ตอนที่11-37 ประกายศักดิ์สิทธิ์
พื้นโลหะเป็นประกายด้วยแสงเย็นยะเยือก ปีศาจดาบอเวจีนับไม่ถ้วนคุกเข่าอยู่กับพื้นหวาดกลัวปนเคารพ ขณะที่ในอากาศผู้นำของพวกเขาปีศาจดาบอเวจีสีแดงนำทางให้ลินลี่ย์อย่างนอบน้อมและทั้งสองเปลี่ยนเป็นแสงสองสายบินตรงไปที่ประกายศักดิ์สิทธิ์
โดยภาพรวมมีทางเชื่อมโยงกับสุสานเทพเจ้ากับทวีปยูลานอยู่สามทาง
สุสานเทพเจ้านี้เชื่อมโยงเข้าอุโมงค์ใต้ดินที่ก้นบึ้งทะเลใต้เป็นเส้นทางที่อันตรายที่สุดและใหญ่ที่สุด บนชั้นที่สิบเอ็ดของสุสานเทพเจ้าตั้งแต่ถูกสร้างขึ้นมายังไม่มียอดฝีมือระดับเซียนแม้แต่คนเดียวที่ทำสำเร็จได้รับสมบัติที่ซ่อนอยู่ภายในชั้นนี้ ลินลี่ย์ถือเป็นคนแรก!
สายลมพัดผมยาวของลินลี่ย์โบกสะบัด
ลินลี่ย์กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์แต่งตัวใช้ชุดคลุมร่างง่ายๆ สายลมโบกสะบัดใส่ชุดบางครั้งก็เผยให้เห็นอกที่เปลือยเปล่า
“หลังจากได้รู้แจ้งสัจธรรมแห่งความเร็วแล้วไม่ว่าจะอยู่ในร่างมังกรหรือไม่ก็ไม่มีความแตกต่างกันมาก” ลินลี่ย์โบกสะบัดกระบี่เลือดม่วงในมือ ความสามารถใช้มีดมิติบั่นเศียรของกระบี่เลือดม่วงสามารถอธิบายได้ง่ายๆ ว่า ‘คมมีดมิติขนาดเล็ก’ เซียนคนใดสัมผัสมีแต่ต้องตาย
ปีศาจดาบอเวจีสีแดงนำทางอย่างกระวนกระวายใจ
ทันใดนั้นหัวหน้าปีศาจดาบอเวจีหยุดชะงัก
“ถึงแล้วหรือ?” ลินลี่ย์ถาม
หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีแดงชี้ในที่ไกลออกไปและพูดด้วยความเคารพ “นายท่าน,สมบัติชั้นที่สิบเอ็ดของสุสานเทพเจ้าอยู่บนยอดเขานั่น”
ลินลี่ย์มองไปตามตำแหน่งที่หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีชี้นำ ในที่ไกลออกไปมีภูเขาโลหะขนาดเล็กอยู่จริงๆ แต่ภูเขานี้เต็มไปได้วปีศาจดาบอเวจีจำนวนมากและแม้ในอากาศเหนือภูเขา ก็ยังมีปีศาจดาบอเวจีบินฉวัดเฉวียนไปมา
“หืม, แล้วนี่อะไร?” ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว
หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีแดงหวาดกลัวรีบอธิบายทันที “นายท่าน,ในอดีตเรากลัวว่าผู้บุกรุกจะวิ่งบุกเข้ามาที่นี่อย่างหักโหม แน่นอนว่าเราจัดกำลังปีศาจดาบอเวจีไว้หลายหมื่นตนให้ประจำอยู่ที่นี่คอยดูแลตำแหน่งสมบัติที่สำคัญ”
“ดูเหมือนพวกเจ้าค่อนข้างรอบคอบ” ลินลี่ย์หัวเราะอย่างใจเย็น
หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีแดงรีบพูดทันที“นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะสั่งพวกเขาให้ลงมาทันที” ขณะที่เขาพูด หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีแดงเหาะขึ้นไปที่บนภูเขาทันที
บนชั้นสามของสุสานเทพเจ้า
สายลมเย็นพัดวูบ นอกจากศพเซียนสองสามรายที่เหลืออยู่ผู้เดียวก็มีแต่นาคราชที่ยังคงหลับใหล “ครอกก!” “ฟี้zzzzzzz” แต่ละครั้งที่นาคราชหายใจจะมีพลังงานสีดำออกมา นั่นคือเสียงกรนที่คุ้นเคยในชั้นสาม
ทันใดนั้น..ร่างใหญ่โตของนาคราชที่พันรอบภูเขาน้ำแข็งหายไปทันที
“นึกไม่ถึงเลยว่ามนุษย์จะทำได้สำเร็จจริงๆหรือนี่” บุรุษหนุ่มลักษณะชั่วร้ายร่างบอบบางผมสีเขียวโบกสะบัดกำลังยืนนิ่งอยู่ในกลางอากาศ เขาสวมชุดยาวสีลายฟ้าบนตัวและลวดลายบนชุดสีฟ้าถ้าตรวจสอบดูให้ดีจะมีลักษณะคล้ายกับผิวงู
“เขาทำได้สำเร็จ นั่นก็หมายความว่า ข้าจะมีอิสระมากขึ้นเช่นกันไม่จำเป็นต้องอยู่โยงที่นี่ในสิบเอ็ดชั้นแรกอีกต่อไป” เขามีรอยยิ้มเต็มหน้า “น่าเสียดาย,ข้ายังต้องรอให้ลอร์ดเบรุตมาก่อน อย่างน้อยข้าต้องรออีกสองสามเดือน หลังจากอยู่โยงที่นี่มายาวนาน รออีกสองสามวันจะเป็นไรไป”
…………
ปีศาจดาบอเวจีจำนวนมากกำลังถูกต้อนให้ถอยปล่อยให้ลินลี่ย์บินขึ้นไปบนยอดเขา
“วืดดด”รัศมีที่แทบทำให้หัวใจหยุดเต้นทะลักวูบมาทางเขา ตาของลินลี่ย์เป็นประกาย และมองดูยอดเขาอย่างระมัดระวัง มีกองสมบัติล้ำค่าวางอยู่บนพื้นแผ่นหินราบมหึมาบนยอดเขา อย่างไรก็ตามส่วนที่ดึงดูดใจในของเหล่านั้นมากที่สุดก็คือประกายศักดิ์สิทธิ์สามประกายที่เปล่งกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ของเทพ
นอกจากประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามแล้วบนพื้นแผ่นหินใหญ่ยังมีสมบัติเทพเจ้าเป็นชุดถึงสิบชิ้น
“ประกายศักดิ์สิทธิ์สามประกายสมบัติเทพอีกสิบชิ้น! มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ใจกว้างจริงๆ” ลินลี่ย์รู้สึกใจเต้นแรง ที่สำคัญเซียนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันจะได้รับประกายศักดิ์สิทธิ์สักหนึ่งชิ้น แต่ตอนนี้มีประกายศักดิ์สิทธิ์ถึงสามชิ้นวางอยู่ข้างหน้าเขา
ลินลี่ย์ไม่กังวลเรื่องอะไรอื่นเดินเข้าไปที่แผ่นหินและตรวจสอบประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามอย่างระมัดระวัง
ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามมีสีเดียวกันทั้งหมดนั้นเป็นสีดำ เพียงแต่ในใจกลางของประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม สองประกายเปล่งแสงเลือนราง ส่วนอีกหนึ่งประกายเปล่งแสงเลือนรางสีฟ้า อีกหนึ่งประกายเป็นสีเหลืองธาตุดินขณะที่ประกายสุดท้ายไม่เปล่งแสงอะไรเลย แต่กลับมีกลิ่นอายแปลกประหลาดแผ่ออกมาจากข้างในประกาย
“หนึ่งนั้นคือธาตุดินขณะที่อีกหนึ่งเป็นธาตุลม ประกายสุดท้ายเป็นประกายรูปแบบทำลายล้าง” ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว “และประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ชั้นสิบเอ็ดนี้น่าจะเป็นประกายระดับเทียมเทพ (เทพชั้นต้น)ทั้งหมด”
“เกิดอะไรขึ้น?” ใจของลินลี่ย์เต็มไปด้วยความสงสัย
“เป็นไปได้ไหมว่าผู้ควบคุมสุสานเทพเจ้านี้จะรู้ว่าคนที่จะได้รับสมบัติจะต้องเป็นคนที่ฝึกมาทางด้านสัจธรรมธาตุลมและธาตุดินทั้งสอง?” ลินลี่ย์รู้ดีว่า ประกายรูปแบบทำลายล้างเป็นของ‘วิถีทำลายล้าง’
ลินลี่ย์เป็นผู้ฝึกฝนพลังกระบี่สามารถฝึกฝนวิถีนี้ได้
“สามประกายเหล่านี้ ข้าสามารถใช้ประกายอย่างใดอย่างหนึ่งได้ เป็นเรื่องบังเอิญขนาดนั้นได้อย่างไร?ได้ทั้งสามประกายไม่ผิดเพี้ยน!” ลินลี่ย์จ้องมองประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามข้างหน้าเขา ความรู้สึกสงสัยรุนแรงเกิดขึ้นในใจ
ลินลี่ย์หันศีรษะและจ้องดูรอบตัวเขา
ทันใดนั้นเขารู้สึกเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสุสานเทพเจ้ากำลังถูกมองโดยมหาเทพจากเบื้องสูง
“บางที.....” ลินลี่ย์มองดูประกายทั้งสาม “ประกายทั้งสามเหล่านี้ถูกวางไว้ที่นี่หลังจากที่ข้าได้รู้แจ้ง ‘สัจธรรมแห่งความเร็ว’ ก็เป็นได้ บางทียอดฝีมือสูงสุดคงลอบเอาประกายทั้งสามมาวางที่นี่ตอนนั้น” ลินลี่ย์อดสงสัยเรื่องนี้ไม่ได้ ที่สำคัญ เรื่องนี้บังเอิญเกินไป
ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามนี่น่ะหรือ?
ทำไมพวกมันไม่ใช่ธาตุสายฟ้าหรือธาตุแสงหรือธาตุไฟเล่า? ทั้งหมดเหมาะกับนิสัยและธาตุสัมพันธ์ของลินลี่ย์
“ข้าควรรู้สึกภูมิใจที่ได้รับการดูแลโดยยอดฝีมือสูงสุดอย่างนี้ไหมนะ” ลินลี่ย์ลอบล้อเลียนตัวเอง ลินลี่ย์ไม่ไตร่ตรองถึงข้อสงสัยนี้ต่อไป ไม่ว่ายังไงก็ตาม ตอนนี้เขาเป็นคนที่มาถึงประตูก้าวสู่ความเป็นเทพแล้วและยังเป็นเพียงสุดยอดเซียนเท่านั้น แต่ยังไม่ใช่เทพ
มีความลับและความลึกลับหลายอย่างซึ่งเขายังไม่มีคุณสมบัติรู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้
“ข้าสามารถรู้สึกได้ถึงระดับเทพอย่างเลือนราง เป็นไปได้มากว่าเมื่อข้ากลับไปฝึกในอีกไม่กี่สิบปี ข้าจะถึงระดับเทพก็ได้” ลินลี่ย์หลังจากได้เรียนรู้ ‘สัจธรรมแห่งความเร็ว’ ได้ก็สามารถรู้สึกได้เลือนลางถึงระดับปัจจุบันที่เขาเข้าใจได้
ลินลี่ย์เคยได้ยินเทพสงครามพูดเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน
การกลายเป็นเทพด้วยตัวเองจะยากมากว่าการหลอมรวมเข้ากับประกายศักดิ์สิทธิ์เป็นร้อยเท่า ลินลี่ย์เหยียดมือเก็บประกายทั้งสามไว้ทันที จากนั้นดึงเข้ามาเก็บไว้ในแหวนมิติเก็บสมบัติ “แม้ว่าโดยส่วนตัวข้าจะไม่ต้องใช้ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม ข้าอาจให้เดเลีย และวอร์ตันใช้ก็ได้”
เนื่องจากระดับของเดเลียและวอร์ตันอาจเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะกลายเป็นเทพด้วยตัวเอง
เพียงแค่เห็นเฟนและเดลี่ต้องดิ้นรนพยายามอยู่ประตูปากทางแห่งการเป็นระดับเทพมาหลายพันปีใครๆ ก็สามารถจินตนาการได้ว่ายากเย็นเพียงไหน
ลินลี่ย์เองโชคดีพอที่หลังจากพัฒนาวิชา‘จังหวะแห่งสายลม’ ได้ เขาเผชิญหน้ากับการโจมตีของนางพญาแลชเพิล และด้วยการเลียนแบบพลังโจมตีของนาง เขาพัฒนาวิชา ‘หมื่นกระบี่พลันบรรจบ’ จากนั้นมาเนื่องจากกลายเป็นระดับเซียนจอมเวท เขาจึงเข้าใจความรู้สึกลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายใน ‘คมมีดมิติได้’
ด้วยเหตุการณ์ต่อเนื่องสามเหตุการณ์นี้....
นอกจากนี้ลินลี่ย์ยังได้รู้แจ้งในด้าน ‘เร็ว’ และ ‘ช้า’ และทั้งสองนั้นยังไม่ใช่ความรู้แจ้งระดับสูงนัก
ในเรื่องพลัง‘สัจธรรมแห่งความเร็ว’ อยู่ในระดับที่สูงกว่า ‘สัจธรรมแห่งธาตุดิน’ ‘สัจธรรมแห่งความเร็ว’ อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในวิชาที่สูงที่สุด ลึกซึ้งลึกลับที่สุดในกฎธาตุลม
“สงสัยจริงว่าเดเลีย, เทเลอร์,ชาชาและวอร์ตันเป็นยังไงบ้าง” ลินลี่ย์อดคิดถึงครอบครัวของเขาไม่ได้ “และข้าไม่รู้ว่าบาร์เกอร์เป็นยังไงบ้าง..” ในของลินลี่ย์ยังคงกังวลห่วงใยว่าบาร์เกอร์ตายหรือไม่
ลินลี่ย์ลอบถอนหายใจ
และจากนั้นลินลี่ย์มองดูสมบัติเทพทั้งสิบชิ้น สมบัติเทพทั้งสิบชิ้นเหล่านี้กระกอบไปด้วย ดาบ,กระบี่, และอาวุธประเภทหอก, คัมภีร์ดำ, แก้วผลึกลึกลับ และชุดเกราะรบ เกราะรบระดับเทพ
“เกราะรบ?” ลินลี่ย์รู้สึกยินดีในหัวใจ
ลินลี่ย์ไม่สนใจเกี่ยวกับสมบัติเทพอย่างอื่นมากนัก ที่สำคัญเขามีดาบหนักอดาแมนเทียมและกระบี่เลือดม่วงแล้ว คัมภีร์ดำและแก้วผลึกน่าจะเป็นสมบัติเทพสายมืดหรือสายพ่อมด ลินลี่ย์ไม่สามารถใช้ได้
ลินลี่ย์เก็บสมบัติเทพทั้งสิบชิ้นไว้ในแหวนมิติเก็บสมบัติทันที
“สมบัติเทพเหล่านี้จะมีประโยชน์ใช้เป็นของขวัญให้เดเลียเทเลอร์ ชาชาและคนอื่นๆ” ลินลี่ย์หัวเราะขณะมองดูรอบๆ ยอดเขา “ดูเหมือนไม่มีสมบัติอื่นที่นี่แล้ว โอว, จริงสิ นี่ไง” ลินลี่ย์จ้องมองแผ่นหินที่ใช้เก็บวงประกายศักดิ์สิทธิ์
“คนรวยมีนิสัยใจกว้างอยู่แล้ว กะอีแค่แผ่นหินที่ใช้วางประกายศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ก็ต้องเป็นสมบัติอย่างหนึ่งเช่นกัน” ลินลี่ย์เก็บก้อนหินใหญ่ไว้ในแหวนมิติด้วยเช่นกัน
แผ่นหินใหญ่นี้คือสิ่งที่เขาได้เคยอ่านในหนังสือมาบ้างแล้ว‘ศิลาโลหิต’
ศิลาโลหิตมีค่ามากพอๆกับแร่อดาแมนเทียม เป็นสมบัติจากพิภพอื่น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเครื่องมือจอมเวทหรืออาวุธ มันคือวัสดุชั้นยอด ถ้ามีคนใช้วัสดุอย่างศิลาโลหิตและอดาแมนเทียมตีเป็นอาวุธชิ้นหนึ่งเขาสามารถสร้างอาวุธเทพได้อีกชิ้น
ดาบหนักอดาแมนเทียมของลินลี่ย์ แม้ว่าจะเป็นอาวุธที่ดี แต่ก็ไม่ใช่อาวุธเทพ
ลินลี่ย์บินลงมาจากอากาศพร้อมกับรอยยิ้มและบินออกมาห่างจากภูเขา
ห่างออกไปหัวหน้าปีศาจดาบอเวจีรออย่างกระวนกระวาย ลินลี่ย์ไม่ได้สั่งให้เขาจากไป ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าไปเอง เพราะกลัวว่าลินลี่ย์จะโมโหและฆ่าเขา
“ขอแสดงความยินดีด้วยนายท่าน” หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีแดงเมื่อเห็นลินลี่ย์บินลงมารีบพูดด้วยความเคารพทันที
ลินลี่ย์มองดูปีศาจดาบอเวจีแดงจากนั้นสังเกตเห็นดาบสีเลือดบนหลังของมัน เขาเหยียดมือชี้ดาบศึกสีแดงบนหลังของปีศาจดาบอเวจีแดง “ใช่แล้ว ดาบของเจ้าดาบศึกจากปีศาจแดงสองตน จงนำมาให้ข้า”
“หือ?”หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีตกตะลึงจ้องมองลินลี่ย์
“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?” ลินลี่ย์หงุดหงิด
“นายท่าน, ดะ..ดาบนี้ ปกติสร้างมาจากส่วนหนึ่งของอวัยวะข้าต้องใช้เวลาหลายร้อย หลายพันปี ข้าจึง..” หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีแดงรู้สึกไม่ยินดี
ปีศาจดาบอเวจีเหล่านี้มีลำตัวเป็นดาบ ส่วนดาบที่ทรงพลังมากที่สุดจะอยู่บนหลังของพวกมัน นั่นคือจุดที่เป็นส่วนสำคัญของร่างกายและมีพลังเข้มข้นและดาบนั้นจะหนักและทรงพลังไม่มีใดเทียบ เดิมทีเมื่อกลุ่มของลินลี่ย์เผชิญหน้ากับปีศาจดาบอเวจีที่ชั้นสิบ ดาบที่คมของมันก็ถึงระดับเดียวกับอาวุธเทพอยู่แล้ว
ดาบของปีศาจดาบอเวจีแดงเป็นอาวุธระดับเดียวกับอาวุธเทพแน่นอน
หลังจากพัฒนาวิชา‘มีดมิติบั่นเศียร’ และฆ่าปีศาจดาบอเวจี เขาจึงพบว่า มีดมิติบั่นเศียรของเขาไม่สามารถสร้างความเสียหายให้ตัวดาบของปีศาจดาบอเวจี ขอบดาบของพวกมันคมและแข็งมาก
“หืม?” ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว จ้องมองปีศาจดาบอเวจีแดงอย่างเย็นชา
ชีวิตหรือดาบอย่างไหนสำคัญมากกว่า? คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องถาม
“ก็ได้ นายท่านข้าจะส่งคนไปรวบรวมดาบศึกอื่นอีกสองเล่มให้” ปีศาจดาบอเวจีแดงชักดาบบนหลังออกมาและส่งมอบให้ลินลี่ย์ด้วยความเคารพ
“ดี,เอาดาบศึกพันเล่มจากปีศาจดาบอเวจีธรรมดามาด้วย” ลินลี่ย์พูดตามปกติ
แม้ว่าปีศาจดาบอเวจีแดงจะประหลาดใจ แต่เขาไม่กล้าพูดอะไร ที่สำคัญลินลี่ย์ฆ่าปีศาจไปแสนหนึ่ง ดาบศึกพันเดียวไม่ถือว่ามากเขาเพียงแต่ลอบบอกกับตัวเอง.. ยอดฝีมือที่อยู่ข้างหน้าเขา บางที..จุกจิกไปบ้าง ทั้งที่เขาแข็งแกร่งทรงพลังมากแล้ว แต่ก็ยังต้องการดาบศึกมากมาย
“แม้ว่าข้าจะไม่ต้องการมันแต่ข้าสามารถมอบให้ลูกหลานในตระกูลข้าได้” ลินลี่ย์พูดกับตนเองในใจ
แม้แต่ดาบศึกของปีศาจดาบอเวจีธรรมดาเทียบกับดาบหนักอดาแมนเทียมในเรื่องความล้ำค่า ดาบศึกนี้นับว่าเป็นอาวุธที่ล้ำค่าบนทวีปยูลาน
“น่าเสียดายที่แหวนมิติเก็บสมบัติของข้าใหญ่ไม่พอ” ลินลี่ย์รำพึงกับตนเอง
ถ้ามีขนาดใหญ่กว่านี้ลินลี่ย์อาจนำดาบศึกไปได้มากกว่านี้ แต่ดาบศึกพันเล่มก็นับว่าพอแล้ว
หลังจากเก็บดาบศึกพันเล่มและดาบแดงสามเล่มในแหวนมิติเก็บสมบัติแล้วโดยมีปีศาจดาบอเวจีนับไม่ถ้วนคุกเข่าส่งเขา ลินลี่ย์กลับไปที่ทางออกชั้นสิบ