Chapter 4 : สามวัน
หลังจากเดินทอดน่องอยู่ริมถนนได้ซักพักโจวเฉินก็สังเกตุเห็นโรงฝึกขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณมุมสงบๆมุมหนึ่ง โรงฝึกแห่งนี้มีชื่อว่าโรงฝึกเว่ยเจียง
“จากความทรงจำของเจ้าของร่างคนเก่าดูเหมือนโลกนี้จะไม่มีพวกพลังเหนือธรรมชาติแต่ศิลปะการต่อสู้ยังมีอยู่ วิธีที่ดีที่สุดในการพัฒนาตัวเราในเวลานี้ก็คือการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้นี่แหละ”
โจวเฉินตัดสินใจเดินเข้าไปดู ยังไงซะประตูสำนักมันก็เปิดต้อนรับอยู่แล้ว
โรงฝึกเว่ยเจียงไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก พอเขาเดินเข้ามาด้านในก็เห็นว่ามีชายชราคนหนึ่งที่มีอายุราวๆหกสิบปียืนอยู่ในท่าอาชา (horse stance)
ชายชราผู้นี้สวมใส่ชุดฝึกสีขาว ท่าอาชาของเขาเองก็สมบูรณ์แบบไร้ที่ติมาก
“เจ้าหนุ่มอยากจะเรียนศิลปะการต่อสู้สินะ?”
ไม่กี่วินาทีหลังจากที่โจวเฉินเดินเข้ามาชายชราที่ยืนอยู่ในท่าอาชาก็ผ่อนกายกลับสู่ท่ายืนปกติแล้วกล่าวถามเขาขึ้นมา
“อืมม...ไม่ทราบว่าใครคือปรมาจารย์ของโรงฝึกแห่งนี้หรอครับ?”
โจวเฉินไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
“ฉันชื่อหลิวเว่ยเจียงเป็นเจ้าของและปรมาจารย์ของโรงฝึกเว่ยเจียงแห่งนี้”
รอยยิ้มเอ็นดูปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของชายชรา
“อ่า...ขอโทษที่รบกวนนะครับถ้างั้น”
โจวเฉินหันกายและเดินจากไปทันทีที่ได้ยินเพราะเขาทราบดีว่าชายชราคิดอะไรอยู่
แม้เขาจะรู้เกี่ยวกับการต่อสู้ไม่มากนักแต่ก็พอจะรู้ว่าพวกนักสู้ที่เก่งจริงๆส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกที่อายุไม่เยอะซะมากกว่า
“หนุ่มน้อยเดี๋ยวก่อน! เพียงแค่ปรายตามองฉันก็บอกได้เลยว่าเธอเป็นผู้ฝึกยุทธอัจฉริยะคนหนึ่ง! ถ้าเธอเต็มใจฉันจะสอนเธอฟรีๆหนึ่งเดือนเลย!”
บางทีอาจจะเป็นเพราะท่าทางของโจวเฉินดูเด็ดขาดไปซักหน่อยปรมาจารย์หลิวเลยพยายามกล่อมให้เขาอยู่ต่อ
“ฝึกฟรีหนึ่งเดือน?”
โจวเฉินที่เดินไปจนเกือบถึงทางออกของโรงฝึกเมื่อได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อยจากนั้นเขาจึงหันกลับไปถามชายชรา “คุณสอนอะไรผมได้บ้างล่ะ? ช่วยสาธิตให้ดูก่อนได้ไหม?”
ถ้าเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายพอจะมีฝีมือในระดับหนึ่งเขาก็คิดจะรับข้อเสนอของชายชรา ยังไงซะก็ไม่เสียเงินอยู่แล้ว
“แน่นอน”
สีหน้าของปรมาจารย์หลิวผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่ากล่อมโจวเฉินได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็เริ่มแสดงกระบวนท่าให้โจวเฉินดูและอธิบายถึงสุดยอดวิชาที่เขาคิดค้นขึ้นมาให้โจวเฉินได้ฟัง
“หลิวเว่ยเจียงผู้นี้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาแล้วทุกรูปแบบและสร้างเคล็ดวิชาหมัดเพลิงนรกนี้ขึ้นมาได้สำเร็จในช่วงบั้นปลาย ตอนนี้ฉันจะแสดงกระบวนท่า ‘แส้นรก’ ให้เธอได้ชม!”
บอสหลิวเริ่มสาธิตกระบวนท่าให้เขาดู
ร่างกายท่อนบนของชายชราบิดไปอีกฝั่งด้วยความเร็วสูงยากจะจับจังหวะ จากนั้นเขาพลันส่งเสียงกู่ร้องออกมาคราหนึ่งและยกขาขวาเตะขึ้นไปในอากาศ การเตะครั้งนี้ดูๆไปแล้วเหมือนว่าจะใช้แรงเยอะเกินไปหน่อยทำให้ร่างกายของชายชราเริ่มเสียสมดุลย์ โชคดีที่เขาประคองร่างกายเอาไว้ได้ในช่วงชี้เป็นชี้ตายและเปลี่ยนมายกขาซ้ายเตะได้สำเร็จ
โจวเฉินที่เห็นการสาธิตของอีกฝ่ายแทบจะสำลัก เขารู้แล้วว่าชายชราคนนี้ไม่ได้รู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้หรืออะไรเลยเป็นแค่ปรมาจารย์จอมปลอมผู้หนึ่งเท่านั้น
“ปรมาจารย์หลิวไม่ต้องสาธิตแล้วก็ได้ครับ ผมคิดว่าผมคงเรียนวิชาของคุณไม่ได้หรอก ลาก่อนนะครับ!”
เขาเกรงว่าชายชราจะพยายามหลอกเขาอีกหน ดังนั้นหลังจากที่กล่าวจบประโยคเขาจึงวิ่งหนีออกมาจากโรงฝึกโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
เขาวิ่งออกมาจนถึงถนนหนห่างจากโรงฝึกได้ซักระยะหนึ่งจึงหยุดฝีเท้า จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ของฟรีไม่มีอะไรดีจริงๆด้วย ถ้าเขาอยากจะฝึกฝนให้ได้ประสิทธิภาพจริงๆคงต้องมองหาพวกผู้เชี่ยวชาญของจริงคงดีกว่า
หลังจากผ่านประสบการณ์ช่วงสั้นๆในโรงฝึกมาโจวเฉินก็ไม่คิดจะเดินทอดน่องอีกต่อไป เขามุ่งหน้าตรงกลับไปยังห้องเช่าและตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการไดเอทและแผนการฝึกฝนบนอินเตอร์เน็ตรวมไปถึงเสิร์ชหาครูสอนต่อสู้ที่เหมาะสมให้กับตัวเองด้วย
แผนการไดเอทและฝึกฝนนั้นหาไม่ยากและเขาก็น่าจะสามารถทำได้อย่างง่ายดาย ยังไงก็ตามการหาครูฝึกสอนศิลปะการต่อสู้กลับยากเย็นแสนเข็ญ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าในจักรวรรดิมังกรนั้นมีโรงฝึกระดับมืออาชีพอยู่เพียงไม่กี่แห่ง ดูเหมือนว่าศิลปะการต่อสู้จะไม่ค่อยเป็นที่นิยมนักหากเทียบกับจักรวรรดิแห่งอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้นราคาค่าฝึกสอนยังแพงมากและยังใช้เวลานานอีกด้วย ไม่เหมาะกับคนแบบเขาที่จะต้องเข้าสู้ภารกิจเซอร์ไววัลในเร็ววันเป็นอย่างยิ่ง
“เราคงไม่มีทางฝึกเทคนิคการต่อสู้ได้ภายในไม่กี่วันหรอกแถมยังอาจจะมีโอกาสบาดเจ็บจากการฝึกด้วยสิ...บางทีเราน่าจะลองฝึกฝนร่างกายดูมากกว่า...”
หลังจากคิดดูแล้วโจวเฉินก็ยอมแพ้ที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ไปแล้วไปโฟกัสที่การออกกำลังกายและการคงสภาพร่างกายให้อยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุดเสียมากกว่า
สองวันต่อมาโจวเฉินก็นำเงินไปจ่ายค่าเช่าให้กับคุณนายหวังเจ้าของห้องเช่าที่มาเก็บค่าเช่าก่อนกำหนด หลังจากนั้นอีกหลายวันเขามักจะออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ พิษซากศพเองก็ถูกเปิดใช้งานอย่างสม่ำเสมอเพื่อทดสอบและฝึกฝนการใช้งาน นอกจากนี้เขายังค้นหาข้อมูลใหม่ๆภายในฟอรั่มของระบบอยู่ทุกวัน เวลาผ่านเลยไปเช่นนี้จนกระทั่งเวลาที่ต้องทำภารกิจมาถึง
[ภารกิจเซอร์ไววัลกำลังจะเริ่มต้นขึ้น โปรดเตรียมตัวให้พร้อม]
เมื่อเสียงจักรกลเย็นชาดังขึ้นมาหัวอีกครั้งโจวเฉินก็เตรียมพร้อมรออยู่ก่อนแล้ว
ในมือซ้ายของเขากระชับชะแรงด้ามหนึ่งเอาไว้แน่นส่วนในมือขวาก็เป็นปังตอขนาดใหญ่ นอกจากนี้ในกระเป๋ากางเกงของเขาก็ยังมีมีดสำรองพกเอาไว้อีกด้วย ส่วนที่ข้อมือของเขาก็ใส่นาฬิกาดิจิตอลเอาไว้เรือนนึง
เขาคิดที่จะลองทดสอบข้อมูลที่ได้มาจากฟอรั่มดูว่าสามารถนำอุปกรณ์ต่างๆเข้าไปในโลกดันเจี้ยนได้หรือเปล่าและอยากจะยืนยันด้วยว่ากระแสเวลาในโลกดันเจี้ยนกับดาวสีฟ้าแห่งนี้แตกต่างกันจริงๆ
[เริ่มการเคลื่อนย้าย...]
ไม่นานนักโจวเฉินที่สภาพจิตใจอยู่ในสภาพพร้อมที่สุดก็สังเกตุเห็นว่ารอบๆกายของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน จากนั้นไม่นานเขาก็มาโผล่อยู่ในโกดังเก็บของที่ดูไม่เป็นระเบียบนักแห่งหนึ่งและยังไม่คุ้นตาอีกด้วย
ในโกดังแห่งนี้มีลังกระดาษกระจัดกระจายอยู่ทั่วห้อง รอบๆลังกระดาษมีคนอยู่อีกเก้าคนนอกจากตัวเขา ในบรรดาเก้าคนนี้มีทั้งชายและหญิงปะปนกันไปและส่วนใหญ่ก็ยังดูมีอายุไม่มากเท่าไหร่นัก ท่าทีของคนทั้งเก้าดูสงบและเยือกเย็นราวกับไม่ใช่เซอร์ไวเวอร์หน้าใหม่
[เมืองซอมบี้]
[ระดับความยาก : ทองแดงขั้นต่ำ]
[ภารกิจ : ใช้เวลาสามวันอยู่ภายในเมืองที่เผชิญกับหายนะซอมบี้แห่งนี้]
ขณะที่โจวเฉินกับเซอร์ไวเวอร์คนอื่นๆกำลังสังเกตุลักษณะของแต่ละคนอยู่นั้นทางระบบก็ได้มอบภารกิจมาให้
“เมืองซอมบี้...สามวัน...รู้สึกว่าจะยากกว่าภารกิจทดสอบเยอะเลย...”
โจวเฉินคิดขึ้นมาภายในใจ ในเวลาเดียวกันเขาก็พบว่าในมือของเขาว่างเปล่าและมีดที่ใส่เอาไว้ในกระเป๋ากางเกงเองก็หายไปเช่นกัน ทั้งหมดทั้งตัวที่เหลืออยู่มีเพียงชุดออกกำลังกายที่สวมใส่อยู่และรองเท้าผ้าใบเพียงเท่านั้น
“อย่างที่คิดเลย...สิ่งที่เขียนเอาไว้ในฟอรั่มไม่ผิดจริงๆด้วย”
ตอนนี้เขายืนยันได้แล้วว่าสิ่งของจากดาวสีฟ้าไม่อาจนำมายังโลกดันเจี้ยนได้จริงๆ
ในเวลาที่เขากำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั่นเองชายวัยกลางคนในชุดเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้นก็เอ่ยขึ้น “ทุกๆคนทางระบบได้มอบภารกิจให้กับพะวกเราแล้ว พวกเราจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่ในเมืองที่มีซอมบี้แห่งนี้อีกสามวัน ฉันคิดว่าทุกคนน่าจะรู้แล้วว่าภารกิจคราวนี้ไม่ง่ายดาย ฉันขอเสนอให้พวกเราจับกลุ่มและช่วยกันเอาตัวรอดให้ผ่านพ้นสามวันนี้ไปให้ได้”
ชายวันกลางคนผู้นี้ดูเหมือนจะหิวแสงไม่น้อย แต่ในอีกด้านหนึ่งเขาก็ดูเหมาะที่จะเป็นผู้นำที่สุดเพราะเขาเป็นคนที่ดูมีอายุมากที่สุดในบรรดาคนทั้งสิบแล้ว
“ฉันเห็นด้วยนะ”
ชายหนุ่มร่างบางตอบรับเป็นคนแรก ชายหนุ่มผู้นี้ดูๆไปแล้วค่อนข้างขาดความมั่นใจและดูเหมือนคิดจะพึ่งใบบุญเซอร์ไวเวอร์คนอื่นๆมากกว่า
“ฉันก็เห็นด้วย...สามัคคีคือพลังอยู่แล้ว”
หญิงสาวในชุดออกกำลังกายที่น่าจะมีอายุราวยี่สิบปีเองก็เอ่ยสนับสนุน
“ฮี่ๆส่วนฉันชอบลุยเดี่ยวมากกว่าว่ะ”
ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะเยาะหยันพร้อมกับแสดงท่าทีว่าต้องการจะแยกไปเพียงลำพัง