ตอนที่ 12-5 สงครามล้างโลกหมื่นปีที่แล้ว
“จะเลือกอะไรเจ้าเป็นคนตัดสินใจเอง” ไดลินพูดอย่างจริงจัง
คนผู้เลือกทำตามเมื่อพวกเขากลายเป็นเทพด้วยพลังตนเองจะกำหนดความสำเร็จและการพัฒนาในอนาคตของพวกเขา
ลินลี่ย์ไม่ต้องคิดอะไรอื่น หัวใจของเขาโน้มเอียงไปที่ทางเลือกที่สองโดยอัตโนมัติ เขาเดินตามเส้นทางที่ความรู้เข้าใจสายธาตุลมและดินที่แตกต่างกันสองธาตุ ตลอดเวลามานี้ เขาคงไม่ยินดีจะเลิกฝึกธาตุทั้งสองอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่
“ท่านไดลิน ถ้าเลือกข้อที่สองตัวอย่างเช่น ถ้าข้ากลายเป็นเทพสายธาตุลม อย่างนั้นทันทีที่ข้ากลายเป็นเทพ ถ้าข้าเอาประกายศักดิ์สิทธิ์ไว้นอกตัวข้า อย่างนั้นจักรวาลจะสร้างกายศักดิ์สิทธิ์รอบประกายศักดิ์สิทธิ์นั้นใช่ไหม? และวิญญาณของข้าจะถูกแบ่งเช่นกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่มีความแตกต่างระหว่างร่างเดิมและร่างแยกใช่ไหม?”
“ถูกแล้ว”ไดลินพยักหน้า
“อย่างนั้นข้าอยากถาม ถ้าร่างแยกกลายเป็นเทพ ร่างแรกจะเป็นยังไง? จะมีพลังก้าวหน้าหรือไม่?” ลินลี่ย์ถือเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก
ถ้าร่างแยกของเขากลายเป็นเทพ แต่ร่างเดิมยังคงเป็นระดับเซียนนั่นจะกลายเป็นจุดอ่อนใหญ่หรือเปล่า?
“จะมีพลังเพิ่มขึ้นอีกมาก และร่างต้นแบบของเจ้าจะสามารถยืมพลังศักดิ์สิทธิ์จากร่างแยกได้”ไดลินส่ายหน้าขณะพูด “แต่น่าเสียดายนั่นเป็นแค่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยืมมาใช้ แม้ว่าเจ้าจะสามารถยืมพลังศักดิ์สิทธิ์มาใช้ได้มากมาย แต่เนื่องจากร่างเดิมของเจ้าไม่มีประกายศักดิ์สิทธิ์ก็ยังจะอ่อนแอมากกว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง เนื่องจากความจริงที่ว่าไม่มีประกายศักดิ์สิทธิ์หลอมรวมอยู่ในพลังศักดิ์สิทธิ์นั้น”
ซีซาร์ที่อยู่ใกล้ๆ หัวเราะ “ลินลี่ย์,เจ้าควรจะรู้ว่ามีเซียนบางคนในภูมิภาคต่างๆสามารถยืมพลังศักดิ์สิทธิ์มาใช้ได้บ้าง”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
ซีซาร์พูดต่อ “เจ้าจะเหมือนกับพวกเขา คาดว่าเจ้าจะทำได้เพียงยืมพลังศักดิ์สิทธิ์มาจากร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า แต่แน่นอนว่า..ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องเสนอตัวเองเป็นบรรณาการก่อนที่เจ้าจะยืมพลังมหาศาลมาใช้ อย่างไรก็ตามหากปราศจากประกายศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ากันได้ พลังก็จะค่อนข้างอ่อนแอ”
“เข้าใจแล้ว” ลินลี่ย์พยักหน้า
ความสำคัญของประกายศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ลินลี่ย์เข้าใจได้ชัดเจนดี ถ้าร่างเดิมไม่มีประกายศักดิ์สิทธิ์และได้พลังศักดิ์สิทธิ์มา...ก็ไม่สามารถสร้างพลังบางอย่าง เช่น ‘สนามพลังเทพ’ ได้
“แม้ว่าร่างต้นเดิมจะอ่อนแอเนื่องจากไม่มีประกายศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังมีทางป้องกันได้เพราะร่างแยกที่สองและร่างต้นเดิมความจริงก็มีคุณสมบัติเดียวกัน แน่นอน.. เจ้าสามารถกลืนร่างแยกกลับไปที่ร่างต้นเดิมของเจ้าได้เช่นกัน” ไดลินหัวเราะและพูดต่อ “ดังนั้นเจ้าก็ยังสามารถใช้งานพลังของร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ได้”
ลินลี่ย์ลอบส่ายหัว
หลอมรวมกับร่างแยกศักดิ์สิทธิ์กับร่างต้นเดิมเข้าด้วยกัน?ใช้พลังของร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ได้?
ความจริง นั่นไม่ใช่การเพิ่มพลังเลย
“ถ้าเจ้าทำเช่นนั้น แม้ว่าพลังของเจ้าจะไม่เพิ่มขึ้น แต่ร่างต้นเดิมของเจ้าจะได้รับการปกป้องดีกว่า ความจริงประโยชน์ที่แท้จริงของทางเลือกที่สองนี้ก็คือ...จะทำให้เจ้าได้ฝึกกฎธาตุอื่น ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวก็คือ..วิญญาณเจ้าจะถูกแบ่งเป็นสอง!”
ไดลินมองดูลินลี่ย์และพูดอย่างจริงจัง “ลินลี่ย์, วิญญาณเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของสิ่งมีชีวิตเป็นเรื่องที่ยากมากกับการเสริมสร้างและเปลี่ยนแปลงวิญญาณ การแบ่งครึ่งวิญญาณอย่างฉับพลันนี้ก็หมายความว่าวิญญาณของเจ้าจะอ่อนแอลงอีกครึ่งหนึ่ง ไม่ว่าในแง่ความเร็วในการฝึกฝนความสามารถในการต้านทานศัตรู วิญญาณของเจ้าจะได้รับผลตามไปด้วย”
“ข้าเข้าใจ ท่านจะได้รับบางอย่าง แต่เสียบางอย่างไปเป็นไปได้ยังไงที่จะมีแต่ได้โดยไม่มีเสีย?” ลินลี่ย์เข้าใจเรื่องนี้
“เจ้ารู้เรื่องนี้ก็ดีแล้ว” ไดลินพยักหน้า
หัวใจของลินลี่ย์เต็มไปด้วยคำถาม “เกิดอะไรขึ้นกับไดลิน? ทำไมเขาอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการเป็นเทพให้เรามากมายขนาดนี้...ไม่เหมือนกับเป็นไดลินเลยไม่ใช่หรือ?” ลินลี่ย์รู้สึกว่าวันนี้ ไดลินค่อนข้างจะทำตัวแตกต่างไปจากเดิม
เทพสงครามพูดเสียงกึกก้อง “ลินลี่ย์,จำสิ่งที่เราได้พูดเอาไว้ก่อนหน้านั้นข้าจะปล่อยหน้าที่รับมือกับเกาะศักดิ์สิทธิ์และศาสนจักรเจิดจรัสให้กับเจ้า”
“ไม่ต้องห่วง” ดวงตาลินลี่ย์ทอประกายวูบ
ทำลายศาสนจักรเจิดจรัส?
ข้ารอมานานกี่ปีแล้ว?
“ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเจ้าไปได้” เทพสงครามพูดอย่างใจเย็น
ลินลี่ย์ เดลี่ เฟนและถูลี่ลุกขึ้นทันทีและทำความเคารพ พวกเขาออกจากที่พักสันโดษของเทพสงครามอย่างเงียบๆ
บนยอดเขาเทพสงครามที่เงียบสงบ
“ลินลี่ย์, ขอแสดงความยินดีด้วย วันนี้อาจารย์และเทพคนอื่นๆปฏิบัติกับเจ้าฉันท์มิตรสหายระดับเดียวกับพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด” เฟนพูดขึ้นทันที
ลินลี่ย์ตกใจเล็กน้อย ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่ายอดฝีมือทั้งสามขมขื่นในใจมากขนาดไหนการฝึกฝนหลายพันปี แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถบรรลุผ่านไปได้
“เฟน, ข้าเชื่อว่าพวกท่านทั้งสามก็จะบรรลุระดับใหม่เช่นกัน”
เดลี่หัวเราะและพยักหน้าทันที “ถูกแล้ว เราจะบรรลุระดับใหม่ในอีกไม่ช้า เฟน ถูลี่... พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าลอร์ดเบรุตพูดไว้ว่ายังไง? เราทั้งสามสามารถบรรลุได้อาจจะในวันเดียวก็ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเราต้องศรัทธาในตัวเราเอง”
“ใช่แล้ว เราจะบรรลุไปได้” ถูลี่และเฟนตาเป็นประกาย ขณะพยักหน้า
ถ้าพวกเขาสามารถบรรลุได้ด้วยตัวเอง พวกเขาไม่จำเป็นต้องได้ประกายศักดิ์สิทธิ์เลย
แต่การบรรลุระดับใหม่ด้วยตัวเองเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ
“ลินลี่ย์เราจะบุกไปทำลายเกาะศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรเจิดจรัสเมื่อใด?” เดลี่ถาม
ลินลี่ย์เงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าว “เอาอย่างนี้เป็นยังไง เรื่องนี้ยิ่งเร็วยิ่งดี” แค่คิดเรื่องทำลายศาสนจักรเจิดจรัสก็ทำให้ลินลี่ย์เลือดลมพลุกพล่านและทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวา “วันนี้เรากลับไปบ้านก่อน พรุ่งนี้ระดมพลเตรียมตัวกัน หลังจากนั้นเช้าวันที่แปด..เช้าวันที่แปดมารวมกันที่ปราสาทเลือดมังกรของข้าและเราจะร่วมสังหารเบิกทางไปยังเกาะศักดิ์สิทธิ์กัน”
“ก็ได้ เราจะไปด้วยกันในวันที่แปด” ถูลี่และเดลี่พยักหน้า
เฟนเริ่มหัวเราะ “ลินลี่ย์ เจ้าเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก ดูเหมือนทางด้านของข้าคงต้องก้าวออกไปบ้างเพื่อกำจัดลัทธิเงาให้เร็วยิ่งกว่า”
“ฮ่าฮ่า เฟน, งั้นเราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลย” ลินลี่ย์กล่าว
ลินลี่ย์ เดลี่และถูลี่บินขึ้นไปในอากาศทันทีมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก
ปราสาทเลือดมังกรอยู่ทางภาคเหนือของจักรวรรดิบาลุค ขณะที่เดลี่มุ่งไปทางใต้ของจักรวรรดิบาลุค สำหรับถูลี่เขาอยู่ในทุ่งราบใหญ่ตะวันออกไกล ทั้งสามบินร่วมทางในระยะสั้นก่อนจะแยกย้ายกัน
“ควั่บ” สายลมรุนแรงกระโชกผ่าน ชุดยาวของเขาสะบัดตามสายลม
ขณะเคลื่อนที่ผ่านไปในท้องฟ้า เมฆหมอกผ่านตัวเขาไปด้วยความเร็วสูง เขาบินตรงมุ่งสู่ปราสาทเลือดมังกร
“ลินลี่ย์ รอเดี๋ยว” จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นและร่างเลือนรางปรากฏอยู่ใกล้ตัวลินลี่ย์
บุรุษหนุ่มน่ากลัวสวมชุดทองสีเข้มยืนอยู่ข้างหน้าลินลี่ย์ที่หน้าผากของเขามีรอยคล้ายแผลมีด เป็นยอดฝีมือระดับเทพ ไดลินนั่นเอง
“ลอร์ดไดลิน” ลินลี่ย์ค่อนข้างประหลาดใจ
ไดลินเปล่งรัศมีน่ากลัวแต่ตอนนี้ใบหน้าเขามีรอยยิ้มที่ค่อนข้างจริงใจ “ลินลี่ย์, เจ้าบินได้เร็วมากจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นความก้าวหน้าระหว่างที่เจ้าใช้เวลาในสุสานเทพเจ้า”
ลินลี่ย์รู้สึกสับสนมาก
บินเร็ว?
บนเส้นทางขากลับปราสาทเลือดมังกรเขาเพียงแต่บินด้วยความเร็วตามปกติ และไม่ได้บินเต็มความเร็ว ทำไมไดลินถึงพูดว่าเขากำลังบินเร็วมาก?
“ไดลินผู้นี้..ทำไมเขาถึงได้ยกยอเราอย่างไม่มีเหตุผล?” ลินลี่ย์คาดเดาว่าไดลินอาจมีเรื่องปรึกษากับเขาได้
“ท่านไดลิน ท่านมีอะไรจะคุยด้วยหรือเปล่า?” ลินลี่ย์เสนอให้พูดตรงๆ
ไดลินสูดหายใจลึก “ลินลี่ย์, บอกตามตรง..ข้า, ไดลินเกิดมาหลายหมื่นปีแล้วและได้พบเจอกับสงครามล้างโลกที่น่ากลัวเมื่อหมื่นปีที่แล้ว สงครามของเหล่าเทพเมื่อห้าพันปีที่แล้ว ข้าพยายามปกป้องลูกของข้ามาโดยตลอดแต่โชคร้ายห้าพันปีที่แล้ว ข้ากับลูกๆ ถูกจองจำอยู่ในคุกเกบาโดส...”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลินลี่ย์รู้สึกตะลึงทันที
“ห้าพันปีที่แล้ว ยอดฝีมือจากพิภพอื่นลงมาเยือน ข้าทราบเรื่องนี้เช่นกัน แต่เรื่องสงครามล้างโลกหมื่นปีที่แล้วคืออะไร?” ลินลี่ย์ไม่เคยได้ยินว่าหมื่นปีที่แล้วมีสงครามล้างโลก จากสิ่งที่ไดลินพูดดูเหมือนว่าสงครามหมื่นปีที่แล้วน่ากลัวยิ่งกว่าสงครามเมื่อห้าพันปีที่แล้ว
ไดลินเห็นหน้าท่าทางของลินลี่ย์ก็เข้าใจ
“เจ้าคงสงสัยเรื่องสงครามล้างโลกสินะ?” ไดลินหัวเราะ
เขาใจดีเมื่อถูกถามและจะมีความสุขมากที่มีโอกาสเล่าความลับเหล่านี้ให้ลินลี่ย์
ลินลี่ย์พยักหน้า
“สงครามล้างโลกเป็นสงครามที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าสงครามเมื่อห้าพันปีที่แล้ว ความจริงในอดีต พิภพแห่งนี้มีอยู่ห้าทวีป” ไดลินอธิบายรายละเอียด
“ห้าทวีป?” ลินลี่ย์ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
นอกจากนี้หนังสือประวัติศาสตร์ไม่เคยพูดถึงความคงอยู่ของทวีปอื่น
ไดลินอธิบายรายละเอียด มีพื้นที่กว้างใหญ่คั่นระหว่างแต่ละทวีป และทวีปยูลานเป็นทวีปที่อยู่เกือบเหนือสุดของห้าทวีป อีกสี่ทวีปอยู่ในทะเลใต้ทั้งหมด เพราะมีระยะเกือบหมื่นกิโลเมตรในระยะหว่างทวีป ตอนนี้คนธรรมดาไม่รู้เรื่องว่ายังมีทวีปอื่นคงอยู่”
“ระหว่างสงครามล้างโลกนั้น...”
ไดลินถอนหายใจ “นั่นเป็นความจริง สงครามขนาดใหญ่ มีพลังทำลายล้างสูงสุด ในสงครามล้างโลก คลื่นมหาสมุทรสูงท่วมสวรรค์และพื้นที่ของทวีปเองถูกฉีกกระจาย แม้แต่แรงคลื่นระเบิดจากการสู้รบกันก็ส่งผลต่อทวีปอื่น สี่ทวีปด้านใต้ทั้งหมดถูกฉีกกระจายทำลาย และเทพตนแล้วตนเล่าล้มตาย..ขนาดของสงครามครั้งนี้ส่งผลไกลกว้างไกลยิ่งกว่าสงครามเมื่อห้าพันปีที่แล้ว”
ลินลี่ย์สะท้านใจ
การสู้รบนั้นร้ายแรงจนสี่ทวีปล่มสลายเชียวหรือ? ยอดฝีมือระดับไหนกันถึงเข้าต่อสู้ในสงครามนี้?
“และเนื่องจากการสู้รบนั้นลอร์ดเบรุตตั้งตัวอย่างเป็นทางการควบคุมทวีปยูลานไว้” ไดลินถอนหายใจ “ลินลี่ย์ในเวลานั้น แม้ว่าข้าจะเป็นเทพชั้นต้นแล้ว ข้าทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่ที่ทวีปยูลานไม่กล้ามีส่วนร่วมในการสู้รบเลย
ลินลี่ย์พอจะนึกภาพเช่นนั้นออก
“ข้าได้ยินมาว่าประกายศักดิ์สิทธิ์และศพเทพของสุสานเทพเจ้ามาจากสงครามล้างโลกครั้งนั้น” ไดลินถอนหายใจ “แต่แน่นอน นั่นเป็นแค่เท่าที่ข้าได้ยินมา ข้าไม่มีข้อพิสูจน์อะไร”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย ไดลินซ่อนตัวอยู่ ที่สำคัญเขาไม่ได้มีส่วนร่วมรบ
“ห้าพันปีที่แล้ว ลูกๆของข้าถูกคุมขังในคุกพิภพเกบาโดส สถานที่นั้น.. คือฝันร้ายที่สุด” ไดลินพูดเสียงเบา “ลูกทั้งห้าของข้า.. ตายอยู่ที่นั่นสอง โชคดี เราหนีกลับมาทวีปยูลานได้หลังจากนั้น”
จนถึงวันนี้ไดลินก็ยังไม่บอกลินลี่ย์ว่าลินลี่ย์เป็นผู้ปล่อยเขาหนีออกมา
“แต่ครั้งนี้ ลูกของข้ายังต้องตายไปอีกหนึ่ง”
ตาของไดลินมีแววเศร้าโศกมิอาจระงับได้ “ความจริงการกลายเป็นระดับเทพเป็นเรื่องที่ยากมากที่สำคัญลูกของข้าราชสีห์หกตา เป็นการยากที่พวกเขาจะบรรลุขีดจำกัดโดยธรรมชาติของพวกเขากลายเป็นเทพได้ บางทีเดลี่และเฟนอาจบรรลุได้รับการรู้แจ้งได้ แต่อสูรวิเศษ..การบรรลุของพวกเขายากยิ่งกว่ามนุษย์มากมายนัก”
“ดังนั้น..ข้า..ไดลินอยากจะขอร้องเจ้า ลินลี่ย์ขอประกายศักดิ์ของเจ้าให้ข้าสักชิ้นหนึ่งเถิด” ไดลินมองลินลี่ย์อย่างจริงใจ
ลินลี่ย์เข้าใจสิ่งที่ไดลินกำลังพูด
“แน่นอนว่า ข้าจะไม่ยอมเจ้าต้องรู้สึกสูญเสียมากเกินไป เพียงแต่ข้าไม่มีสมบัติที่ล้ำค่าเท่ากับประกายศักดิ์สิทธิ์ แต่ข้าก็มีสมบัติเทพอยู่หลายชิ้นข้าอาจแลกสมบัติเทพเหล่านั้นกับประกายศักดิ์สิทธิ์ สมบัติเทพสักสามชิ้นเป็นยังไง? หรือบางทีข้าอาจะให้ถุงมือสมบัติเทพส่วนตัวของข้าก็ได้” ไดลินรีบกล่าว
ไดลินรักลูกของเขามาก เห็นได้ชัดจากการที่เขาพยายามเข้าไปในคุกพิภพเกบาโดสเพื่อปกป้องพวกเขา
เดิมทีเขาสั่งห้ามพวกเขาไม่ให้เข้าสุสานเทพเจ้า แต่คลีโอและน้องๆ ต้องการจะกลายเป็นเทพ ในที่สุดไดลินก็ไม่สามารถห้ามพวกเขาได้..ในการเดินทางสู่สุสานเทพเจ้านี้ หนึ่งในพวกเขาต้องตายไป ตอนนี้ลินลี่ย์มีประกายศักดิ์สิทธิ์สามชิ้น ไดลินตัดสินใจบากหน้ามาขอกับเขาหนึ่งชิ้น
ประกายเทพมีความสำคัญมากกว่าสมบัติเทพเจ้ามากมายนัก
สมบัติเทพเจ้าสี่ชิ้นแลกประกายเทพหนึ่งชิ้น...ลินลี่ย์ก็ยังถือว่าเป็นการค้าที่ขาดทุน อะไรกันเล่าเป็นโอกาสให้เหล่าเซียนผ่านชั้นที่สิบเอ็ดทำได้สำเร็จ? มันนับว่าต่ำเหลือเชื่อ ความสำเร็จของลินลี่ย์ทำให้เขาได้รับประกายเทพสามชิ้น แต่ในอนาคตลินลี่ย์จะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก
“ก็ได้, ข้าตกลง” ลินลี่ย์พยักหน้า
ไดลินอดรู้สึกกระตือรือร้นไม่ได้ ไดลินดึงสมบัติเทพออกมาสามชิ้นเพียงแค่พลิกมือ ก็ปรากฏสมบัติเทพทั้งหมดเป็นอาวุธประเภทมีคม ขณะเดียวกันในมือของไดลินยังมีถุงมือทองระดับเทพ ในแง่ความล้ำค่าถุงมือเทพมีความล้ำค่ามากที่สุด
“นี่คือประกายเทพ” เพียงพลิกมือลินลี่ย์ดึงประกายเภทสายทำลายล้างออกมา ลินลี่ย์ตัดสินใจครั้งนี้ในนามของราชสีห์ทองหกตา ที่สำคัญคือพวกเขาฝึกฝนมาในสายทำลายล้าง
เมื่อเห็นประกายเทพ ไดลินอดรู้สึกใจสั่นสะท้านไม่ได้
นี่คือประกายเทพ!
ถ้าเขาเองต้องการจะเข้าไปในสุสานเทพเจ้า เขาจะต้องเริ่มที่ชั้นที่สิบสอง คงยากที่จะได้ประกายเทพมา แม้ว่าจะเป็นเขาเองก็ตาม
“ขอบคุณ, ขอบคุณ” แม้ว่าตามปกติ ไดลินจะมีนิสัยที่น่ากลัวแต่ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นจนพูดขอบคุณซ้ำกันถึงสองครั้ง “รอเดี๋ยวก่อน ข้าจะถอนสัญญาผูกพันที่ข้าทำกับถุงมือทองก่อน”
“ท่านลอร์ดไดลิน ข้าไม่ต้องการอาวุธเทพเหล่านี้” ลินลี่ย์กล่าว
เขาไม่ได้ขาดแคลนอาวุธเทพประเภทดาบ จะมีสองสามชิ้นก็ไม่ต่างกัน ขณะที่ถุงมือเทพนั้น ตัวลินลี่ย์เองเป็นนักดาบดังนั้นถุงมือจึงไม่มีประโยชน์กับเขา
“ว่าไงนะ? เจ้าไม่ต้องการของพวกนี้หรือ?” ไดลินตะลึง
“ข้าไม่ต้องการ” ลินลี่ย์ยิ้มและพยักหน้า “ลอร์ดไดลิน ข้าเพียงแต่หวังว่าถ้าในอนาคต ข้าต้องการความช่วยเหลือของพวกท่าน ท่านลอร์ดไดลินจะสามารถช่วยข้าได้ นั่นจะเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมแล้ว”
ในใจของไดลินความจริงก็ไม่อยากจะแยกจากถุงมือทองระดับเทพนี้ แต่ไดลินมีความหยิ่งผยอง ถ้าเขาได้รับประกายศักดิ์สิทธิ์จากลินลี่ย์โดยไม่ได้ทำอะไรเลยเขาเองจะรู้สึกไม่สบายใจ ไดลินอดรู้สึกลนลานไม่ได้ “แบบนี้จะได้ยังไงกัน? ทำไม่ได้..”
เมื่อเห็นลินลี่ย์ ไดลินอดรู้สึกผิดไม่ได้ เหมือนกับว่าเขาเป็นหนี้ครั้งใหญ่!
เขาจะทำอะไรเพื่อตอบแทนลินลี่ย์?