ตอนที่ 12-4 เหตุการณ์สำคัญ
ยามรุ่งอรุณแสงตะวันฉายผ่านอุทยานด้านหลังปราสาทเลือดมังกร เป็นครั้งแรกในเวลายาวนานที่ลินลี่ย์ต้องการไปอุทยานหลังปราสาทและเพื่ออุทิศตนเองกับงานแกะสลักหิน ขณะที่แกะสลักลินลี่ย์อดนึกย้อนถึงฉากที่มีภาพเขากับปู่เดลินไม่ได้
“ลักษณะ, คุณภาพ,เนื้อและสีสันของหินไม่เพียงส่งผลต่อลักษณะของมันเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงศักยภาพโดยรวมและรูปแบบที่แท้จริงด้วยเราใช้สิ่วสกัดตรงเพื่อสกัดส่วนเกินออกและปล่อยให้ความงดงามตามธรรมชาติเปิดเผยตัวออกมา นี่คืองานสลักหิน”
“วิถีของงานแกะสลักหินก็คือวิถีการควบคุมพื้นที่และรูปลักษณ์อย่างแท้จริง เมื่อจะแกะสลักหิน, หนึ่ง..ต้อง...”
ภาพของปู่เดลินสอนการแกะสลักหินเขายังคงสดชัดเจนอยู่ในใจของลินลี่ย์
หลังจากเข้าใจ ‘สัจธรรมแห่งความเร็ว’ สิ่วตรงของลินลี่ย์เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วสง่างาม บางครั้งกลายเป็นภาพเลือนรางนับไม่ถ้วนขณะที่บางครั้งก็เคลื่อนไหวได้ช้า ทว่านุ่มนวลอ่อนโยน ร่างหินสลักรูปมนุษย์ค่อยปรากฏอยู่ต่อหน้าเขางานแกะสลักของลินลี่ย์ดึงดูดความสนใจของฮิลแมน, เทย์เลอร์และหลายคนที่มองดูอยู่แต่ไกล
“งานแกะสลักของท่านพ่อแปลกประหลาดมาก” เทย์เลอร์พูดอย่างประหลาดใจ
ฮิลแมนถอนหายใจอย่างประหลาดใจเช่นกัน “ถูกแล้ว, งานสลักหินของบิดาเจ้าทำให้ข้ารู้สึกเหมือนกับว่ารูปสลักนั้นมีอยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดที่เขาทำก็คือขจัดหินส่วนเกินและฝุ่นที่คลุมปิดบังมันอยู่ออกไป”
สิ่วสกัดตรงเป็นประกาย เศษศิลาปลิวกระเด็นอย่างต่อเนื่อง
ความจริงก็เหมือนกับที่ฮิลแมนกล่าวลินลี่ย์แค่ขจัดชั้นหินที่ไร้ประโยชน์ด้านบนรูปแกะสลัก และขณะที่สะเก็ดหินปลิวออกไป รูปสลักค่อยๆเริ่มเผยโฉมที่แท้จริงออกมา
“แกะเปลือกออก นี่คือความรู้สึกอย่างที่รู้กันว่า ‘แกะเปลือกออก’ ซึ่งช่างแกะสลักหินพูดถึง” เจนนี่ถอนหายใจอย่างอัศจรรย์ใจ เพียงแต่, ข้าไม่เคยรู้เลยว่าคนเราจะสามารถแกะสลักหินได้อย่างเป็นธรรมชาติขนาดนั้น” เจนนี่เองเรียนรู้งานแกะสลักหินมาบ้าง แต่สิ่งที่นางเรียนเป็นงานแกะสลักรูปแบบธรรมดาจำเป็นต้องใช้เครื่องมือหลายอย่างช่วย
“หืม...”
สำหรับลินลี่ย์ สิ่วสกัดตรงอย่างเดียวก็พอแล้ว
เขาเริ่มแกะสลักตั้งแต่เช้าตรู่ต่อเนื่องไปจนกระทั่งค่ำ หลังจากลินลี่ย์ปรับแต่งสุดท้ายเขาวางสิ่วลงเอื้อมมือไปลูบรูปสลักอย่างอ่อนโยน
“ปู่เดลิน” ลินลี่ย์พึมพำกับตนเอง “เมื่อก่อนนั้น ข้าได้สาบานไว้ว่าเมื่อถึงเวลาข้าจะทำลายศาสนจักรเจิดจรัสแบบขุดรากถอนโคนพวกมัน อีกไม่นาน อีกไม่นาน.. ข้าจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ”
รูปสลักข้างหน้าเขาก็คือ เดลิน โคเวิร์ท ใบหน้าของเดลินโคเวิร์ทยังคงมีรอยยิ้มเปี่ยมเมตตาเหมือนอย่างเคย
“ลินลี่ย์” ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังเขา
ลินลี่ย์หันหน้าและเห็นว่าผู้พูดก็คือเฟน ฮิลแมนที่อยู่ข้างๆ เขาพูดขึ้นทันที “ลินลี่ย์ ท่านเฟนรออยู่ตรงนี้ได้สักพักแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเจ้ากำลังแกะสลัก เขาไม่ต้องการรบกวนเจ้า”
“ดูกระฉับกระเฉงและเหมือนกับมีวิญญาณจริงๆ” เฟนถอนหายใจทึ่งขณะมองดูรูปสลัก
รูปสลักเหมือนกับมีชีวิต และชั่วขณะหนึ่งเหมือนกับเป็นคนจริงๆที่ยืนอยู่กับที่
“ลินลี่ย์, คนที่เจ้าแกะสลักนี้คือใครกัน?”เฟนถามด้วยความสงสัย
ลินลี่ย์ไม่ตอบ “เฟน, ท่านมาที่นี่เพราะ...?”
เฟนรีบกล่าว “โอว, ครั้งนี้ข้ามาเชิญเจ้าเดินทางไปภูเขาเทพสงคราม พรุ่งนี้ กล่าวกันว่าวันที่ 6 เมษายนเทพต่างๆ จะมาชุมนุมกันที่ภูเขาเทพสงครามขณะที่เซียนสองสามคนก็ได้รับเชิญด้วยเช่นกัน”
“โอว?” ลินลี่ย์แปลกใจทันที ชุมนุมเทพ มีเพียงเซียนสองสามคนที่ได้รับเชิญ?เห็นได้ชัดว่าเป็นการชุมนุมครั้งสำคัญ
“ขอถามได้ไหม เรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร?” ลินลี่ย์ถาม
เฟนส่ายหน้า “ข้าไม่แน่ใจเหมือนกัน และอาจารย์ไม่ได้บอกข้า แต่ถ้าเจ้าไป เจ้าจะรู้แน่นอน”
“ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปแน่นอน” ลินลี่ย์พยักหน้าขณะกล่าว
วันที่ 6 เมษายน ศักราชยูลานที่ 10034 จักรวรรดิโอเบรียนที่นอกเมืองหลวงของจักรวรรดิ ภูเขาเทพสงคราม
ภายในสวนสันโดษของเทพสงครามโอเบรียน สี่เทพรวมทั้งเทพสงคราม, มหาพรต,ไดลินและซีซาร์ กับเซียนอีกสี่คนมี เฟน ลินลี่ย์ เดลี่และถูลี่ทุกคนนั่งตามปกติ
“มีเราเพียงสี่คนที่มาครั้งนี้” เดลี่รู้สึกค่อนข้างสงสัย “ลินลี่ย์! เจ้ารู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?” ลินลี่ย์กับเดลี่สนทนาทางใจ
“ข้าไม่แน่ใจเหมือนกัน พวกเขาทั้งหมดเป็นระดับเทพทั้งนั้น เราคงทำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับกิจกรรมของพวกเขา” ลินลี่ย์ก็งงเหมือนกัน
ขณะนี้เซียนทั้งสี่ยังคงอยู่ในความเงียบ
เทพสงครามและมหาพรตมองหน้ากันอย่างมีความหมาย และจากนั้นเทพสงครามเพ่งสายตาที่แหลมคมมาที่ลินลี่ย์และเซียนอีกสามคน เขาพูดเสียงก้องกังวาน “วันนี้เหตุผลแรกเลยที่พวกเจ้าทั้งสี่ถูกเรียกมาเพราะมหาพรตกับข้ามีความเห็นร่วมกันว่าในทวีปยูลานมีประเทศหลากหลายเกินไปได้เวลาที่จะลดจำนวนลงแล้ว”
ลินลี่ย์และเซียนอีกสามคนตกใจ
“เทพสงครามเตรียมจะก่อสงครามใหญ่หรือ?” ลินลี่ย์ลอบประหลาดใจกับตนเอง
เสียงนุ่มนวลลอดออกมาจากหน้ากากของมหาพรต “เทพสงครามกับข้ามาเพื่อตกลงกันควรมีเพียงสามจักรวรรดิใหญ่ที่คงเหลืออยู่ในทวีปยูลาน นั่นคือ จักรวรรดิโอเบรียนจักรวรรดิยูลาน และจักรวรรดิบาลุค พูดอีกอย่าง..ได้เวลาทำสงครามควบรวมทวีปยูลานทั้งหมดแล้ว”
ลินลี่ย์ เฟน เดลี่และถูลี่ แม้จะตกใจอยู่ภายในแต่ภายนอกยังคงแสดงความสงบ
“ลินลี่ย์ เจ้ามีความคิดว่าไงบ้าง? เจ้าถือว่าเป็นตัวแทนของจักรวรรดิบาลุค”
ลินลี่ย์นิ่งเล็กน้อย
“นี่เป็นข่าวดี ข้าไม่คัดค้านเป็นธรรมดา”
ลินลี่ย์พูดต่อทันที “ถ้าเราสามจักรวรรดิใหญ่ร่วมกำลังกัน ก็ไม่ยากจะทำลายประเทศอื่น เพียงแต่ข้าเชื่อว่าพวกท่านเทพสงครามและท่านมหาพรตร่วมกำลังกันก็สามารถทำงานเช่นนี้ให้สำเร็จได้ ทำไมท่านต้องเชิญเราเหล่าเซียนมาด้วยเล่า? ข้าไม่เข้าใจตรงนี้”
เทพสงครามและมหาพรตอาจจะเห็นแก่หน้าเขาจึงได้เชิญเขามาด้วย แต่ทำไมถึงได้เชิญเดลี่ ถูลี่และเฟนมาด้วยเล่า?
“เป็นเรื่องง่ายๆ” ซีซาร์ที่อยู่ใกล้ๆ อารมณ์ร่าเริงมีแววกระตือรือร้นในตาของเขา “เทพสงครามและมหาพรตไม่ต้องการลงมือ พวกเขาต้องการให้พวกเจ้าลงมือ”
เทพสงครามอดปรายตาไปที่ซีซาร์ไม่ได้ แต่ซีซาร์เพียงแต่หัวเราะคิกคัก
“เราไม่ต้องการพัวพันในสงคราม” เทพสงครามยืนยัน เสียงที่ทรงอำนาจดังขึ้น “เราต้องบอกเจ้าบางอย่าง ลอร์ดเบรุตมีคำสั่งมาว่าในช่วงเวลาสามวัน เราสี่เทพจะไปยังสุสานเทพเจ้ากันหมด”
“ไปสุสานเทพเจ้า?” ลินลี่ย์ เดลี่และยอดฝีมืออื่นทุกคนรู้ว่าครั้งล่าสุดมีแต่เพียงเซียนที่เข้าสุสานเทพเจ้า ขณะที่ระดับเทพไม่ได้เข้าไปด้วย
เซียนต้องการได้รับประกายศักดิ์สิทธิ์ของเทพชั้นต้น ขณะที่เทพสงครามต้องการได้ประกายเทพชั้นกลาง
“อีกสามวัน? ทำไมลอร์ดเบรุตถึงไม่ให้พวกท่านเข้าสุสานเทพเจ้าพร้อมกับเรา?มีเหตุผลพิเศษอะไรไหม?” ลินลี่ย์ถาม
ไดลินที่อยู่ใกล้ๆ แค่นเสียง “ไม่มีอะไรพิเศษ เหตุผลเพียงเพราะลอร์ดเบรุตสั่งก็เท่านั้น”
ลินลี่ย์งง
แค่เพราะลอร์ดเบรุตสั่ง?
“พอแค่นั้นเถอะ” เทพสงครามพูดอย่างใจเย็น “การยุบประเทศอื่นเป็นแค่เพียงเรื่องเล็ก ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทั้งสี่สามารถรับมือได้ เอาอย่างนี้เป็นไง... ลินลี่ย์ ถูลี่ เดลี่ พวกเจ้านำกองกำลังไปที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรเจิดจรัสและทำลายเสีย”
“ขณะที่ศิษย์สายตรงของวิทยาลัยเทพสงครามของข้าและศิษย์สายตรงของมหาพรต พวกเขาจะร่วมมือกันทำลายสำนักงานใหญ่ของลัทธิเงา”
เทพสงครามชำเลืองมาลินลี่ย์ที่ด้านข้าง “อย่าบอกข้านะว่า เจ้าทำไม่ได้”
“ข้าจะยินดีมากที่ได้จัดการกับศาสนจักรเจิดจรัส” ลินลี่ย์ขมวดคิ้วขณะพูด “แต่เกาะศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรเจิดจรัสมีวงเวททรงพลังขนาดใหญ่นามว่า”ศิริแห่งมหาเทพเจิดจรัส“คุ้มกันอยู่ ข้าคิดว่าแค่อาศัยพลังเซียนอย่างเดียวเราพบว่ามันทำลายได้ยากลำบาก”
ไดลินที่อยู่ใกล้ๆ พูดอย่างดูแคลน “ศิริมหาเทพเจิดจรัสน่ะหรือ? ใช่เลย,พลังของวงเวทใหญ่นั่นนับว่าไม่เลว ตอนนั้นมันสามารถป้องกันพลังโจมตีของข้าได้ เซียนคนเดียวไม่สามารถทำลายมันได้แน่ แต่ลินลี่ย์, ถ้าพวกเจ้าเหล่าเซียนสักสิบคนโจมตีอย่างเต็มกำลังพร้อมกัน..บางทีอาจไม่ใช่ครั้งเดียว อาจไม่ใช่สองครั้งแต่ในที่สุดพวกเจ้าจะสามารถทำลายศิริแห่งมหาเทพเจิดจรัสได้”
ลินลี่ย์หัวเราะเช่นกัน
ก่อนหน้านั้นศาสนจักรเจิดจรัสกลัวว่าลินลี่ย์จะนำสี่เซียนโจมตีเกาะศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพวกเขาจึงให้ลินลี่ย์ลงชื่อตกลงว่าถ้าเขาจะไปเกาะศักดิ์สิทธิ์ ก็จะต้องไปตามลำพัง
แต่ข้อตกลงเก่านั้น ลินลี่ย์ ศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาได้ล้มเลิกไปแล้ว
มหาพรตแคทเธอรีนพูด “ความจริงถ้าเซียนจอมเวทสายธาตุลมสามคนร่ายเวทคมมีดมิติพร้อมกันและโจมตีตำแหน่งเดียวกันก็เพียงพอจะทำลายศิริแห่งมหาเทพเจิดจรัสได้แล้ว”
“ถ้าเจ้าสามารถทำลายนักสู้ระดับเซียนของคู่ต่อสู้ ผลการสู้รบจะได้ผลสรุปล่วงหน้าตั้งแต่การต่อสู้จะเริ่มเสียอีก” เทพสงครามพูดอย่างเย็นชา “ในผลสงครามจำกัดจำนวนประเทศ เมื่อเวลามาถึงการใช้งานกองกำลังระดับเซียนของเจ้าและการคุกคามคู่ต่อสู้ ข้าเชื่อว่าการรบครั้งนี้จะได้ผลสรุปอย่างรวดเร็ว”
ลินลี่ย์ เดลี่ เฟน และถูลี่ได้แต่หัวเราะในใจ
สำหรับพวกเขาการสู้รบในทวีปยูลานไม่มีอะไรมากไปกว่าการละเล่นของพวกเด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทพสงครามและมหาพรตเข้าร่วมในกองกำลัง
และความจริงเมื่อยอดฝีมือระดับสูงสุดของศาสนจักรเจิดจรัสและของลัทธิเงาถูกทำลายผลของสงครามจะชัดเจนสำหรับทุกคน
“ท่านเทพสงคราม ข้ามีข้อสับสนเล็กน้อย” ลินลี่ย์พูดขึ้น “ทำไมท่านถึงลากเวลาจนยาวนานขนาดนี้แทนที่จะเริ่มต้นมานานแล้ว? ข้าคิดว่าถ้าท่านและท่านมหาพรตร่วมกองกำลังท่านสามารถแบ่งออกเป็นสองจักรวรรดิไปนานแล้วทั้งที่การแบ่งโลกขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง”
เทพสงครามและมหาพรตชำเลืองมองกัน
ไดลินหัวเราะอย่างน่ากลัว “นั่นง่ายมาก เวลานั้น ข้ายังไม่มาถึงทวีปยูลานและซีซาร์ยังไม่บรรลุระดับสูง ในสังคมมนุษย์ทวีปยูลาน มีเทพอยู่เพียงสอง สองเทพมักจะเป็นฝ่ายตรงกันข้าม แล้วพวกเขาจะร่วมกองกำลังได้ยังไง?”
“สำหรับเหตุผลที่พวกเขาร่วมกำลังกันตอนนี้เหตุผลแรกเป็นเพราะพวกเขาทั้งสองในตอนนี้รู้สึกว่าการรวมทวีปยูลานภายใต้กฎเกณฑ์ของพวกเขาเป็นเรื่องสิ้นหวังแล้วดังนั้นพวกเขาจึงแบ่งโลกออกเป็นสามส่วนแทน เหตุผลที่สองเป็นเพราะตอนนี้พวกเขารู้สึกกดดัน สำหรับเหตุผลที่พวกเขากดดันเจ้าไปค้นหาเอาเอง” ไดลินกล่าว
ทันใดนั้นลินลี่ย์มีความคิดหนึ่ง “เทพสงครามและมหาพรต..รู้สึกว่าการรวบทวีปเป็นเรื่องสิ้นหวังในตอนนี้?เป็นเพราะข้า?”
ลินลี่ย์เข้าใจทันที
ประการแรกทั้งหมดเกี่ยวกับการเป็นเทพ เทพสงครามและมหาพรตควรจะรู้เรื่องนี้ดี ประการที่สอง เขาได้ประกายศักดิ์สิทธิ์จากในสุสานเทพเจ้าและสามารถสร้างกลุ่มเทพชั้นต้นได้..และส่วนที่สำคัญที่สุดในประการที่สาม ความสัมพันธ์ระหว่างบีบีกับเบรุตสามจุดนี้เป็นไปไม่ได้ที่เทพสงครามหรือมหาพรตจะทำเหมือนกับลินลี่ย์เป็นศัตรู
“สิบแปดแคว้นอิสระตอนเหนือและสหภาพศักดิ์สิทธิ์จะเป็นของจักรวรรดิโอเบรียนข้า”เทพสงครามพูดอย่างใจเย็น
เทพสงครามมองดูลินลี่ย์ “จักรวรรดิโรฮอลท์และทุ่งราบตะวันออกไกลจะเป็นของจักรวรรดิบาลุคของเจ้า”
“ขณะที่ส่วนที่เหลือ พันธมิตรมืดและจักรวรรดิไรน์จะเป็นของจักรวรรดิยูลานทั้งหมด” มหาพรตที่อยู่ใกล้ๆ พยักหน้าเล็กน้อย
“ลินลี่ย์, เจ้ามีอะไรจะคัดค้านไหม?” เทพสงครามและมหาพรตมองดูลินลี่ย์
ลินลี่ย์ได้แต่หัวเราะในใจอย่างช่วยไม่ได้
จากคำพูดและทัศนคติของเทพสงครามและมหาพรต เขารู้สึกได้..ว่าเทพสงครามและมหาพรตไม่ได้ปฏิบัติต่อสงครามที่จะมีมาเหมือนเป็นกิจการใหญ่และความจริง นี่ไม่ใช่สงครามที่จะมีผลเป็นอื่นไปได้ยอดฝีมือระดับพวกเขาไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องนั้น
“ไม่คัดค้าน, แน่นอน ข้าไม่มีอะไรจะคัดค้าน” ลินลี่ย์จะพูดอะไรอื่นได้อีกเล่า?
ถ้าอย่างนั้นก็ว่าตามข้อตกลงนี้ ทวีปยูลานจะแบ่งออกเป็นสามส่วน
“ตกลงตามนี้” เทพสงครามพยักหน้าพอใจ “ลินลี่ย์เจ้าก็ควรจะรู้นะว่าความจริงเรื่องอำนาจโลกๆ ไม่มีความหมายสำหรับพวกเรา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือระดับการฝึกฝนของเจ้าเอง ลินลี่ย์, ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจะกลายเป็นระดับเทพอีกในราวสิบปี”
ลินลี่ย์สามารถบอกได้ว่าทัศนคติที่เทพสงครามมีต่อเขาตอนนี้ให้ความสำคัญกับเขาเหมือนเป็นคนในระดับเดียวกัน
ที่สำคัญ ในช่วงสั้นๆ สิบปี เมื่อเวลาที่เทพสงครามกลับมาลินลี่ย์อาจจะกลายเป็นระดับเทพไปแล้ว
ไดลินที่อยู่ใกล้ๆ พูดอย่างเคร่งขรึม “แต่ก่อนที่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น ข้าต้องเตือนเจ้าสักสองสามเรื่อง มิฉะนั้น ถ้าเจ้าทำผิดพลาดไปอย่างโง่ๆ จะเกิดเรื่องน่ากลัวกับเจ้า”
ลินลี่ย์ตั้งใจฟันอย่างระมัดระวังทันที และแม้แต่เดลี่และคนอื่นที่อยู่ใกล้ล้วนให้ความสนใจทันที
“การอาศัยพลังของเจ้าเองเพื่อกลายเป็นเทพและหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์เพื่อกลายเป็นเทพต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อระดับความเข้าใจกฎธรรมชาติของเจ้าไปถึงระดับที่แน่นอน จักรวาลจะสร้างประกายศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับธรรมชาติวิญญาณเจ้าและประกายนี้จะเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าอย่างสมบูรณ์”
“เมื่อประกายศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าถูกสร้าง เจ้าจะเผชิญกับตัวเลือกอย่างหนึ่ง” ไดลินมองลินลี่ย์อย่างเคร่งขรึม “หลังจากประกายศักดิ์สิทธิ์ถูกสร้างเจ้าจะมีเงื่อนไขให้เลือกสองอย่างคือหนึ่งหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์เข้าในใจเจ้าและทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวิญญาณเจ้าเวลานั้นร่างของเจ้าจะเปลี่ยนไปเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์
“การหลอมรวมวิญญาณกับประกายศักดิ์สิทธิ์จะทำให้ร่างของเจ้าเปลี่ยนเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ ถ้าประกายศักดิ์สิทธิ์เป็นสายธาตุดิน อย่างนั้นในอนาคตเจ้าจะฝึกได้แต่เพียงกฎธรรมชาติธาติดิน ไม่สามารถฝึกอย่างอื่นได้”
“แต่ว่าแน่นอน หลังจากกำเนิดประกายศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังคงมีเงื่อนไขตัวเลือกที่สอง!”
“เงื่อนไขนั้นก็คือไม่หลอมรวมประกายศักดิ์สิทธิ์เข้าในร่างของเจ้าปล่อยมันไว้ด้านนอกแทน ถ้าเจ้าทำเช่นนั้น อย่างนั้นจักรวาลจะสร้างร่างที่สองตามธรรมชาติของประกายศักดิ์สิทธิ์ ร่างเดิมของเจ้าจะไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย กล่าวอีกอย่างหนึ่ง..เจ้าจะมีร่างจำลองของตนเอง ร่างจำลองของตัวเจ้าจะเป็นเทพชั้นต้น ขณะที่ร่างเดิมของเจ้ายังสามารถฝึกฝนกฎธาตุอื่นได้อีกต่อไป!”
ไดลินกล่าวอย่างจริงจัง “อย่างไรก็ตาม ยังมีคุณค่าราคาสำหรับทางเลือกที่สองด้วยเช่นกัน วิญญาณของเจ้าจะถูกแบ่งออกเป็นสองระหว่างกระบวนการกลายเป็นเทพพลังงานแปลกประหลาดของจักรวาลจะปกป้องเจ้าในระหว่างนั้น ดังนั้นวิญญาณของเจ้าจะถูกแบ่งครึ่งและถูกควบคุมตามกระบวนการ และเจ้าจะไม่ตายจากนั้น อย่างไรก็ตามมันค่อนข้างจะเป็นอันตรายต่อวิญญาณเจ้า”