ตอนที่แล้วตอนที่ 11-36 หนึ่งต่อล้าน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 11-38 ต้องการประกายศักดิ์สิทธิ์?

ตอนที่11-37 ประกายศักดิ์สิทธิ์


พื้นโลหะเป็นประกายด้วยแสงเย็นยะเยือก ปีศาจดาบอเวจีนับไม่ถ้วนคุกเข่าอยู่กับพื้นหวาดกลัวปนเคารพ  ขณะที่ในอากาศผู้นำของพวกเขาปีศาจดาบอเวจีสีแดงนำทางให้ลินลี่ย์อย่างนอบน้อมและทั้งสองเปลี่ยนเป็นแสงสองสายบินตรงไปที่ประกายศักดิ์สิทธิ์

โดยภาพรวมมีทางเชื่อมโยงกับสุสานเทพเจ้ากับทวีปยูลานอยู่สามทาง

สุสานเทพเจ้านี้เชื่อมโยงเข้าอุโมงค์ใต้ดินที่ก้นบึ้งทะเลใต้เป็นเส้นทางที่อันตรายที่สุดและใหญ่ที่สุด  บนชั้นที่สิบเอ็ดของสุสานเทพเจ้าตั้งแต่ถูกสร้างขึ้นมายังไม่มียอดฝีมือระดับเซียนแม้แต่คนเดียวที่ทำสำเร็จได้รับสมบัติที่ซ่อนอยู่ภายในชั้นนี้  ลินลี่ย์ถือเป็นคนแรก!

สายลมพัดผมยาวของลินลี่ย์โบกสะบัด

ลินลี่ย์กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์แต่งตัวใช้ชุดคลุมร่างง่ายๆ สายลมโบกสะบัดใส่ชุดบางครั้งก็เผยให้เห็นอกที่เปลือยเปล่า

“หลังจากได้รู้แจ้งสัจธรรมแห่งความเร็วแล้วไม่ว่าจะอยู่ในร่างมังกรหรือไม่ก็ไม่มีความแตกต่างกันมาก”  ลินลี่ย์โบกสะบัดกระบี่เลือดม่วงในมือ ความสามารถใช้มีดมิติบั่นเศียรของกระบี่เลือดม่วงสามารถอธิบายได้ง่ายๆ ว่า ‘คมมีดมิติขนาดเล็ก’ เซียนคนใดสัมผัสมีแต่ต้องตาย

ปีศาจดาบอเวจีสีแดงนำทางอย่างกระวนกระวายใจ

ทันใดนั้นหัวหน้าปีศาจดาบอเวจีหยุดชะงัก

“ถึงแล้วหรือ?” ลินลี่ย์ถาม

หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีแดงชี้ในที่ไกลออกไปและพูดด้วยความเคารพ  “นายท่าน,สมบัติชั้นที่สิบเอ็ดของสุสานเทพเจ้าอยู่บนยอดเขานั่น”

ลินลี่ย์มองไปตามตำแหน่งที่หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีชี้นำ  ในที่ไกลออกไปมีภูเขาโลหะขนาดเล็กอยู่จริงๆ  แต่ภูเขานี้เต็มไปได้วปีศาจดาบอเวจีจำนวนมากและแม้ในอากาศเหนือภูเขา ก็ยังมีปีศาจดาบอเวจีบินฉวัดเฉวียนไปมา

“หืม, แล้วนี่อะไร?”  ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว

หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีแดงหวาดกลัวรีบอธิบายทันที  “นายท่าน,ในอดีตเรากลัวว่าผู้บุกรุกจะวิ่งบุกเข้ามาที่นี่อย่างหักโหม แน่นอนว่าเราจัดกำลังปีศาจดาบอเวจีไว้หลายหมื่นตนให้ประจำอยู่ที่นี่คอยดูแลตำแหน่งสมบัติที่สำคัญ”

“ดูเหมือนพวกเจ้าค่อนข้างรอบคอบ”  ลินลี่ย์หัวเราะอย่างใจเย็น

หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีแดงรีบพูดทันที“นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะสั่งพวกเขาให้ลงมาทันที” ขณะที่เขาพูด หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีแดงเหาะขึ้นไปที่บนภูเขาทันที

บนชั้นสามของสุสานเทพเจ้า

สายลมเย็นพัดวูบ  นอกจากศพเซียนสองสามรายที่เหลืออยู่ผู้เดียวก็มีแต่นาคราชที่ยังคงหลับใหล “ครอกก!”  “ฟี้zzzzzzz”  แต่ละครั้งที่นาคราชหายใจจะมีพลังงานสีดำออกมา นั่นคือเสียงกรนที่คุ้นเคยในชั้นสาม

ทันใดนั้น..ร่างใหญ่โตของนาคราชที่พันรอบภูเขาน้ำแข็งหายไปทันที

“นึกไม่ถึงเลยว่ามนุษย์จะทำได้สำเร็จจริงๆหรือนี่”  บุรุษหนุ่มลักษณะชั่วร้ายร่างบอบบางผมสีเขียวโบกสะบัดกำลังยืนนิ่งอยู่ในกลางอากาศ เขาสวมชุดยาวสีลายฟ้าบนตัวและลวดลายบนชุดสีฟ้าถ้าตรวจสอบดูให้ดีจะมีลักษณะคล้ายกับผิวงู

“เขาทำได้สำเร็จ  นั่นก็หมายความว่า  ข้าจะมีอิสระมากขึ้นเช่นกันไม่จำเป็นต้องอยู่โยงที่นี่ในสิบเอ็ดชั้นแรกอีกต่อไป”  เขามีรอยยิ้มเต็มหน้า  “น่าเสียดาย,ข้ายังต้องรอให้ลอร์ดเบรุตมาก่อน อย่างน้อยข้าต้องรออีกสองสามเดือน หลังจากอยู่โยงที่นี่มายาวนาน รออีกสองสามวันจะเป็นไรไป”

…………

ปีศาจดาบอเวจีจำนวนมากกำลังถูกต้อนให้ถอยปล่อยให้ลินลี่ย์บินขึ้นไปบนยอดเขา

“วืดดด”รัศมีที่แทบทำให้หัวใจหยุดเต้นทะลักวูบมาทางเขา ตาของลินลี่ย์เป็นประกาย และมองดูยอดเขาอย่างระมัดระวัง  มีกองสมบัติล้ำค่าวางอยู่บนพื้นแผ่นหินราบมหึมาบนยอดเขา อย่างไรก็ตามส่วนที่ดึงดูดใจในของเหล่านั้นมากที่สุดก็คือประกายศักดิ์สิทธิ์สามประกายที่เปล่งกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ของเทพ

นอกจากประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามแล้วบนพื้นแผ่นหินใหญ่ยังมีสมบัติเทพเจ้าเป็นชุดถึงสิบชิ้น

“ประกายศักดิ์สิทธิ์สามประกายสมบัติเทพอีกสิบชิ้น!  มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ใจกว้างจริงๆ”  ลินลี่ย์รู้สึกใจเต้นแรง  ที่สำคัญเซียนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันจะได้รับประกายศักดิ์สิทธิ์สักหนึ่งชิ้น แต่ตอนนี้มีประกายศักดิ์สิทธิ์ถึงสามชิ้นวางอยู่ข้างหน้าเขา

ลินลี่ย์ไม่กังวลเรื่องอะไรอื่นเดินเข้าไปที่แผ่นหินและตรวจสอบประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามอย่างระมัดระวัง

ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามมีสีเดียวกันทั้งหมดนั้นเป็นสีดำ เพียงแต่ในใจกลางของประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม สองประกายเปล่งแสงเลือนราง  ส่วนอีกหนึ่งประกายเปล่งแสงเลือนรางสีฟ้า  อีกหนึ่งประกายเป็นสีเหลืองธาตุดินขณะที่ประกายสุดท้ายไม่เปล่งแสงอะไรเลย แต่กลับมีกลิ่นอายแปลกประหลาดแผ่ออกมาจากข้างในประกาย

“หนึ่งนั้นคือธาตุดินขณะที่อีกหนึ่งเป็นธาตุลม ประกายสุดท้ายเป็นประกายรูปแบบทำลายล้าง” ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว “และประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ชั้นสิบเอ็ดนี้น่าจะเป็นประกายระดับเทียมเทพ (เทพชั้นต้น)ทั้งหมด”

“เกิดอะไรขึ้น?”  ใจของลินลี่ย์เต็มไปด้วยความสงสัย

“เป็นไปได้ไหมว่าผู้ควบคุมสุสานเทพเจ้านี้จะรู้ว่าคนที่จะได้รับสมบัติจะต้องเป็นคนที่ฝึกมาทางด้านสัจธรรมธาตุลมและธาตุดินทั้งสอง?”  ลินลี่ย์รู้ดีว่า ประกายรูปแบบทำลายล้างเป็นของ‘วิถีทำลายล้าง’

ลินลี่ย์เป็นผู้ฝึกฝนพลังกระบี่สามารถฝึกฝนวิถีนี้ได้

“สามประกายเหล่านี้ ข้าสามารถใช้ประกายอย่างใดอย่างหนึ่งได้  เป็นเรื่องบังเอิญขนาดนั้นได้อย่างไร?ได้ทั้งสามประกายไม่ผิดเพี้ยน!” ลินลี่ย์จ้องมองประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามข้างหน้าเขา  ความรู้สึกสงสัยรุนแรงเกิดขึ้นในใจ

ลินลี่ย์หันศีรษะและจ้องดูรอบตัวเขา

ทันใดนั้นเขารู้สึกเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสุสานเทพเจ้ากำลังถูกมองโดยมหาเทพจากเบื้องสูง

“บางที.....” ลินลี่ย์มองดูประกายทั้งสาม “ประกายทั้งสามเหล่านี้ถูกวางไว้ที่นี่หลังจากที่ข้าได้รู้แจ้ง ‘สัจธรรมแห่งความเร็ว’ ก็เป็นได้ บางทียอดฝีมือสูงสุดคงลอบเอาประกายทั้งสามมาวางที่นี่ตอนนั้น”  ลินลี่ย์อดสงสัยเรื่องนี้ไม่ได้  ที่สำคัญ เรื่องนี้บังเอิญเกินไป

ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามนี่น่ะหรือ?

ทำไมพวกมันไม่ใช่ธาตุสายฟ้าหรือธาตุแสงหรือธาตุไฟเล่า? ทั้งหมดเหมาะกับนิสัยและธาตุสัมพันธ์ของลินลี่ย์

“ข้าควรรู้สึกภูมิใจที่ได้รับการดูแลโดยยอดฝีมือสูงสุดอย่างนี้ไหมนะ”  ลินลี่ย์ลอบล้อเลียนตัวเอง  ลินลี่ย์ไม่ไตร่ตรองถึงข้อสงสัยนี้ต่อไป  ไม่ว่ายังไงก็ตาม ตอนนี้เขาเป็นคนที่มาถึงประตูก้าวสู่ความเป็นเทพแล้วและยังเป็นเพียงสุดยอดเซียนเท่านั้น แต่ยังไม่ใช่เทพ

มีความลับและความลึกลับหลายอย่างซึ่งเขายังไม่มีคุณสมบัติรู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้

“ข้าสามารถรู้สึกได้ถึงระดับเทพอย่างเลือนราง  เป็นไปได้มากว่าเมื่อข้ากลับไปฝึกในอีกไม่กี่สิบปี ข้าจะถึงระดับเทพก็ได้”  ลินลี่ย์หลังจากได้เรียนรู้ ‘สัจธรรมแห่งความเร็ว’ ได้ก็สามารถรู้สึกได้เลือนลางถึงระดับปัจจุบันที่เขาเข้าใจได้

ลินลี่ย์เคยได้ยินเทพสงครามพูดเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน

การกลายเป็นเทพด้วยตัวเองจะยากมากว่าการหลอมรวมเข้ากับประกายศักดิ์สิทธิ์เป็นร้อยเท่า  ลินลี่ย์เหยียดมือเก็บประกายทั้งสามไว้ทันที จากนั้นดึงเข้ามาเก็บไว้ในแหวนมิติเก็บสมบัติ “แม้ว่าโดยส่วนตัวข้าจะไม่ต้องใช้ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม  ข้าอาจให้เดเลีย และวอร์ตันใช้ก็ได้”

เนื่องจากระดับของเดเลียและวอร์ตันอาจเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะกลายเป็นเทพด้วยตัวเอง

เพียงแค่เห็นเฟนและเดลี่ต้องดิ้นรนพยายามอยู่ประตูปากทางแห่งการเป็นระดับเทพมาหลายพันปีใครๆ ก็สามารถจินตนาการได้ว่ายากเย็นเพียงไหน

ลินลี่ย์เองโชคดีพอที่หลังจากพัฒนาวิชา‘จังหวะแห่งสายลม’ ได้  เขาเผชิญหน้ากับการโจมตีของนางพญาแลชเพิล  และด้วยการเลียนแบบพลังโจมตีของนาง  เขาพัฒนาวิชา ‘หมื่นกระบี่พลันบรรจบ’ จากนั้นมาเนื่องจากกลายเป็นระดับเซียนจอมเวท  เขาจึงเข้าใจความรู้สึกลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายใน ‘คมมีดมิติได้’

ด้วยเหตุการณ์ต่อเนื่องสามเหตุการณ์นี้....

นอกจากนี้ลินลี่ย์ยังได้รู้แจ้งในด้าน ‘เร็ว’ และ ‘ช้า’ และทั้งสองนั้นยังไม่ใช่ความรู้แจ้งระดับสูงนัก

ในเรื่องพลัง‘สัจธรรมแห่งความเร็ว’ อยู่ในระดับที่สูงกว่า ‘สัจธรรมแห่งธาตุดิน’ ‘สัจธรรมแห่งความเร็ว’ อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในวิชาที่สูงที่สุด ลึกซึ้งลึกลับที่สุดในกฎธาตุลม

“สงสัยจริงว่าเดเลีย, เทเลอร์,ชาชาและวอร์ตันเป็นยังไงบ้าง” ลินลี่ย์อดคิดถึงครอบครัวของเขาไม่ได้ “และข้าไม่รู้ว่าบาร์เกอร์เป็นยังไงบ้าง..”  ในของลินลี่ย์ยังคงกังวลห่วงใยว่าบาร์เกอร์ตายหรือไม่

ลินลี่ย์ลอบถอนหายใจ

และจากนั้นลินลี่ย์มองดูสมบัติเทพทั้งสิบชิ้น  สมบัติเทพทั้งสิบชิ้นเหล่านี้กระกอบไปด้วย ดาบ,กระบี่, และอาวุธประเภทหอก, คัมภีร์ดำ, แก้วผลึกลึกลับ และชุดเกราะรบ  เกราะรบระดับเทพ

“เกราะรบ?” ลินลี่ย์รู้สึกยินดีในหัวใจ

ลินลี่ย์ไม่สนใจเกี่ยวกับสมบัติเทพอย่างอื่นมากนัก ที่สำคัญเขามีดาบหนักอดาแมนเทียมและกระบี่เลือดม่วงแล้ว คัมภีร์ดำและแก้วผลึกน่าจะเป็นสมบัติเทพสายมืดหรือสายพ่อมด  ลินลี่ย์ไม่สามารถใช้ได้

ลินลี่ย์เก็บสมบัติเทพทั้งสิบชิ้นไว้ในแหวนมิติเก็บสมบัติทันที

“สมบัติเทพเหล่านี้จะมีประโยชน์ใช้เป็นของขวัญให้เดเลียเทเลอร์ ชาชาและคนอื่นๆ” ลินลี่ย์หัวเราะขณะมองดูรอบๆ ยอดเขา “ดูเหมือนไม่มีสมบัติอื่นที่นี่แล้ว โอว, จริงสิ นี่ไง”  ลินลี่ย์จ้องมองแผ่นหินที่ใช้เก็บวงประกายศักดิ์สิทธิ์

“คนรวยมีนิสัยใจกว้างอยู่แล้ว  กะอีแค่แผ่นหินที่ใช้วางประกายศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ก็ต้องเป็นสมบัติอย่างหนึ่งเช่นกัน” ลินลี่ย์เก็บก้อนหินใหญ่ไว้ในแหวนมิติด้วยเช่นกัน

แผ่นหินใหญ่นี้คือสิ่งที่เขาได้เคยอ่านในหนังสือมาบ้างแล้ว‘ศิลาโลหิต’

ศิลาโลหิตมีค่ามากพอๆกับแร่อดาแมนเทียม เป็นสมบัติจากพิภพอื่น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเครื่องมือจอมเวทหรืออาวุธ มันคือวัสดุชั้นยอด  ถ้ามีคนใช้วัสดุอย่างศิลาโลหิตและอดาแมนเทียมตีเป็นอาวุธชิ้นหนึ่งเขาสามารถสร้างอาวุธเทพได้อีกชิ้น

ดาบหนักอดาแมนเทียมของลินลี่ย์  แม้ว่าจะเป็นอาวุธที่ดี แต่ก็ไม่ใช่อาวุธเทพ

ลินลี่ย์บินลงมาจากอากาศพร้อมกับรอยยิ้มและบินออกมาห่างจากภูเขา

ห่างออกไปหัวหน้าปีศาจดาบอเวจีรออย่างกระวนกระวาย  ลินลี่ย์ไม่ได้สั่งให้เขาจากไป  ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าไปเอง  เพราะกลัวว่าลินลี่ย์จะโมโหและฆ่าเขา

“ขอแสดงความยินดีด้วยนายท่าน” หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีแดงเมื่อเห็นลินลี่ย์บินลงมารีบพูดด้วยความเคารพทันที

ลินลี่ย์มองดูปีศาจดาบอเวจีแดงจากนั้นสังเกตเห็นดาบสีเลือดบนหลังของมัน เขาเหยียดมือชี้ดาบศึกสีแดงบนหลังของปีศาจดาบอเวจีแดง “ใช่แล้ว ดาบของเจ้าดาบศึกจากปีศาจแดงสองตน จงนำมาให้ข้า”

“หือ?”หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีตกตะลึงจ้องมองลินลี่ย์

“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”  ลินลี่ย์หงุดหงิด

“นายท่าน, ดะ..ดาบนี้ ปกติสร้างมาจากส่วนหนึ่งของอวัยวะข้าต้องใช้เวลาหลายร้อย หลายพันปี ข้าจึง..” หัวหน้าปีศาจดาบอเวจีแดงรู้สึกไม่ยินดี

ปีศาจดาบอเวจีเหล่านี้มีลำตัวเป็นดาบ ส่วนดาบที่ทรงพลังมากที่สุดจะอยู่บนหลังของพวกมัน นั่นคือจุดที่เป็นส่วนสำคัญของร่างกายและมีพลังเข้มข้นและดาบนั้นจะหนักและทรงพลังไม่มีใดเทียบ  เดิมทีเมื่อกลุ่มของลินลี่ย์เผชิญหน้ากับปีศาจดาบอเวจีที่ชั้นสิบ ดาบที่คมของมันก็ถึงระดับเดียวกับอาวุธเทพอยู่แล้ว

ดาบของปีศาจดาบอเวจีแดงเป็นอาวุธระดับเดียวกับอาวุธเทพแน่นอน

หลังจากพัฒนาวิชา‘มีดมิติบั่นเศียร’ และฆ่าปีศาจดาบอเวจี  เขาจึงพบว่า มีดมิติบั่นเศียรของเขาไม่สามารถสร้างความเสียหายให้ตัวดาบของปีศาจดาบอเวจี  ขอบดาบของพวกมันคมและแข็งมาก

“หืม?” ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว จ้องมองปีศาจดาบอเวจีแดงอย่างเย็นชา

ชีวิตหรือดาบอย่างไหนสำคัญมากกว่า? คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องถาม

“ก็ได้ นายท่านข้าจะส่งคนไปรวบรวมดาบศึกอื่นอีกสองเล่มให้” ปีศาจดาบอเวจีแดงชักดาบบนหลังออกมาและส่งมอบให้ลินลี่ย์ด้วยความเคารพ

“ดี,เอาดาบศึกพันเล่มจากปีศาจดาบอเวจีธรรมดามาด้วย” ลินลี่ย์พูดตามปกติ

แม้ว่าปีศาจดาบอเวจีแดงจะประหลาดใจ  แต่เขาไม่กล้าพูดอะไร  ที่สำคัญลินลี่ย์ฆ่าปีศาจไปแสนหนึ่ง  ดาบศึกพันเดียวไม่ถือว่ามากเขาเพียงแต่ลอบบอกกับตัวเอง.. ยอดฝีมือที่อยู่ข้างหน้าเขา บางที..จุกจิกไปบ้าง ทั้งที่เขาแข็งแกร่งทรงพลังมากแล้ว  แต่ก็ยังต้องการดาบศึกมากมาย

“แม้ว่าข้าจะไม่ต้องการมันแต่ข้าสามารถมอบให้ลูกหลานในตระกูลข้าได้” ลินลี่ย์พูดกับตนเองในใจ

แม้แต่ดาบศึกของปีศาจดาบอเวจีธรรมดาเทียบกับดาบหนักอดาแมนเทียมในเรื่องความล้ำค่า ดาบศึกนี้นับว่าเป็นอาวุธที่ล้ำค่าบนทวีปยูลาน

“น่าเสียดายที่แหวนมิติเก็บสมบัติของข้าใหญ่ไม่พอ”  ลินลี่ย์รำพึงกับตนเอง

ถ้ามีขนาดใหญ่กว่านี้ลินลี่ย์อาจนำดาบศึกไปได้มากกว่านี้ แต่ดาบศึกพันเล่มก็นับว่าพอแล้ว

หลังจากเก็บดาบศึกพันเล่มและดาบแดงสามเล่มในแหวนมิติเก็บสมบัติแล้วโดยมีปีศาจดาบอเวจีนับไม่ถ้วนคุกเข่าส่งเขา ลินลี่ย์กลับไปที่ทางออกชั้นสิบ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด