้ว!
ในทางกลับกัน หลี่หมิงเฉียงก็จดจ่ออยู่กับการทำอาหารของซุยเฮ็ง ราวกับว่าเธอกำลังพยายามที่จะทำความเข้าใจอะไรบางอย่างจากมัน
ครู่ต่อมา ไข่คนกับมะเขือเทศผัดก็ถูกนำออกมาเสิร์ฟ
ซุยเฮ็งนำจานไปวางที่โต๊ะอาหารและมองไปที่เป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียง เขาหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ไหนบอกข้ามาทีว่าพวกเจ้ามาจากไหน และทำไมพวกเจ้าถึงกลายมาเป็นศัตรูกัน ให้เด็กหญิงพูดก่อนนะ”
เป่ยฉิงซูกำลังจะพูด แต่เมื่อเขาได้ยินประโยคสุดท้าย เขาก็รีบหุบปากลง
หลี่หมิงเฉียงดูมีความสุขและพูดด้วยความเคารพว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
จากนั้นเธอก็เล่าเรื่องต่างๆ ให้ซุยเฮ็งฟัง
จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิต้าโจวมีบุตรชายสามคนและบุตรสาวห้าคน หลี่หมิงเฉียงหรือองค์หญิงหยงอันมีอายุน้อยที่สุดและยังเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดในหมู่พวกเขา เธอเป็นองค์หญิงเพียงคนเดียวในราชวงศ์ต้าโจวที่ได้รับพระราชทานปิ่นหยกเก้าดอกบ๊วย
เธอและองค์ชายสามหลี่หมิงเฉิงเกิดมาจากมารดาคนเดียวกัน และแม้ว่าพวกเขาจะอายุห่างกันถึง 10 ปี แต่พวกเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลี่หมิงเฉิงก็จะปกป้องและดูแลเธออยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม ในวันเกิดปีที่ 6 ของเธอ หลี่หมิงเฉิงก็ได้ออกเดินทางโดยกะทันหันและบอกว่าเขากำลังจะไปทำธุระที่สำคัญมาก และตั้งแต่นั้นมา เขาก็ไม่กลับมาอีกเลย
ต่อมา หลี่หมิงเฉียงก็ใช้ประโยชน์จากอายุที่ยังน้อยของเธอแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาและขอข้อมูลมากมาย และหลังจากสืบสวนมาได้ครึ่งปี ในที่สุดเธอก็ได้รู้ความจริง
ปรากฎว่าผู้อาวุโสของสำนักเซียนได้ค้นพบดินแดนลึกลับโบราณที่อาจมีสมบัติหลงเหลืออยู่จากยุคบรรพกาลในตำนาน
อย่างไรก็ตาม การจะเข้าไปในดินแดนลึกลับนี้ได้ มันก็จำเป็นจะต้องใช้เลือดของผู้ที่มีร่างกายพิเศษ
และร่างกายพิเศษนี้ก็เป็นที่รู้จักกันในนาม “กายานักบุญบรรพกาล”
ในจักรวรรดิต้าโจวทั้งหมด มันก็มีเพียงองค์ชายหลี่หมิงเฉิงเท่านั้นที่มีร่างกายนี้
ดังนั้นภายใต้การยุยงของผู้อาวุโสจากสำนักเซียน ตระกูลขุนนางจำนวนมากจึงได้ร่วมมือกันเพื่อบังคับให้ราชวงศ์ต้าโจวส่งมอบองค์ชายหลี่หมิงเฉิงมาให้กับพวกเขา
รากฐานของราชวงศ์ต้าโจวนั้นเกิดจากการสนับสนุนของตระกูลขุนนางหลายตระกูล ดังนั้นอำนาจและอิสระของราชวงศ์จึงมีขีดจำกัด และเนื่องจากแรงกดดันจากภายนอกที่เสริมเข้ามาอีก พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องส่งมอบหลี่หมิงเฉิงให้กับอีกฝ่าย
และเพื่อรักษาหน้าให้กับราชวงศ์ ทางสำนักและตระกูลขุนนางต่างๆ จึงได้รับปากว่าพวกเขาจะไม่ยอมปล่อยให้หลี่หมิงเฉิงต้องเสียชีวิตแน่นอน
อย่างไรก็ตาม อันตรายในดินแดนลึกลับโบราณนั้นก็อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน ทันทีที่ดินแดนลึกลับโบราณถูกเปิดออก หลี่หมิงเฉิงก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ตระกูลขุนนางทั้งหมดต่างก็สัมผัสได้ถึงอันตรายเช่นกัน แต่เนื่องจากเจตจำนงอันแน่วแน่ของผู้อาวุโสจากสำนักเซียน ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงรั้งตัวเองและเข้าไปสำรวจ
และเป็นไปตามคาด การสำรวจครั้งนี้เป็นเหมือนกับกับดักชิ้นใหญ่
ผู้ฝึกตนขอบเขตเทพ 10 คนและเซียนมนุษย์ 3 คนได้เสียชีวิตลงในดินแดนลึกลับโบราณ!
และแม้ว่าผู้ฝึกตนที่เหลือจะโชคดีพอที่จะหลบหนีออกมาได้ แต่พวกเขาทั้งหมดก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสและบาดเจ็บเจียนตาย และด้วยเหตุนี้เอง ความแข็งแกร่งของตระกูลขุนนางต่างๆ จึงลดลง
แม้แต่ตัวตนที่ทรงพลังจากสำนักเซียนก็ต้องถอยกลับไปรักษาตัว
และในท้ายที่สุด ราชวงศ์ต้าโจวก็สามารถกลับมามีอำนาจปราบปรามตระกูลขุนนางได้อย่างสมบูรณ์
ท้ายที่สุดแล้ว จักรพรรดิต้าโจวก็ไม่ต้องการจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ
และเพื่อล้างแค้นให้กับพี่ชายของเธอ หลี่หมิงเฉียงก็ยังคงสืบสวนและพบว่าคนที่เชิญหลี่หมิงเฉิงไปนั้นก็คือบุตรชายคนโตของตระกูลเป่ยแห่งหลินเจียง เป่ยฉิงซู
ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงเฝ้าอ้อนวอนต่อจักรพรรดิต้าโจวทุกวี่ทุกวัน
และแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถลงโทษตระกูลขุนนางทั้งหมดได้ แต่อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ยังสามารถลงโทษบางคนก่อนได้
จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อน ในที่สุดจักรพรรดิต้าโจวก็ทนฟังคำร้องของหลี่หมิงเฉียงอีกต่อไปไม่ไหว เขาได้สั่งให้ราชสำนักออกพระราชกฤษฎีกา
“เป่ยฉิงซู บุตรชายคนโตของตระกูลเป่ยได้เชิญองค์ชายหลี่หมิงเฉิงออกไปและทำให้องค์ชายต้องหายตัวไป อีกทั้งความเป็นและความตายของพระองค์ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ ดังนั้นเป่ยฉิงซูจึงถือได้ว่าก่ออาชญากรรมร้ายแรง”
สถานะของเขาในฐานะทายาทสายตรงถูกปลดออก และวรยุทธ์ของเขาก็พิการ นอกจากนี้ ขาของเขาก็ยังถูกทำร้ายจนทำให้ไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป
ในขณะเดียวกัน หลี่หมิงเฉียงก็ยังคงฝึกฝนวรยุทธ์ของเธอต่อไปอย่างขยันขันแข็ง เธอวางแผนที่จะฆ่าล้างตระกูลขุนนางเหล่านี้ทั้งหมดและล้างแค้นให้กับพี่ชายของเธอในสักวันหนึ่ง!
เมื่อเธอพูดถึงส่วนสุดท้าย อารมณ์ของเป่ยฉิงซูก็เดือดดาลจนถึงขีดสุด เขากัดฟันและอยากจะสบถออกมาดังๆ
เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเขา!
เขาก็แค่ทำตามคำสั่งของผู้นำตระกูล!
แต่เนื่องจากซุยเฮ็งอยู่ด้วย เขาจึงไม่กล้าจะส่งเสียงใดๆ
“ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงผู้เสียสละในการแสวงหาซึ่งอำนาจ” ซุยเฮ็งเข้าใจสาระสำคัญของเรื่องนี้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เขาก็กังวลเกี่ยวกับข้อมูลที่หลี่หมิงเฉียงกล่าวถึงมากกว่า
สำนักเซียน, ผู้ทรงอำนาจ, กายาศักดิ์สิทธิ์, ดินแดนลึกลับโบราณ, ยุคบรรพกาลในตำนาน, ขอบเขตเทพ, เซียนมนุษย์… สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมือนกับเรื่องราวในโลกเซียน
โลกมนุษย์ทั่วไปคงจะไม่มีชื่อแบบนี้
เป็นไปได้ไหมว่าทั้งสองคนนี้จะมาจากโลกที่อยู่ในระดับสูงพอๆ กันกับโลกเซียน?
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง โลกใบนั้นก็จะอันตรายยิ่งกว่าโลกมนุษย์ธรรมดาๆ มาก!