ตอนที่ 12-3 แบ่งสมบัติ
ภายในห้องมิติใต้ปราสาทเลือดมังกร
เดเลียภรรยาของลินลี่ย์กำลังฟังเขาเล่าเหตุการณ์ในสุสานเทพเจ้า ขณะที่นางฟัง นางรู้สึกกลัวโดยเฉพาะตอนที่เขาอธิบายถึงตอนที่เผชิญหน้ากับนาคราชในชั้นที่สาม....
รู้สึกกังวลกับประสบการณ์เฉียดตายของบาร์เกอร์
รู้สึกตกตะลึงพลังที่น่ากลัวของอสูรจ้าวอัคคีบนชั้นที่หก
รู้สึกหวาดผวาที่ลินลี่ย์เกือบต้องตายภายใต้รากเถาของนางพญาแลชเพิล
“ปีศาจดาบอเวจีเป็นล้าน!” เดเลียพอได้ยินสิ่งที่ลินลี่ย์เผชิญเจอบนชั้นที่สิบเอ็ดถึงกับตะลึงค้าง “เมื่อตอนที่เราส่งกองทัพออกไปสู้กับศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาซึ่งรวมกำลังสู้กับเรา ข้าเห็นกองทัพห้าแสน ห้าแสนของทหารธรรมดาเหมือนกับทะเลมนุษย์ไม่มีขอบเขต และนับกันไม่ไหว”
“ถูกแล้ว พวกมันมีจำนวนมากไม่มีที่สิ้นสุด”
ลินลี่ย์อดนึกย้อนไปถึงฉากภาพนั้นไม่ได้ ตอนนี้ทันทีที่พวกยอดฝีมือออกมาจากพื้นที่ใต้ดินปีศาจดาบอเวจีเกือบล้านตนคลุมเต็มท้องฟ้าไปหมดใช้พลังดาบโจมตีลงมาข้างล่างพร้อมกันด้วยพลังดาบโจมตีระยะไกลตอนนั้นเหมือนกับเหตุการณ์วันสิ้นโลกทำให้ราชสีห์ทองหกตาพี่ชายคนรองของสามราชสีห์ตาย
“เล่าให้ข้าฟังอีก เจ้าหลบหนีออกมาได้ยังไง และเจ้าได้รับประกายศักดิ์สิทธิ์ในสภาพแวดล้อมนั้นได้ยังไง” เดเลียรบเร้า
ตอนนี้เดเลียรู้ดีแล้วว่านางเพิ่มเริ่มหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์ไปบางส่วน นางอาจนับได้ว่าเป็นเพียงครึ่งเทพ แม้ว่าสนามพลังเทพของนางยังไม่สมบูรณ์และนางไม่สามารถประยุกต์ความรู้กฎธาตุที่ลึกซึ้งออกมาใช้ได้เลย ถ้านางอยู่ที่สุสานเทพเจ้าชั้นที่สิบเอ็ดก็มีแนวโน้มว่าจะถูกปีศาจดาบอเวจีรุมสังหารนางได้แน่
ทันใดนั้นลินลี่ย์อธิบายต่อไปว่ายอดฝีมือต้องเสี่ยงทุ่มทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงอุโมงค์ เขาอธิบายถึงตอนจบที่เขาเข้าไปขัดขวางปีศาจดาบอเวจีเหล่านั้น และวิธีที่เขาถูกพวกปีศาจไล่ล่าในใต้ดินก่อนในที่สุดเขาจึงได้ทำความเข้าใจ ‘สัจธรรมแห่งความเร็ว’
“เฮ้อ” หลังจากลินลี่ย์เล่าเรื่องจบแล้วในที่สุดเดเลียค่อยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
เดเลียเงยหน้ามองดูลินลี่ย์
เดเลียยังจำได้ว่าเวลาหลายปีผ่านไปอย่างไร ลินลี่ย์คืออัจฉริยะจอมเวทแห่งสถาบันเอินส์ และตอนนี้ลินลี่ย์เป็นสุดยอดฝีมือผู้มีอำนาจเหนือปีศาจดาบอเวจีเป็นล้านได้ นางอดภูมิใจในตัวสามีไม่ได้
“เจ้ามองอะไร?” ลินลี่ย์หัวเราะ
“มองดูเจ้านั่นแหละ” สีหน้าของเดเลียตอนนี้เหมือนเด็กสาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะ “จริงสิ เดเลีย เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง,ข้าควรจะจัดการกับประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามนี้ยังไงดี? ยอดฝีมือทั้งหมดล้วนมีท่าทางให้ความสนใจข้า แต่แน่นอนหลังจากได้รับคำแนะนำจากท่านลอร์ดเบรุตแล้ว บางทีพวกเขาอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้”
ลินลี่ย์ต้องยอมรับว่าเดเลียเข้มแข็งมากกว่าเขาในเรื่องมนุษยสัมพันธ์
“ลินลี่ย์! โธ่เอ๊ย..” เดเลียอดถอนหายใจหัวเราะไม่ได้ พลางส่ายหน้า “เจ้าน่ะ จริงๆ เลยนะ... ข้าไม่ต้องการจะพูดมากอีกแล้ว ในสุสานเทพเจ้า บรรดายอดฝีมือฝ่ายมนุษย์ เดลี่,โอลิเวอร์, เฟน, โรซารี่และถูลี่ แน่นอนว่าในห้าคนนี้มีเดลี่ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเรามากที่สุดไม่ใช่หรือ? ตามคำพูดของเบรุต โอลิเวอร์มีศักยภาพสูงมาก!”
“แต่เมื่อคิดดูแล้วเฟนได้รับมุกชีวิตไปแล้ว ขณะที่ถูลี่และโรซารี่แต่ละคนก็ได้รับสมบัติเทพโอลิเวอร์กับเดลี่กลับตรงกันข้าม ไม่ได้มีอะไรติดมือเลย”
เดเลียหัวเราะขณะมองดูลินลี่ย์ “ศักยภาพของโอลิเวอร์สูงล้ำ ขณะที่เดลี่มีสัมพันธ์ที่ดีกับเราทั้งสองควรดึงเข้ามาสนิทกับเรา แต่..พวกเขาทั้งสองไม่ได้รับอะไรเลย”
ลินลี่ย์อ้าปากค้าง แต่ไม่รู้จะพูดอะไร
“ลินลี่ย์! สถานะของเจ้าตอนนี้แตกต่างไปแล้วเมื่อเทียบกับในอดีต เจ้าคือเสาหลักของจักรวรรดิบาลุคเรา เจ้าไม่อาจตัดสินใจอย่างปกติธรรมดาได้อีกต่อไป” เดเลียกล่าว “ดูสิ, ตอนนี้, ในสังคมของมนุษย์ทวีปยูลานมหาอำนาจที่ทรงพลังมากที่สุดก็คือ จักรวรรดิยูลานและจักรวรรดิโอเบรียนเพราะพวกเขามีเทพสงครามและมหาพรต”
“ขอเพียงมีนักสู้ชั้นเทพก็จะทำให้จักรวรรดิอายุยืนยาว”
“ต่อให้เจ้ากลายเป็นเทพ, ลินลี่ย์! ก็มีแนวโน้มว่าเมื่อเทียบกับเทพสงคราม ก็ยังยากที่เจ้าจะเอาชนะพวกเขาได้ที่สำคัญพวกเขาเป็นเทพมาอย่างยาวนานแล้ว”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
อำนาจของเทพสงครามและมหาพรตยิ่งใหญ่มากกว่าที่เขาหวัง
เดเลียถอนหายใจ “เดลี่เองก็อาศัยอยู่ชายแดนจักรวรรดิบาลุคและธิดาของเขาก็แต่งงานกับเรย์โนลด์สหายสนิทของเจ้า เจ้าควรจะดึงเดลี่มาอยู่ฝ่ายเราและทำให้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
“แต่แน่นอนขณะที่ดึงคนอื่นเข้ามาใกล้ก็เป็นเรื่องสำคัญ การเสริมสร้างความเข้มแข็งคนของเราเองเป็นเรื่องสำคัญกว่า” เดเลียกล่าว “ดังนั้น, ข้าคิดว่าในสามประกายศักดิ์สิทธิ์นั้น ต้องให้วอร์ตันน้องชายเจ้าหนึ่งประกายหรือไม่ก็พี่น้องบาร์เกอร์คนใดคนหนึ่ง”
“ประกายศักดิ์สิทธิ์ที่สองควรจะสงวนไว้ให้เดลี่”
“สำหรับประกายที่สาม ตอนนี้แค่ถือครองเอาไว้ในกรณีที่เราต้องการใช้มันทันที ตัวอย่างเช่นถ้าเทพสงครามหรือมหาพรตมาขอในนามศิษย์คนหนึ่ง หรือเช่น ถ้าไดลิน, หรือซีซาร์มา ทั้งสองก็เป็นไปได้ ไดลินมีบุตรชาย ขณะที่ซีซาร์มีโรซารี่ การที่พวกเขาเป็นหนี้เรานั่นนับเป็นเรื่องที่ดี”
เมื่อได้ยินเดเลียวิเคราะห์แล้ว ลินลี่ย์รู้สึกเหมือนกับว่าความลึกลับที่รุมเร้าเขาได้รับการคลี่คลายทันที
“ดีแล้วเดเลีย เราจะทำตามสิ่งที่เจ้าพูด” ลินลี่ย์พยักหน้า
เดเลียพูดต่อ “ลินลี่ย์ สำหรับสมบัติวิเศษสิบชิ้นของเจ้า ดาบศึกแดงสามเล่มและดาบของปีศาจดาบอเวจีอีกพันเล่ม.. เท่าที่ข้าดูแล้วดาบของปีศาจดาบอเวจีน่าจะเก็บเอาไว้ชั่วคราว ของเหล่านั้นถือได้ว่าเป็นสมบัติพิทักษ์จักรวรรดิของเรา ที่สำคัญทุกเล่มเทียบได้กับดาบหนักอดาแมนเทียมของเจ้า นอกจากนี้ถ้าเรานำดาบเหล่านั้นออกมาในรวดเดียวความวุ่นวายจะเกิดขึ้นในทวีปได้”
ลินลี่ย์พยักหน้า
“สำหรับสมบัติเทพทั้งสิบสามชิ้นรวมทั้งดาบศึกสีแดงจัดการได้ง่ายมาก แบ่งออกไว้ในครอบครัวหรือบางทีเจ้าอาจมอบให้เดลี่สักชิ้นหรือสองชิ้น สมบัติเทพแบ่งได้ง่ายมาก” เดเลียกล่าว
ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะ “ได้เลย อย่างไรก็ตาม ต้องมีสักหนึ่งในสิบสามชิ้นที่เจ้าควรจะเลือกไว้ด้วย”
“อะไรนะ?” เดเลียถามด้วยความสงสัย
ลินลี่ย์พลิกมือดึงชุดเกราะเทพออกมาจากแหวนมิติเก็บสมบัติ “เดเลีย, เกราะรบชั้นเทพนี่เป็นของเจ้า”
“หือ?” เดเลียอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางพูดทันที “ลินลี่ย์, เจ้าคือเสาหลักของจักรวรรดิ เจ้าควรเป็นคนที่สวมเกราะเทพนี้”
ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะ “ไม่ต้องหรอก เดเลีย ที่สำคัญที่สุดคือข้ามีมุกชีวิตอยู่แล้ว ประการที่สอง.. เมื่อข้าเข้าถึงระดับเทพ.. เจ้าต้องเข้าใจก่อนว่าเวท‘เกราะผู้พิทักษ์ดินศักดิ์สิทธิ์สามารถใช้ได้ดีกับระดับเทพได้เช่นกัน ในเวลานั้น...พลังป้องกันของเกราะเทพดินก็เทียบเท่ากับเกราะรบเทพของเจ้าแล้ว”
“อย่างนั้นก็มอบให้วอร์ตัน ที่สำคัญข้าหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์แล้ว” เดเลียกล่าว
ลินลี่ย์ส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็น เจ้าบอกอยู่เองไม่ใช่หรือ? หนึ่งในสามประกายศักดิ์สิทธิ์จะต้องถูกเก็บไว้เพื่อคนของเราเอง ในอีกไม่กี่วันข้าจะถามวอร์ตันว่าเขายินดีจะหลอมรวมกับประกายเทพหรือไม่ ถ้าเขายินดี อย่างนั้นเขาจะกลายเป็นเทพ ถ้าเขาไม่ยินดี อย่างนั้นหลังจากที่ข้าเสร็จเรื่องสุดท้ายแล้วข้าจะให้มุกชีวิตกับเขา”
“เรื่องสุดท้าย?” เดเลียตกใจ “ลินลี่ย์,เจ้าพูดถึง..?”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย“ข้าดูเรื่องนี้มานานแล้ว นานมากแม้แต่ตอนนี้, ข้าก็ยังไม่มั่นใจเต็มที่ พวกเขาไม่มีความสามารถทำร้ายข้าได้อย่างแน่นอน”
………..
วอร์ตันเกษียณตัวเองและยกราชสมบัติให้โอรสของเขา ซีนาบาลุคเป็นจักรพรรดิใหม่ของจักรวรรดิบาลุค
หลังจากรู้ว่าลินลี่ย์กลับมาแล้ว วอร์ตันรีบบินมายังปราสาทเลือดมังกรทันทีและชาชาธิดาของลินลี่ย์กลับมาพร้อมด้วยเช่นกัน ห้าพี่น้องบาร์เกอร์กลับมารวมตัวพร้อมหน้าพร้อมตากันในครั้งนี้ ทุกคนที่ติดตามลินลี่ย์มานานหลายปีมาประชุมกันในโถงใหญ่
ลินลี่ย์ถามวอร์ตันว่าเขายินดีจะหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์และกลายเป็นเทพหรือไม่ ที่สำคัญคือวอร์ตันเป็นนักรับเลือดมังกรระดับเซียนได้ด้วยตนเองแล้ว
แต่การสนองตอบของวอร์ตันทำให้ลินลี่ย์ต้องยอมแพ้
“พี่ใหญ่,ถ้าข้าต้องผสานกับประกายศักดิ์สิทธิ์ในสายธาตุที่ท่านมอบให้ข้า หลังจากนั้นข้าจะกลายเป็นเทพชั้นต้นสายธาตุดิน อย่างนั้นข้าจะฝึกในทางกฎธาตุไฟต่อไปได้หรือไม่?”
“คงฝึกไม่ได้ เมื่อเจ้ากลายเป็นเทพชั้นต้นสายธาตุดิน ความสามารถในการรู้สึกถึงธาตุชนิดอื่นจะตกลงไปมาก ขณะที่ความสามารถในการรู้สึกถึงธาตุดินของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกมาก เทพชั้นต้นสายธาตุดินจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับการรู้แจ้งในกฎธาตุไฟ”
“พี่ใหญ่, ท่านมีประกายเทพสายธาตุไฟบ้างไหม?”
“ข้าไม่มี”
“อย่างนั้นข้าจะไม่ใช้”
คำตอบของวอร์ตันง่ายและตรง เมื่อมาถึงระดับเซียน วอร์ตันเริ่มเดินตามเส้นทางของกฎธรรมชาติธาตุไฟ แม้ว่าวอร์ตันเพิ่งจะได้รับการรู้แจ้งบ้างแต่เขาเพลิดเพลินกับการเข้าใจถึงกฎธรรมชาติธาตุไฟ
ลินลี่ย์ไม่เถียงกับเขา
เขาเข้าใจน้องชายของเขา เพราะเขาเองก็เหมือนกัน เหมือนกับว่าความรู้สึกของวิญญาณกลายเป็นหนึ่งเดียวกับธาตุดินหรือกับธาตุลม เขาชอบความรู้สึกอิสระของธาตุลมและความกว้างใหญ่ของธาตุดิน สำหรับลินลี่ย์การฝึกฝนกับกฎธรรมชาติธาตุลมและธาตุดินเป็นการผ่อนคลายและเพลิดเพลินประการหนึ่ง
ถ้าใครบางคนให้ประกายศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟลินลี่ย์และบอกให้เขาหลอมรวมกับประกายนั้น ลินลี่ย์คงไม่ยินดีทำแบบนั้นเช่นกัน
เพราะ...
เมื่อประกายศักดิ์สิทธิ์สายธาตุไฟถูกหลอมรวมเขาจะกลายเป็นเทพชั้นต้นสายธาตุไฟทันทีซึ่งจะทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้แจ้งกฎธาตุธรรมชาติอื่นๆ
“การต้องเป็นเทพชั้นต้นธาตุไฟ และเลิกฝึกสัจธรรมแห่งธาตุดินและธาตุลมน่ะหรือ?” ลินลี่ย์ส่ายศีรษะ
นอกจากนี้ ยังมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการกลายเป็นเทพโดยใช้ประกายศักดิ์สิทธิ์และระหว่างการสำเร็จเป็นเทพด้วยตนเอง
จากนั้นลินลี่ย์ถามพี่น้องบาร์เกอร์
เกทส์และพี่ๆทั้งสามยืนยันว่าบาร์เกอร์พี่ใหญ่ของพวกเขาจะเป็นคนหลอมรวมกับแก่นประกายศักดิ์สิทธิ์ขณะที่บาร์เกอร์เองเก็เกิดมาทางสายธาตุดินอยู่แล้วดังนั้นลินลี่ย์จึงมอบประกายเทพสายธาตุดินให้บาร์เกอร์เขาเริ่มหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์และจะเริ่มฝึกสันโดษ
ในสวนด้านหลังปราสาทเลือดมังกร
บุรุษหนุ่มทั้งสี่คนนั่งล้อมโต๊ะกลมดื่มสรวลเสเฮฮากันลั่นสี่สหายนี้ก็คือ ลินลี่ย์ เรย์โนลด์ เยล จอร์จ
“สิบกว่าปีแล้วที่เราสี่พี่น้องไม่ได้พบเจอกัน มาเถอะดื่มฉลองกัน..ทุกคน!” เยลหัวเราะลั่นพลางกล่าว ตอนนี้ ในสี่คนนี้เยลคือคนที่มีพลังอ่อนที่สุดแต่แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจอมเวทระดับเจ็ด แต่เขาก็ได้อายุขัยหลายร้อยปี
รูปลักษณ์ของพวกเขาดูเหมือนยังหนุ่มเยาว์วัย
“พี่ใหญ่เยล,ขอแสดงความยินดีด้วยที่ท่านได้เป็นประธานกรรมการหอการค้าดอว์สัน” ลินลี่ย์หัวเราะ
ลินลี่ย์ยินดีเป็นที่สุดได้อยู่พร้อมหน้าสหายสนิทสมัยเยาว์วัยอย่างพร้อมหน้า
“ฮ่าฮ่า, น้องสาม, ข้าไม่อาจเทียบเจ้าได้แม้แต่น้อย” เยลหัวเราะเบาๆ จากนั้นตบไหล่จอร์จ “น้องรองเราสองคนตามน้องสามและน้องสี่ไม่ทันแล้ว น้องสามไม่ต้องพูดถึง เขาเข้าถึงระดับเซียนมานานแล้ว หลังจากก่อตั้งจักรวรรดิบาลุคและแต่งงานก็ประมาณ.. ยี่สิบสี่ปีแล้วใช่ไหม? ยี่สิบสี่ปีที่ผ่านมา น้องสี่ของเราที่ก่อนนั้นยังเป็นจอมเวทระดับเจ็ดตอนนี้กลายเป็นระดับเก้าไปแล้ว แต่สองเราล่ะ?”
จอร์จเริ่มหัวเราะเหมือนกัน “พี่ใหญ่เยล, อย่าดึงข้าไปรวมกับเจ้า เมื่อสองปีที่แล้วข้าเพิ่งจะได้เลื่อนเป็นจอมเวทระดับแปดแล้ว ข้าระดับสูงกว่าเจ้า”
นี่คือปีปฏิทินศักราชยูลานที่ 10034 ลินลี่ย์แต่งงานเมื่อปี 10010
ยี่สิบสี่ปีแล้ว
แน่นอนว่า สำหรับสุดยอดฝีมือพวกเขาอาจเข้าถือสันโดษฝึกวิชาครั้งละเป็นร้อยปีสองสามทศวรรษยังไม่นับว่าเท่าใดนัก
“ข้ามัวแต่ยุ่งเลยไม่มีเวลาพอสำหรับฝึกฝน โชคดีแค่ไหนแล้วที่อย่างน้อยข้าได้เป็นจอมเวทระดับเจ็ด” เยลหัวเราะลั่น
จอร์จเป็นมหาเสนาบดีคนสำคัญของจักรวรรดิยูลาน ขณะที่เยลวุ่นวายกับการจัดการกิจการของหอการค้าความจริงพวกเขามีเวลาฝึกฝนไม่พอ
“น้องสาม” เยลตบไหล่ของเขาสองครั้ง “ชีวิตของเจ้าน่าสนใจอย่างแท้จริง เจ้าก่อตั้งจักรวรรดิใหญ่โตและกลายเป็นสุดยอดฝีมือของทวีปได้ มีเด็กรุ่นใหม่เลือดร้อนหลายคนของทวีปต้องการใช้เจ้าเป็นเป้าหมายแบบอย่างวัยรุ่นเลือดร้อนเหล่านั้นก็เหมือนกับเราสี่พี่น้องในอดีต!”
ลินลี่ย์ จอร์จ เยลและเรย์โนลด์เงียบไปครู่หนึ่ง
พวกเขาอดนึกย้อนกลับไปไปสมัยอายุเยาว์ไม่ได้
เรย์โนลด์หัวเราะขึ้นทันที “พี่ใหญ่เยลตอนนี้เจ้าเป็นผู้อำนวยการของหนึ่งในสามหอการค้ายิ่งใหญ่ของทวีปยูลานแล้วความมั่งคั่งของเจ้าแข่งกับจักรวรรดิเหล่านั้นได้ เหมือนอย่างที่เจ้าบอก เจ้าควรจะพอใจด้วยไม่ใช่หรือ?”
“ยังไม่พอ ยังมีอีกสองสหภาพการค้า” ตาของเยลเป็นประกาย “ความจริงข้าต้องการกลืนทั้ง ‘สมาคมเกาะหิมะ’ และกลุ่มการค้าเกียร์ โชคไม่ดี มันยังยากเกินไป และนั่นทำให้การแข่งขันน่าสนใจ”
ลินลี่ย์ยืนขึ้น
“ใช่แล้ว มีแต่เรื่องยากเป็นเรื่องที่ท้าทาย” ลินลี่ย์เชิดหน้ามองฟ้า
ทวีปยูลานเป็นแค่พิภพที่อาศัย ในจักรวาลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ยังมีพิภพนับไม่ถ้วน และเหนือพิภพธรรมดาขึ้นไปยังมีสี่พิภพชั้นสูง และเจ็ดแดนมหาเทพ
เขาเองไม่มีอะไรมากไปกว่าสุดยอดของทวีปยูลาน
“เดินไปสู่จุดสูงสุดของการฝึก! แค่เรื่องนั้นก็น่าสนใจและท้าทายแล้ว” ลินลี่ย์มีรอยยิ้มที่มุมปาก
“แต่ก่อนจะทำเช่นนั้นยังมีเรื่องสำคัญที่ข้าต้องทำ” ลินลี่ย์อดหันไปมองทางทิศตะวันตกไม่ได้ที่ตั้งของเกาะศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรเจิดจรัส
ลินลี่ย์ยังจำถึงความตายของปู่เดลินได้ ยังจำถึงคำสาบานเมื่อเขาออกจากเมืองเฮสเข้าสู่เทือกเขาอสูรวิเศษได้ “ศาสนจักรเจิดจรัสจงรอก่อนเถอะ จะต้องมีวันที่ข้าทำลายพวกเจ้าและขุดรากถอนโคนพวกเจ้าให้ได้”
“ได้เวลาแล้ว” ลินลี่ย์พึมพำกับตนเอง