บทที่ 14: โอสถเซียนและแขกรับเชิญทั้งสองคน
บทที่ 14: โอสถเซียนและแขกรับเชิญทั้งสองคน
ซุยเฮ็งมองไปที่แขกใหม่คนนี้ด้วยความสนใจ
อันที่จริง ตั้งแต่เป่ยฉิงซูมาถึงโลกนี้ เขาก็ได้สังเกตเห็นอีกฝ่ายแล้ว
เมื่อเทียบกับหงฟูกุ่ยและเจียงฉีฉีแล้ว ชายขาพิการคนนี้ก็ดูมีอายุไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม เขาก็ดูเป็นคนที่ใจเย็นที่สุดในหมู่พวกเขา
นอกจากนี้ เขาก็ยังแต่งตัวหรูหราและยังคงสงบเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยาก ความคิดของเขานั้นชัดเจน และเห็นได้ชัดว่าเขามีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา
บางทีเขาอาจจะได้เจอกับคนที่แตกต่างออกไปในครั้งนี้
ในขณะนี้ เป่ยฉิงซูก็กำลังจ้องมองไปที่ซุยเฮ็ง
ในฐานะที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดา เขาจึงรู้สึกว่าชายชาวนาที่อยู่เบื้องหน้าเขาค่อนข้างพิเศษ
อีกฝ่ายดูเต็มไปด้วยความมั่นใจ
สิ่งนี้แตกต่างจากชาวไร่ชาวนาคนอื่นๆ ที่เขาเคยพบโดยสิ้นเชิง
“บางทีเขาอาจจะรู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับโลกใบนี้ก็ได้” เป่ยฉิงซูคิดในใจและรู้สึกว่านั่นเป็นไปได้มาก
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงคิดเรียบเรียงคำพูดอยู่ในใจ
ไม่นาน เขาก็แสดงท่าทางไร้เดียงสาและเบิกตากว้างเพื่อมองไปที่ซุยเฮ็งแล้วถามว่า “พี่ชาย ท่านรู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน? แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เด็กอายุ 13 ปียังสามารถทำตัวน่ารักได้
นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเป่ยฉิงซูซึ่งใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยหรูหรามาตั้งแต่ยังเด็ก ใบหน้าของเขาดูอ่อนเยาว์และรูปร่างหน้าตาของเขาเองก็จัดได้ว่าหล่อเหลา ด้วยเหตุนี้เอง ภาพลักษณ์ของเขาเองจึงยังดูดียิ่งขึ้นตามไปด้วย
มันไม่มีปัญหาสำหรับเขาที่จะเป็นไอดอลรุ่นเยาว์ในโลกเก่าของซุยเฮ็ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อซุยเฮ็งเห็นการแสดงของอีกฝ่าย เขาก็หัวเราะออกมาดังๆ ในทันที เขาเดินออกมาจากสวนผักและหันไปทางวิลล่า ในเวลาเดียวกัน เขาก็กวักมือและพูดว่า “ตามข้ามาถ้าเจ้ารู้ในสิ่งที่เจ้าต้องการจะพูดแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็จากไป
เป่ยฉิงซูนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างงุนงง สีหน้าของเขาค่อยๆ มืดมนลงในขณะที่เขาคิดกับตัวเองว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ชายคนนี้คือใคร? ทำไมข้าถึงถูกพาตัวมาที่นี่?”
“หรือว่าทางราชวงศ์กำลังคิดจะเล่นงานตระกูลเป่ยของข้าอีกแล้ว? แต่ข้าไม่ใช่ข้าเมื่อสองปีก่อนอีกต่อไปแล้วนะ ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนพิการเท่านั้น แบบนั้นแล้วจุดประสงค์ในการจับข้ามาในครั้งนี้คืออะไรกัน?”
“นอกจากนี้ หากราชวงศ์ต้าโจวมีพลังที่จะสามารถเคลื่อนย้ายผู้คนได้ในพริบตาจริง งั้นพวกเขาก็ไม่น่าจะเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ล่อๆ แบบนี้สิ”
เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เป็นเวลานาน แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดเขาจึงถูกพาตัวมายังสถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้
ถ้าไม่มีเหตุผล งั้นแสดงว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุอย่างงั้นหรอ?
“หรือมันจะเป็นแค่อุบัติเหตุจริงๆ? อืม... แต่จะว่าไปชายคนนั้นเองก็มีออร่าที่ไม่ธรรมดาเลย เขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!”
เป่ยฉิงซูมองไปที่วิลล่าและคิดกับตัวเองว่า “บ้านหลังนี้มีการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร มันแตกต่างจากสิ่งปลูกสร้างในราชวงศ์โจวโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มีเจตนาร้าย และผลไม้นี้…”
เขาก้มศีรษะลงและตรวจสอบมะเขือเทศในมือ
เขากำลังถูกมันดึงดูด!
ท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็อาจจะเป็นโอกาสหนึ่งที่ทำให้เขาสามารถกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง!
เขานั่งอยู่บนรถเข็นและเป็นคนพิการมาสองปีแล้ว เขาเบื่อมันแล้ว!
“หรือข้าจะบังเอิญหลุดเข้ามาในสรวงสวรรค์และได้พบเข้ากับเซียน?” จิตใจของเป่ยฉิงซูเต็มไปด้วยความคิดมากมายในขณะที่เขามองไปที่มะเขือเทศในมืออย่างไม่สบายใจ
เขาเคยได้ยินตำนานมากมายเกี่ยวกับการหลุดเข้าสู่สรวงสวรรค์และได้รับของขวัญจากเซียน ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่เคยเชื่อมันเลย นั่นก็เพราะเขาไม่เชื่อว่ามันจะมีอาหารฟรีบนโลก
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเพียงคำอธิบายเดียวสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เป่ยฉิงซูก็หายใจเข้าลึกๆ ยกมะเขือเทศขึ้นแล้วกัดมันลง!
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนผู้ยิ่งใหญ่ คนพิการอย่างเขาก็ย่อมไม่มีทางหนีได้ เขาทำได้เพียงลองกิน “ผลไม้เซียน” นี้และดูว่ามันจะมีโอกาสอะไรรอเขาอยู่หรือไม่
ไม่นาน ความเปรี้ยวหวานก็แล่นไปทั่วปากของเขาและทำให้จิตใจของเขารู้สึกสดชื่นขึ้นมา
เป่ยฉิงซูรู้สึกทึ่ง เขาไม่เคยกินผลไม้ที่สดและอร่อยขนาดนี้มาก่อน
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็รู้สึกได้ถึงออร่าอันเย็นสบายและสดชื่นที่ไหลออกมาจากจุดตันเถียนของเขา ในชั่วพริบตา พลังปราณก็ไหลผ่านเส้นลมปราณในร่างกายส่วนบนของเขา ในขณะเดียวกัน มันก็เริ่มซ่อมแซมเส้นลมปราณที่แตกสลายของเขาในทันที
ทันทีหลังจากนั้น ออร่านี้ก็ได้พุ่งลงไปที่ขาของเขา จากนั้นความรู้สึกชาและคันก็ปรากฎขึ้นที่ขาของเขา
เขารู้สึกประหลาดใจ
เนื่องจากความโชคร้ายเมื่อสองปีก่อน กระดูกสะบ้าของเขาจึงได้ถูกควักออกมา และขาของเขาก็ได้สูญเสียความรู้สึกทั้งหมดไปราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่จริง
อย่างไรก็ดี ในตอนนี้ เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงขาของเขาแล้วจริงๆ?!
ครู่ต่อมา เป่ยฉิงซูก็รู้สึกว่าอาการชาและคันที่ขาของเขาค่อยๆ หายไป และมันก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกหนักแน่นและแข็งแกร่ง
ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถยืนขึ้นได้แล้ว!
“ขา… ขาของข้ามันหายดีแล้ว? มัน… มันหายเป็นปกติแล้วอย่างนั้นหรอ?” ดวงตาของเป่ยฉิงซูเบิกกว้างขึ้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ เขาสงสัยว่าเขากำลังฝันอยู่
เพื่อเห็นแก่ขาของเขา พ่อของเขาจึงได้ไปขอร้องผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ถึงอย่างั้นพวกเขาทั้งหมดก็ยังทำอะไรไม่ถูก
ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่ใช่เพราะขาของเขาที่พิการเท่านั้น แต่แม้กระทั่งกระดูกสะบ้าตรงหัวเข่าของเขาก็ยังถูกควักออกมาอีกด้วย!
แบบนี้แล้วกระดูกสะบ้าทั้งสองข้างของเขาจะงอกกลับคืนมาได้อย่างไร?
ถึงอย่างงั้น ตอนนี้ขาของเขาก็ดูเหมือนจะหายดีแล้ว!
เป่ยฉิงซูยกมือที่สั่นเทาขึ้นและค่อยๆ กดลงบนที่วางแขนของรถเข็น เขากดลงอย่างระมัดระวังและค่อยๆ ออกแรงดันขาของเขาขึ้น!
เขากำลังยืนขึ้น!
เขากำลังยืนขึ้นแล้วจริงๆ!
เป่ยฉิงซูร้องไห้หลั่งน้ำตาแห่งความปิติ เขามองดูมะเขือเทศที่ยังไม่สุกเต็มที่ในมือ “นี่คือโอสถเซียนในตำนาน ผลไม้สีแดงเพลิงที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้อย่างงั้นหรอ?”
มีเพียงโอสถเซียนในตำนานเท่านั้นที่สามารถให้ผลลัพธ์เช่นนี้ได้
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็นึกถึงฉากที่เขาเพิ่งเห็นและรีบหันไปมองที่สวนผัก
เขาเห็นต้นไม้เขียวขจีและผลไม้สีแดงลูกโตกำลังห้อยอยู่บนกิ่งไม้ พวกมันทั้งหมดคือ “ผลไม้สีแดงเพลิง” ที่ทำให้เขาสามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง
และเพียงแค่กวาดตามองผ่านๆ เขาก็สามารถเห็นได้ว่ายังมีพวกมันอีกมากกว่าสามร้อยลูก!
ยิ่งไปกว่านั้น ในสวนผักนั้นก็ยังไม่เพียงแต่จะมีผลไม้สีแดงเพลิงเท่านั้น แต่มันยังมีผลไม้อีกมากมายที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากนี้ พวกมันทั้งหมดก็น่าจะเป็นโอสถเซียนที่ไม่ธรรมดาด้วย
“โอ้พระเจ้า มีโอสถเซียนมากมายขนาดนี้เชียวหรอ!” เป่ยฉิงซูตกใจมาก “แม้จะเอาสำนักเซียนทั้งหมดบนโลกมารวมกันก็ยังไม่มีโอสถและสมุนไพรวิญญาณมากมายขนาดนี้เลย!”
ในขณะนี้ เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนๆ นั้นถึงหัวเราะ
บุคคลที่สามารถครอบครองโอสถเซียนได้มากมายขนาดนี้จะต้องเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่เหนือธรรมชาติอย่างแน่นอน!
คนใหญ่คนโตจากสำนักเซียน, ผู้นำของตระกูลขุนนางและขุนนางล้วนด้อยกว่าชายคนนี้มาก
“นี่ข้าได้พบกับเซียนเข้าโดยบังเอิญอย่างงั้นหรอ?” เป่ยฉิงซูรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เขาอยากจะรีบไปหาซุยเฮ็งในทันที อย่างไรก็ตาม เมื่อเท้าของเขาขยับ เขาก็รู้สึกว่ารูปลักษณ์ในปัจจุบันของเขานั้นดูไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงหยุดเดินและจัดเสื้อผ้ากับหน้าตาทรงผมให้เรียบร้อย จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพและโค้งคำนับ พร้อมกับตะโกนว่า “เป่ยฉิงซู ศิษย์ของตระกูลเป่ยแห่งต้าโจวขอเข้าเฝ้าท่านเซียนผู้ยิ่งใหญ่!”
ในขณะนี้ ดวงตาของซุยเฮ็งก็กำลังปิดอยู่และสีหน้าของเขาก็สงบนิ่งราวกับว่าเขาไม่ได้ยินเสียงของเป่ยฉิงซู อย่างไรก็ดี จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่าง
ในวินาทีเดียวกัน ระลอกคลื่นบนท้องฟ้าที่เพิ่งจะสงบลงจู่ๆ ก็กลับมาขุ่นมัวและตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง ต่อจากนั้น ร่างเล็กก็ปรากฏขึ้นและพุ่งทะลุเมฆลงมา
“มีสองคนมาพร้อมๆ กันเลยอย่างงั้นหรอ?” ซุยเฮ็งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย