บทที่ 15: นี่คือปรมาจารย์เซียนหรอ?
บทที่ 15: นี่คือปรมาจารย์เซียนหรอ?
ในขณะที่ซุยเฮ็งสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้า เป่ยฉิงซูซึ่งอยู่ข้างนอกก็สังเกตเห็นสถานการณ์ภายนอกด้วยเช่นกัน
ในขณะนี้ พวกเขาทั้งสองก็เห็นร่างเล็กๆ กำลังพุ่งทะลุเมฆลงมาอย่างรวดเร็ว
ด้วยการตกจากความสูงระดับนี้ มันก็อาจจะทำให้คนๆ นี้กลายเป็นเนื้อบดได้ในทันที
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ เป่ยฉิงซูก็เห็นเมฆควบแน่นอย่างรวดเร็ว มันบินมาอยู่ใต้ร่างนั้นและยกเธอขึ้นก่อนที่จะร่อนลงมาอย่างช้าๆ
แท้จริงแล้วมันก็เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ
เธอดูมีอายุประมาณ 8 ถึง 9 ขวบ
เด็กหญิงตัวเล็กสวมชุดสีเหลืองปักลายด้วยด้ายสีเงิน นอกจากนี้ มันก็ยังมีเครื่องประดับที่ทำมาจากทอง, เงินและหยกแขวนอยู่บนตัวเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอมาจากภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน
สิ่งที่เป่ยฉิงซูกังวลมากที่สุดก็คือปิ่นปักผมบนศีรษะของเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้
มันเป็นปิ่นลายดอกบ๊วยเก้าดอกที่แกะสลักมาจากหยกอุ่น
ปิ่นหยกดอกบ๊วย!
มีเพียงองค์หญิงแห่งจักรวรรดิต้าโจวเท่านั้นที่มีสิทธิ์จะได้สวมใส่ปิ่นที่พิเศษเช่นนี้!
นอกจากนี้ มันก็ยังไม่ใช่ว่าองค์หญิงทุกคนจะสามารถสวมใส่มันได้ พวกเธอจะสามารถสวมใส่มันได้ก็ต่อเมื่อได้รับการพระราชทานจากจักรพรรดิ!
จำนวนดอกบ๊วยบนปิ่นหยกเองก็มีความแตกต่างกันเช่นกัน
ยิ่งมีจำนวนดอกบ๊วยมากเท่านั้น คนๆ นั้นก็จะยิ่งมีฐานะสูงมากเท่านั้น
และในจักรวรรดิต้าโจวทั้งหมด มันก็มีองค์หญิงเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถสวมใส่ปิ่นหยกที่มีดอกบ๊วยเก้าดอกได้
นั่นคือองค์หญิงหยงอัน หลี่หมิงเฉียง!
“มันคือนาง!”
จิตสังหารพุ่งผ่านดวงตาของเป่ยฉิงซู
เขารู้ว่าขาของเขาพิการเช่นนี้ก็เป็นเพราะองค์หญิงหยงอัน!
ในขณะนี้ หลี่หมิงเฉียงก็ยังคงนั่งมึนอยู่บนก้อนเมฆ
หลังจากที่เธอมองไปรอบๆ เธอก็ตระหนักได้ว่าเธอได้ถูกพาตัวออกมาจากวัง เธอรู้สึกตกใจอย่างมากในทันที
ใครกันที่มีความสามารถในการพาเธอออกมาเช่นนี้ได้?
นั่นคือวังหลวง สถานที่ที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดบนโลก!
“เจ้าเป็นใครกัน?” หลี่หมิงเฉียงสังเกตเห็นเป่ยฉิงซู เธอกระโดดลงมาจากก้อนเมฆและเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง “เจ้าเป็นคนพาข้ามาที่นี่หรอ?”
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
นั่นเป็นเพราะเป่ยฉิงซูกำลังคุกเข่าอยู่ นอกจากนี้ มันก็ยังมีโคลนติดอยู่ตรงฝ่ามือและแขนเสื้อของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งจะทำการคำนับลงกับพื้น
และทิศทางที่เขาคำนับให้นั้นก็คือ...
บ้านหน้าตาประหลาดนั่นน่ะหรอ?
หลี่หมิงเฉียงมองไปที่วิลล่าหรูของซุยเฮ็งอย่างอยากรู้อยากเห็น
แม้ว่าเด็กหญิงจะมีอายุเพียง 9 ขวบ แต่ความเฉลียวฉลาดและทักษะการสังเกตสิ่งรอบตัวของเธอนั้นก็เหนือกว่าคนทั่วไปมาก
“มีเซียนอยู่ในนั้นอย่างงั้นหรอ?”
ในวินาทีถัดมา หลี่หมิงเฉียงก็โค้งคำนับไปทางวิลล่าด้วยความเคารพเช่นกัน ในฐานะองค์หญิง เธอก็รู้ดีว่าเซียนนั้นทรงพลังเพียงใด
ด้วยการที่เขาสามารถเพิกเฉยต่อทหารรักษาการณ์ของวังหลวงและพาเธอออกมายังสถานที่แห่งนี้ได้ มันก็มีเพียงเซียนเท่านั้นที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้!
“สมแล้วที่เป็นองค์หญิงหยงอันผู้ซึ่งได้รับความโปรดปรานจากราชสำนัก เจ้าไม่ได้มีความเคารพต่อท่านปรมาจารญ์เซียนเลย” เป่ยฉิงซูหัวเราะเยาะ
“ปรมาจารย์เซียน?” หลี่หมิงเฉียงมองไปที่เป่ยฉิงซูด้วยความสับสน เธอมองดูเขาและสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที “เจ้าคงจะเป็นทายาทสายตรงของตระกูลเป่ยแห่งหลินเจียงสินะ ข้าจำเสื้อผ้าของเจ้าได้”
“จะยังไงก็เถอะ นายน้อยเป่ยฉิงซูของเจ้าเสียชีวิตไปแล้วรึยังล่ะ?”
แม้ว่าเด็กหญิงคนนี้จะยังเด็ก แต่คำพูดของเธอก็เต็มไปด้วยความอาฆาต
“ข้านี่แหละคือเป่ยฉิงซู!” เป่ยฉิงซูกัดฟันและยืนขึ้น เลือดของเขาเดือดพล่านและเขาก็ลืมเรื่องการวางตัวไปจนหมด
ซุยเฮ็งไม่ได้รีบร้อนจะเข้ามาดูสถานการณ์
เขายืนนิ่งอยู่บนระเบียงชั้นสามและมองลงมาที่พวกเขาทั้งสองคน
“น่าสนใจ”
เมื่อซุยเฮ็งได้ยินการสนทนาระหว่างเด็กทั้งสอง มุมปากของเขาก็โค้งขึ้นเล็กน้อย
กี่ปีแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน?
มันน่าจะมากกว่า 150 ปีแล้วใช่ไหม?
สิ่งนี้น่าสนใจมาก!
ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ การโต้เถียงทางวาจาก็ได้ลุกลามจนกลายเป็นความโต้ตอบทางร่างกาย
เป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียงต่างก็มีทักษะวรยุทธ์ติดตัว ดังนั้นเมื่อพวกเขาทั้งสองต่อสู้กัน ฝุ่นหินดินทรายจึงปลิวว่อนไปทั่วทุกที่ เสียงหมัดและฝ่ามือกระแทกกันดังก้องโครมคราม ลมกระโชกแรงพัดผ่านก้อนหินและผืนดินจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
สิ่งที่น่าตลกที่สุดคือเป่ยฉิงซูไม่สามารถเอาชนะเด็กหญิงอายุ 9 ขวบได้
เขาถูกทำร้ายร่างกายจนหมดสภาพและไม่สามารถตอบโต้อะไรได้อีก
“คืนชีวิตพี่ชายของข้ามานะ!”
หลี่หมิงเฉียงตะโกนลั่น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความอาฆาตในขณะที่เธอยกกำปั้นขึ้นและกำลังจะทุบไปที่หัวของเป่ยฉิงซู
“ฮึ่ม!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นราวกับเสียงฟ้าร้อง
ในเวลาเดียวกัน เมฆบนท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะถูกดึงดูดโดยพลังที่มองไม่เห็น มันบดบังแสงแดดและทำให้ท้องฟ้ามืดลง
ราวกับสวรรค์กำลังพิโรธ!
เมื่อหลี่หมิงเฉียงได้สติ ความอาฆาตในดวงตาของเธอก็หายไปอย่างรวดเร็ว เธอรีบก้มหัวคำนับไปทางวิลล่าด้วยความเคารพ “หลี่หมิงเฉียงแห่งจักรวรรดิต้าโจวคารวะท่านปรมาจารย์เซียน!”
เมื่อรอดพ้นจากความตาย เป่ยฉิงซูที่กำลังรู้สึกหวาดกลัวก็รีบโค้งคำนับ เช่นเดียวกัน “ขอบคุณท่านปรมาจารย์เซียนที่ช่วยชีวิตข้า”
ความโกรธเกรี้ยวของเซียนทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี!
นี่คือพลังของผู้เป็นเซียนอย่างไม่ต้องสงสัย!
ทั้งสองโค้งคำนับด้วยความเคารพ แต่มันก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ โต้กลับมา
ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่มีใครกล้าแสดงท่าทียโสโอหังอีกต่อไป
พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นในเวลานี้
พวกเขาทั้งสองคุกเข่าลงด้วยความเคารพและรอให้ 'ท่านปรมาจารย์เซียน' ตอบกลับ
ในตอนนี้ คนหนึ่งก็รู้สึกสับสนเกี่ยวกับสถานการณ์ ในขณะที่อีกคนก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความเกลียดชัง
สุดท้ายแล้ว ทั้งคู่ก็ยังเป็นเพียงแค่เด็ก
และหลังจากได้ยินเสียงกระแอมอันเย็นชา พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาได้ทำพลาดลงไปแล้ว
แม้แต่ผู้อาวุโสของสำนักเซียนก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศจากการกระแอมได้
นี่จะต้องเป็นพลังของปรมาจารย์เซียนอย่างแน่นอน!
ในขณะนี้ ซุยเฮ็งก็ตกอยู่ในภวังค์
เด็กทั้งสองคนนี้แตกต่างจากหงฟู่กุ่ยและเจียงฉีฉี
ในคราวนี้ คนหนึ่งก็มาจากตระกูลขุนนาง ส่วนอีกคนก็เป็นองค์หญิง นอกจากนี้ ทั้งสองคนก็ยังมีทักษะวรยุทธ์ที่ดี
ตามการประเมินของซุยเฮ็ง ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะต้องอยู่ที่ขอบเขตสกัดปราณขั้นสองเป็นอย่างน้อย
และเมื่อพิจารณาถึงอายุของพวกเขาทั้งสองแล้ว การมีพลังเช่นนี้ก็นับว่าน่าประทับใจมาก
พวกเขามาจากโลกแบบไหน? พวกเขาฝึกฝนวรยุทธ์แบบใด?
นี่คือสิ่งที่ซุยเฮ็งต้องการจะทราบในเวลานี้
โดยเฉพาะอย่างหลัง
ในตอนนี้ ซุยเฮ็งก็ได้มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตก่อเกิดรากฐานแล้ว รากฐานเต๋าของเขาก็ได้เปลี่ยนกลายเป็นมหาสมุทรสีทองแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะจุดเปลวเพลิงที่แท้จริงขึ้นได้อย่างไร เมื่อมีเปลวเพลิงที่แท้จริงเท่านั้น เขาถึงจะสามารถหลอมมหาสมุทรสีทองแห่งนี้ให้กลายเป็นแก่นแท้ทองคำได้
ถ้าพวกเขาทั้งสองคนมาจากโลกแห่งวรยุทธ์หรือโลกแห่งการฝึกตน บางทีพวกเขาก็อาจจะสามารถให้แรงบันดาลใจแก่เขาและหาวิธีที่จะจุดเปลวเพลิงที่แท้จริงของเขาขึ้นมาได้
ท้ายที่สุดแล้ว ภูมิหลังของทั้งสองคนนี้ก็ดูจะไม่ธรรมดาเลย มันคงจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะสอบถามข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากพวกเขาทั้งคู่
ด้วยเหตุนี้เอง ซุยเฮ็งจึงไม่ได้รีบร้อนที่จะเปิดเผยใบหน้าของเขาและไม่ได้แสดงความสามารถมากนัก
เขาจะปล่อยให้เด็กทั้งสองคุกเข่าอยู่ข้างนอกก่อนหนึ่งคืน
“จุ๊จุ๊ ฟู่กุ่ยและฉีฉียังดีกว่านี้เลย” ซุยเฮ็งอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
…
อาจเป็นเพราะความเคารพต่อปรมาจารย์เซียน หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองคนมีบางอย่างที่อยากจะขอร้องเขา
เป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียงจึงคุกเข่าอย่างเชื่อฟังจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
และในที่สุด ซุยเฮ็งก็เดินออกมา อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้มองไปที่พวกเขาทั้งสองคน
เขาทำเพียงแค่ถือตะกร้าและเดินไปที่สวนเพื่อเก็บผักตามปกติ
ดวงตาของเป่ยฉิงซูเกือบจะถลนออกมาเมื่อเห็นการกระทำของซุยเฮ็ง
ปรมาจารย์เซียนผู้นี้ปฏิบัติต่อโอสถเซียน 'ผลไม้สีแดงเพลิง' เหมือนกับผลไม้ทั่วๆ ไป เขาโยนมันลงไปในตะกร้าแล้วเดินกลับไปที่วิลล่าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นี่คือเรื่องปกติสำหรับปรมาจารย์เซียนอย่างงั้นหรอ?
อย่างไรก็ตาม นั่นคือโอสถเซียนที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้เลยนะ!
สำหรับหลี่หมิงเฉียง ความสนใจของเธอก็อยู่ที่การกระทำของซุยเฮ็ง
ในฐานะอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงมาก เธอก็ตระหนักได้ทันทีว่าทุกการเคลื่อนไหวที่ซุยเฮ็งทำนั้นมีแก่นแท้แห่งวรยุทธ์แฝงอยู่ภายใน
ไม่ว่าจะเป็นการก้าวเข้ามาในสวนผัก วิธีที่เขาเด็ดมะเขือเทศ หรือวิธีที่เขาวางมะเขือเทศลงในตะกร้า… ในสายตาของหลี่หมิงเฉียง พวกมันก็ล้วนเป็นการเคลื่อนไหวอันลึกล้ำ
ดวงตาของเธอเป็นประกาย
สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์เซียน ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแฝงไว้ด้วยเต๋าอันยิ่งใหญ่!
“ลุกขึ้น”
ในขณะนี้ เสียงของซุยเฮ็งก็ดังออกมาจากในวิลล่า