ตอนที่ 359 - สมาชิกใหม่
ตอนแรก เย่ว์หยางคิดว่ารับภารกิจในสมาคมนักรบที่ชั้นหกหอทงเทียนน่าจะง่ายกว่า คิดไม่ถึงว่าเรื่องกลับแตกต่างจากที่คาดไว้สิ้นเชิง
ในสมาคมนักรบหอทงเทียนชั้นหก คุณสมบัติที่จะรับภารกิจไปทำนั้นเข้มงวดมาก
นอกจากความจริงว่าระดับกลุ่มทีมที่รับงานจะต้องได้สมาชิกร่วมกลุ่มที่มีคุณสมบัติพอและการจัดสรรหน้าที่ยังต้องเคร่งครัด ถ้าหัวหน้ากลุ่มไม่มีคุณสมบัติพอหรือถ้าไม่มีกลุ่มร่วมงานตามจำนวนที่กำหนดไว้ เจ้าหน้าที่ผู้มอบหมายภารกิจอาจปฏิเสธการขอรับภารกิจก็ได้ ยิ่งกว่านั้น ในสมาคมนักรบ มีภารกิจที่คนๆ เดียวทำได้น้อยมาก เพราะแม้แต่นักสู้ปราณก่อกำเนิดก็ยังเชื่อว่าในหอทงเทียนชั้นที่หกไม่มีผู้ใดสามารถรับประกันความปลอดภัยในชีวิตได้ อย่าว่าแต่รับภารกิจไปทำเพียงคนเดียวเลย
“เจ้าแน่ใจจริงๆ นะว่าเจ้ามีพลังพอจะจบภารกิจนี้ได้?” เจ้าหน้าที่ผู้มอบหมายภารกิจซึ่งเป็นนักรบวัยกลางคนถามย้ำคำเดิมกับเย่ว์หยางสามครั้ง
“ถ้าเป็นภารกิจเก็บดอกจอกดารานะ” เย่ว์หยางพูดไม่ออก นี่เขาจำเป็นต้องกังวลกับการเก็บดอกไม้จำนวนหนึ่งด้วยหรือ? พวกเขาไม่ได้แม้แต่จะไปโค่นเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวหัวหน้าสักหน่อย ทำไมเขาถึงไม่ถามคนอื่น ถามแต่เขาเพียงคนเดียว? อาจเป็นไปได้ว่าเขาดูอ่อนแอและเปราะบางจริงๆกระมัง? หรือว่าเป็นผลจากทักษะลวงของเขา?
“หนุ่มน้อย! เจ้าต้องให้ความสำคัญกับท่าทีตนเอง แม้ว่าป่าหยกเขียวจะเป็นพื้นที่สีเขียวก็ตาม แต่อสูรในป่านั้น 30% เป็นอสูรทอง และเกือบ 10% เป็นจ้าวอสูรทอง ที่สำคัญที่สุด บางครั้งมังกรเขียวหรือมังกรฟ้าที่แข็งแกร่งก็ปรากฏตัวที่นั่น ดูเหมือนว่ามันชอบพักอยู่ที่นั่น ในหลายร้อยปีมานี้ มีนักรบอย่างน้อย 500 คนต้องมาตายเพราะรับภารกิจนี้ เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดไหม?” นักรบวัยกลางคนไม่ค่อยพอใจกับความคิดของเย่ว์หยาง เขารู้สึกว่าถ้าเขาปล่อยให้เย่ว์หยางรับภารกิจก็เท่ากับว่าส่งเขาไปตาย
“ก็ได้, ข้าจะระวังตัวก็แล้วกัน” เย่ว์หยางไม่ต้องการจะโต้แย้ง เขารีบทำเป็นว่าเข้าใจและซาบซึ้งกับความปรารถนาดีของนักรบวัยกลางคน เพื่อที่ว่าเขาจะได้หยุดเทศนาไม่ปาฐกถาธรรมแก่เขาต่อไป
“ข้าจะให้เจ้าหยิบยืมสิ่งนี้ชั่วคราว” นักรบวัยกลางคนมอบศิลาเทเลพอร์ตให้เย่ว์หยางและเตือนเขาเป็นครั้งสุดท้าย “พ่อหนุ่ม! ถ้าเจ้าตกอยู่ในอันตราย ให้บีบมันทันที เข้าใจไหม? บางครั้งการถอยหนีก่อนก็ไม่ใช่เรื่องอับอายขายหน้า ตรงกันข้าม การเอาชีวิตไปทิ้งเป็นเรื่องโง่จริงๆ”
“…..” เย่ว์หยางไม่เคยคิดว่าลุงนักรบผู้พล่ามจนน้ำลายแตกฟองผู้นี้จะห่วงใยชีวิตของเขาจริงๆ
แน่นอนว่า สำหรับเจ้าหน้าที่ประจำสมาคมนักรบ นักรบผู้มาถึงที่นี่ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากที่ใดก็ตาม มักเป็นพวกชั้นสูงในหมู่คนชั้นสูง
ถ้าพวกเขาต้องตายตั้งแต่เริ่มต้น นับเป็นความสูญเสียใหญ่ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกรุ่นผู้เยาว์ พวกเขายังมีศักยภาพที่จะพัฒนาได้อีกมาก พวกเขาอาจกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้ในอนาคต ถ้าพวกเขาต้องมาตายในระยะแรกของการเพิ่มพูนศักยภาพ คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ
หลังจากรับภารกิจแล้ว บริวารของเขาก็นำกลุ่มรับภารกิจเข้าสู่ห้องเทเลพอร์ต
ก่อนที่พวกเขาจะเทเลพอร์ตเข้าป่าหยกเขียวคราม ชายชราผู้อยู่ที่ประตูเทเลพอร์ตเตือนพวกเขา “ทุกท่าน, พวกท่านมีเวลาสิบวันเพื่อจบภารกิจ ถ้าพวกท่านไม่อาจกลับมาทันในเวลาที่กำหนดได้ จะถือว่าพวกท่านทำภารกิจล้มเหลว ตั้งแต่วันที่สิบเอ็ดเป็นต้นไป เราจะส่งหน่วยช่วยเหลือออกติดตาม ถ้าพวกท่านตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พวกท่านจะต้องรักษาความมุ่งมั่นเอาไว้ สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านโชคดี”
“ขอบคุณ ความปรารถนาดีของท่านผู้อาวุโส” นอกจากเย่ว์หยางแล้ว ทุกคนรวมทั้งพวกคิวบัวร์และทอเรนตอบรับเขาด้วยความนับถือ
แสงทองสว่างวาบขึ้น
เย่ว์หยางพบว่าเขากำลังเทเลพอร์ตเข้าไปในพื้นที่พิเศษ
ทั้งฟ้าและดินเป็นสีเขียวไปทั้งหมด ท้องฟ้าเป็นสีหยกเขียว ขณะที่พื้นดินเป็นสีเขียวเข้ม ไม้ยืนต้นที่นี่สูงเกือบร้อยเมตร เขียวชอุ่มและลำต้นหนาเต็มไปด้วยพลัง เทียบกับในทวีปมังกรทะยานแล้ว เห็นได้ชัดว่าป่าที่นี่สะอาดและสดใสกว่า มีความชุ่มชื้นสดชื่นเหมือนกับเพิ่งผ่านการล้างน้ำมาใหม่ๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่นี่ก็คือสถานที่เรียกว่าป่าหยกเขียวคราม
แรงโน้มถ่วงหกเท่าพลันเพิ่มขึ้นเป็นแปดเท่า
ทอเรน, คิวบัวร์และเอลฟ์ทองทั้งสามปรับตัวให้เข้ากับแรงโน้มถ่วงที่เพิ่มขึ้นอย่างสงบ เมื่อพวกเขาเทเลพอร์ตเข้ามาถึง
ผู้แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มพวกเขาก็คือทอเรนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มและเอลฟ์หนุ่ม ปรับตัวได้ไวที่สุด เมื่อเย่ว์หยางเห็นพวกเขาลืมตา เขารีบแกล้งทำเป็นไม่ชินกับแรงโน้มถ่วง เพื่อไม่ให้พวกเขาจับผิดได้ว่าเขาหลอกลวง คนที่ปรับตัวได้ช้าที่สุดเป็นเอลฟ์เด็กสาว นางใช้เวลาห้านาทีก่อนจะปรับตัวได้ในที่สุด
ทันทีที่นางปรับตัวได้ นางหยอกล้อเย่ว์หยางมนุษย์อ่อนแอ ด้วยน้ำเสียงใสดุจระฆัง “ในอดีต ข้ามักจะเป็นคนที่ช้าที่สุด ตอนนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว ในที่สุดก็มีคนขโมยตำแหน่งที่ทรงคุณค่าไปจากข้า เจ้าต้องรักษามันไว้ให้ดีนะ เพราะข้าขอมอบตำแหน่งนั้นให้เจ้า! แล้ว..เจ้าชื่ออะไร? คุยกันมาตั้งนานแล้ว ข้ายังไม่รู้จักชื่อของเจ้าเลย”
“นี่ไม่ใช่ความผิดของข้าสักหน่อย, เพราะเจ้าไม่เคยถาม” เย่ว์หยางทำเป็นอ้างหลักการแล้วบอกชื่อเสียงที่โด่งดังว่า ไตตัน ด้วยความภูมิใจ
“นั่น…ข้าคิดว่าเจ้าไม่เหมาะกับชื่อไตตันเลย” สาวทอเรนชอบตบไหล่เย่ว์หยางเป็นประจำ
“ถ้าข้าไม่ชื่อไตตัน อย่างนั้นจะเป็นอะไรได้?” เย่ว์หยางไม่ยอมให้นางตบไหล่อีกครั้ง
“สเกลตัน (เจ้ากระดูก) น่าจะเหมาะกับเจ้ามากกว่า” สาวทอเรนเกือบจะเรียกเย่ว์หยางว่ากระดูกเดินได้เสียแล้ว
“….” ทันใดนั้นเย่ว์หยางแกล้งเหลือกตาเมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาช่างรังแกคนจริงๆ
การเข้าป่าหยกเขียวคราม ทุกคนแสดงสีหน้าจริงจังและระมัดระวัง เหมือนกับว่าพวกเขากำลังจะไปต่อสู้นองเลือด มีแต่เพียงเย่ว์หยางเท่านั้นที่ไม่กลัว เพราะความไม่รู้ของเขา เขาทำเหมือนกับว่านี่เป็นการท่องเที่ยววันหยุด แน่นอน ว่ากันตามความแข็งแกร่ง สำหรับเย่ว์หยางผู้ทรงพลังสามารถฆ่านักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 8 ได้ การมาเที่ยวป่าหยกเขียวครามความจริงเป็นเรื่องสนุกสนานสำหรับเขา
ไม่ใช่ว่าจะมีอสูรที่ไม่แข็งแกร่งในป่าหยกเขียวคราม ตรงกันข้ามมีอยู่มากเสียด้วย
อย่างไรก็ตาม ที่ป่านี้ได้รับรหัสเป็นพื้นที่สีเขียวเป็นเพราะอสูรที่นี่จะไม่โจมตีทำร้ายผู้บุกรุกก่อน ส่วนใหญ่พวกมันจะขู่คำรามเพื่อขับไล่ผู้บุกรุกให้หนีไป
หมาป่ากลุ่มใหญ่และงูเหลือมป่าเกินกว่าสิบตัวผ่านตัวเย่ว์หยางไป แต่พวกมันไม่ได้สนใจกลุ่มของเย่ว์หยางแต่อย่างใด พวกมันแค่ผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดเป็นอสูรทองระดับ 6 และที่สูงกว่านั้นก็มี
นอกจากนี้ยังมีเหยี่ยวมังกรเหล็กและเหยี่ยวหัวทองที่ทรงพลังมาก เย่ว์หยางมองเห็นอินทรีสายฟ้าหลังม่วงจ้าวอสูรทองถึงสองตัว
นอกจากนี้ยังมีรอยเท้าแมมมอธทองแถวหนึ่งเป็นการขู่และเตือนผู้บุรุกไม่ให้เข้ามา พวกเขาเดินทางมาหกชั่วโมงโดยยังไม่พบศัตรูใดๆเลย กลุ่มเสี่ยงที่ประกอบด้วยทอเรน, คิวบัวร์, เอลฟ์ทองและมนุษย์ที่มีเย่ว์หยางรวมอยู่ด้วย ไม่ได้เสี่ยงตกเป็นเหยื่อของสัตว์อสูร
ในที่สุดพวกเขาก็เดินไปตามที่ลุ่มค่อนข้างรกร้างอย่างยากลำบาก
ขณะที่พวกเขากำลังหาที่พัก ทันใดนั้นเย่ว์หยางรู้สึกถึงบางอย่างที่แปลกๆ..
“ไม่นะ, นี่ไม่ถูกต้องเลย หัวใจข้าเต้นรัวขึ้น อาจมีอันตรายอยู่ที่นี่ เราน่าจะออกไป” สาวเอลฟ์ผู้อ่อนโยนไม่ได้พูดมากแต่ลุกขึ้นทันที นางยื่นมือเรียวยาวออกมาคว้าไม้เท้าไว้แน่นขณะที่สำรวจดูรอบๆ แม้ว่านางจะมองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ แต่นางเตือนสหายพวกนางทันที “ข้ายังไม่เห็นศัตรูใดๆ แต่ว่าที่ให้ความรู้สึกที่ไม่ดีเลย”
“สัมผัสความรู้สึกของแอนนาเฉียบคมที่สุด นางบอกว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย เราก็ควรจากไปทันที” สามีผู้หล่อเหลาของนางเอลฟ์ลุกขึ้นยืนคอยปกป้องอยู่ด้านหน้าภรรยาและน้องสาวทันที
คิวบัวร์ทั้งสี่และทอเรนอีกสองคนมีปฏิกิริยารวดเร็วมาก ทันใดนั้นพวกเขาคว้าอาวุธเตรียมป้องกัน โดยขนาบเอลฟ์ทั้งสามไว้ตรงกลาง
มีเพียงเย่ว์หยางที่ไม่ได้ขยับตามไป
ในท้องฟ้ามีเสียงกู่ร้อง
มังกรบินจำนวนเกินกว่าร้อยบินตรงมาทางด้านพวกเขาบดบังจนไม่เห็นดวงอาทิตย์
เย่ว์หยางแทบจะน้ำลายไหลเมื่อเขาเห็นเช่นนี้ มังกรบินมีจำนวนมาก ถ้าเขาฆ่ามังกรบินเหล่านี้ทั้งหมด เขาจะได้ผลึกเวทมากมายขนาดไหน?
“ซ่อนตัวหลังต้นไม้สิ, เจ้าโง่, อยากตายหรือไง?” สาวทอเรนที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้รีบวิ่งมาฉุดดึงเย่ว์หยางเข้ามาข้างใน นางจ้องเย่ว์หยางอย่างขุ่นเคืองพลางกระซิบว่า “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้าควรติดตามข้างหลังข้า? เจ้าโง่จริงๆ หรือเปล่า? อย่าพูดดังไป มังกรบินมีประสาทรับรู้เฉียบแหลม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมังกรบินจุดเขียวนี้ ประสาทตาและหูของพวกมันยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
“เจ้าไม่ได้มาสู้กับสัตว์ประหลาดนี่เลยแม้แต่น้อยหรือ?” เย่ว์หยางผิดหวังเล็กน้อย ถ้าไม่สู้กับสัตว์ประหลาดแล้วเขาจะยกระดับได้อย่างไร? เขาจะหาผลึกเวทมาได้อย่างไร?
“หยุดพูดเลยนะ!” สาวเทอเรนจ้องเขาและรีบบอกเขาให้หยุดพูด
ฝูงมังกรบินที่น่าเกรงขามบินผ่านท้องฟ้า
เย่ว์หยางหัวใจแตกเป็นเสี่ยง ตั๊กแตนมัจจุราชของเขาต้องได้ผลึกเวทเพื่อยกระดับ ตอนนี้นับเป็นโอกาสที่ดีแล้ว ถ้าเขารู้เร็วกว่านี้ เขาจะไม่ยอมร่วมกลุ่มแน่ เขาจะมาที่นี่ตามลำพัง แน่นอนว่า เขาไม่สามารถรับภารกิจป่าหยกเขียวครามได้ และเขาจะไม่มีทางมาถึงที่นี่ได้เลยเช่นกัน
แม้ว่ามังกรบินจะผ่านไปชั่วขณะแล้ว แต่ความรู้สึกแปลกๆ ที่เย่ว์หยางรู้สึกก็ยังคงรุนแรงอยู่
เขารู้ว่าไม่ได้มาจากมังกรบินฝูงนั้น มีความรู้สึกที่กล้าแข็งติดตามเขาอยู่ ยิ่งกว่านั้น การจำแนกตำแหน่งของมันก็เกินความสามารถของประสาทหูและตาของเย่ว์หยาง แอนนาสาวเอลฟ์ไม่สามารถรู้สึกถึงความรู้สึกนี้ได้เลยแม้แต่น้อย ทอเรนหัวหน้ากลุ่ม แม้ว่าเขาจะยังคงเงียบ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ดีจึงล่วงหน้ากลุ่มไปตรวจข้างหน้าด้วยตนเอง
น่าเสียดายที่ทอเรนหัวหน้ากลุ่มแม้จะไปสำรวจข้างหน้า ก็ไม่มีผลตอบรับอันใด เจ้าสิ่งที่แข็งแกร่งนี้ยังคงเป็นเหมือนเงาที่เก็บซ่อนตัวพ้นจากหูและตาของเย่ว์หยาง
มันคืออะไรกันแน่?
มันกำลังติดตามกลุ่มของเขามาอย่างกระชั้นชิดมาก มันต้องการอะไรกันแน่?
มีความสามารถซ่อนตัวและเก็บหางเป็นอย่างดี นั่นก็พิสูจน์ว่าเจ้าตัวนี้อย่างน้อยต้องเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์…
เย่ว์หยางไม่สามารถค้นหามันพบ เขาได้แต่จับตาระวังต่อไป
อีกอย่าง เย่ว์หยางก็ได้ผลเก็บเกี่ยวมากอยู่แล้ว แม้ว่าที่เก็บดอกจอกดาวยังคงอยู่ห่างออกไป แต่ตามรายทางนั้น มีดอกไม้และสมุนไพรหลากหลายชนิด เย่ว์หยางเคยเห็นจากสารานุกรมยาและความรู้ตกทอดจากมารดาสหายผู้น่าสงสาร พอเห็นว่าเป็นของดี เย่ว์หยางไม่ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ เขาเก็บรวบรวมอย่างต่อเนื่อง ตรงกันข้ามกับทอเรน, พวกคิวบัวร์และพวกเอลฟ์ในกลุ่มไม่ได้ใส่ใจกับการกระทำของเย่ว์หยางเลย เหมือนกับว่าพวกเขาไม่รู้ว่านี่คือสมบัติที่ล้ำค่า
“สมุนไพรในป่ามีอย่างจำกัด เราควรคิดให้ดีเมื่อเลือกเก็บขึ้นมา เพื่อป้องการความเสียหายและฉีกขาด” เอลฟ์ทองหนุ่มแนะนำเย่ว์หยางไม่ให้เก็บมากเกินไป
“แต่ป่าหยกเขียวครามก็มีมากนี่..” เย่ว์หยางพูดไม่ออก จากในแผนที่ ป่าหยกเขียวครามอย่างน้อยก็ใหญ่โตราวๆ ครึ่งหนึ่งของอาณาจักรต้าเซี่ยได้ ถ้าเขาเลือกเก็บสมุนไพรบ้างจะเป็นไรไป? แม้ว่าคนเป็นแสนจะมาตัดไม้ทำลายป่านานเป็นเดือน ก็ยังมีผลกระทบน้อยนิดต่อป่าหยกเขียวคราม
“นั่นก็ถูก, แต่ป่าหยกเขียวครามเป็นป่าขนาดกลางและทรัพยาการของมันมีอย่างจำกัด พวกเราทุกคนเป็นคนนอก ที่สำคัญที่สุด เราไม่ใช่เจ้าของสถานที่นี้ สิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่ที่นี่ พวกมันมีวัฏจักรชีวิตของพวกมันเอง เราไม่อาจทำเกินเลยไป มิฉะนั้นเราอาจทำลายสภาพแวดล้อมจริงๆ เจ้าต้องเข้าใจนะว่า มีนักผจญภัยอย่างพวกเรามากมายมายังป่านี้ไม่รู้จักหมดสิ้น ถ้าทุกคนต้องการบางอย่างจากธรรมชาติโดยไม่ให้อะไรกลับคืนไปเลย ป่าหยกเขียวครามจะไม่มีเวลาได้ฟื้นตัว ถ้ามันไม่สามารถฟื้นตัวได้ ลูกหลานของเราก็จะไม่อาจเพลิดเพลินกับผลตอบแทนของป่าหยกเขียวครามได้” หนุ่มเอลฟ์ทองยกเหตุผลขึ้นอ้างทำให้เย่ว์หยางเหม่อมองอย่างว่างเปล่าอยู่นาน
ไม่ว่าจะเป็นเมืองจีนหรือทวีปมังกรทะยาน เย่ว์หยางไม่เคยพบผู้ใดเลยที่เป็นนักดูแลและปกป้องธรรมชาติของพวกเขา
รัฐบาลในเมืองจีนก็เอาแต่พูดเรื่องปกป้องสภาพสิ่งแวดล้อม แต่พวกเขาไม่เคยทำอะไรเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ทันทีวัตถุดิบอย่างเช่นขนสัตว์ สมุนไพร น้ำมันและแร่ธาตุอื่นๆ ปรากฏขึ้น ทุกคนจะอ้างสิทธิ์ครอบครองทรัพยากรเหมือนกับคนบ้า และแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แม้ว่าจะเป็นการทำอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมหรือก่อให้เกิดการเสียสมดุลธรรมชาติจนเกิดภัยพิบัติ แต่ผู้คนก็ยังแย่งชิงกันไม่หยุดหย่อน
สรุปก็คือ ต่อหน้าเงินตรา สภาพแวดล้อมไม่มีความหมายอะไร ตราบใดที่พวกเขาทำเงินได้ ไม่มีผู้ใดสนใจต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่มีผู้ใดสนใจผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ
แม้ว่าพวกเขาจะเห็นชัดว่าพวกเขาจะต้องลงเอยด้วยการทำลายสภาพแวดล้อม ทำลายบ้านของพวกเขาเอง ทำลายชีวิตตนเอง พวกเขาก็ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
เย่ว์หยางไม่รู้ว่าหนุ่มเอลฟ์สุดหล่อมีความตระหนักรู้แบบไหนกันแน่ แต่เมื่อมองดูทอเรน, คิวบัวร์แล้ว พวกเขาล้วนมองดูเย่ว์หยางด้วยอารมณ์ประมาณว่า “เจ้านักทำลายธรรมชาติ” เย่ว์หยางไม่อาจทำอะไรได้ คงได้แต่อึ้งและทึ่ง เป็นไปได้หรือว่าพวกมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่โลภเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์อื่นกระนั้นหรือ? พวกเขามักจะไม่พอใจหลังจากแย่งชิงทรัพยากรมาได้มากมาย แต่ก็ยังมีความโลภมากอยากได้ยิ่งขึ้นจนกว่าจะตายอย่างนั้นหรือ?
“ก็ได้, ข้าจะไม่เก็บต่อไปแล้ว” เย่ว์หยางไม่อาจทนต่อสายตาจับจ้องที่พวกเขาทำกับเขา จริงๆ แล้วเขาควรจะเก็บดอกไม้และสมุนภัยหรือ?
“มนุษย์อย่างเจ้าก็สามารถข่มความต้องการของตนเองได้ หายากจริงๆ” เอลฟ์หนุ่มรูปงามดูเหมือนจะประหลาดใจท่าทีตอบโต้ของเย่ว์หยาง เขาแสดงความยกย่องเย่ว์หยางขณะที่เขาเหยียดมือ “ข้าชื่อลีน พฤติกรรมของเจ้าเปลี่ยนมุมมองข้าที่มีต่อมนุษย์ได้จริงๆ”
“ข้าเรียกว่าเป่าเอ๋อ ข้าเป็นขมังธนูที่ฝีมือยอดเยี่ยมโดดเด่นมากเลยนะ ยิงร้อยครั้ง เข้าเป้าร้อยครา” เด็กสาวเอลฟ์พยายามเน้นย้ำฝีมือยิงธนูของนาง
“แม้ว่าข้าจะไม่ค่อยชอบเจ้าเท่าใดนัก แต่คงจะเป็นเรื่องเสียมารยาทถ้าข้าไม่แนะนำตนเอง” สาวทอเรนหงุดหงิดเมื่อเย่ว์หยางหลบไม่ให้นางตบหลังเขา แต่นางก็ยังพึมพำชื่อของนางออกไป “เรียกข้าว่าฟ่านหลุนเถี่ย มีความหมายว่าแข็งแรงไม่ขี้โรค เป็นชื่อที่ดีจริงๆ นะนี่”
“….” เย่ว์หยางไม่คิดว่าชื่อฟ่านหลุนเถี่ยจะเป็นชื่อที่ดีสำหรับสตรี แม้ว่านางจะเป็นทอเรนก็ตาม
“เลโอ” ทอเรนหัวหน้ากลุ่มพูดห้วนๆ
“ฟูดลา, ฟูดเจียว, ฟูดลี่, ฟูดมาน” ชื่อของสาวคิวบัวร์ฟังดูแปลกประหลาด แต่ก็เป็นภาษาของชาวคิวบัวร์ เมื่อทั้งสี่ประกาศชื่อพร้อมกัน ก็จะมีความหมายว่าอวบและขาว อย่างไรก็ตาม เมื่อเย่ว์หยางสังเกตดูพี่น้องคิวบัวร์ทั้งสี่ เขาพบว่าพวกนางจะคล้ำกว่าคนทั่วไป ยังห่างจากคำว่าขาว แต่สำหรับคำว่าอวบนั้นก็คงเป็นเรื่องจริง
“ถ้าเจ้ายังไม่รู้นะ ข้าชื่อแอนนา เป็นภรรยาของลีน” ในที่สุดสาวเอลฟ์ที่เป็นผู้ใหญ่ก็ยิ้ม “แม้ว่าเจ้าจะเป็นมนุษย์ เจ้ากลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นน้องชายที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ของข้าเลย เจ้าแตกต่างจากพวกมนุษย์ที่เจ้าเล่ห์และมากไปด้วยแผนการ”
“…..” เย่ว์หยางพูดไม่ออก อาจเป็นได้ว่านางทำแค่ต้องการยกย่องเขา หรือ? ทำไมนางต้องพูดว่าเขายังไม่เป็นผู้ใหญ่เล่า? ช่างทำร้ายความภูมิใจของเขาเสียเหลือเกิน
“แม้ว่าความสามารถของเจ้าจะยังไม่ถึงระดับศักยภาพสูงสุด เราก็ยินดีให้เจ้าร่วมกับกลุ่มของเรา หลังจากอ๋ายกุ่ยที่น่ารำคาญกลับบ้านเกิดไปเป็นช่างตีเหล็ก เขาปฏิเสธจะกลับมารับภารกิจร่วมกับเรา เราไม่สามารถหาใครสักคนที่เราจะร่วมงานได้เลย เด็กน้อย เจ้าโชคดีมากเลยนะ ถ้าเจ้ากำลังวางแผนหลอกลวง ข้าจะโยนเจ้าไปในที่ลุ่มปล่อยให้เป็นอาหารของมังกรบิน” สาวทอเรนคว้าไหล่เย่ว์หยางไม่ยอมให้เขาหลบเลี่ยงและตบไหล่เขาอีกป้าบ จากนั้นนางก็หัวเราะอย่างสบายอารมณ์
เกี่ยวกับคำพูดและพฤติกรรมที่รุนแรงของนาง ทำเอาเย่ว์หยางพูดไม่ออกเลยจริงๆ
โชคดีที่เผ่าทอเรนไม่แต่งงานกับพวกมนุษย์ มิฉะนั้นถ้าฟ่านหลุนเถี่ยนางนี้ได้สามีเป็นมนุษย์ เจ้าคนโชคร้ายคงถูกตีจนตายเพราะอาการบาดเจ็บภายในเป็นแน่
เด็กสาวเอลฟ์อกแบนถามเย่ว์หยางอย่างซุกซนเกี่ยวกับพวกมนุษย์ และพยายามจะสร้างความอึดอัดแก่เขา
แน่นอนว่าเป็นเพราะนางสงสัย
ตัวอย่างเช่น “มนุษย์ต่อสู้กันทุกวัน?”
หรือตัวอย่างอื่น “ข้าได้ยินว่าพวกมนุษย์เอาลูกไปแลกอาหารเมื่อพวกเขาหิว เรื่องนั้นจริงหรือเปล่า?”
คำถามทั้งหมดนี้ สร้างความลำบากใจให้เย่ว์หยางที่จะคำตอบ
นี่เป็นเพราะคำถามทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงและความโหดร้ายของมนุษย์ยังมีแย่ยิ่งกว่าขายลูกแลกอาหารหรือมักก่อสงครามเป็นร้อยๆ เท่า
“เจ้ามีพลังส่วนตัวทางด้านไหน?” เอลฟ์หนุ่มรูปงามพยายามช่วยให้เย่ว์หยางหายอึดอัดโดยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นอกจากนี้เขายังคงต้องการทำความเข้าใจสมาชิกกลุ่มคนใหม่นี้มีความรู้ทักษะใดบ้าง
“ความแข็งแกร่งเฉพาะตัวน่ะหรือ? ก็คงเป็นเรื่องสร้างหุ่นกลนะ” เย่ว์หยางเรียกจิ้งจอกเงินที่เขาพยายามอย่างดีสร้างไว้ให้เย่ว์ซวง น้องสาวของเขาไว้ก่อนนั้น นั่นค่อนข้างจะอธิบายได้ดีถึงพลังความสามารถของเขา เมื่อจิ้งจอกเงินปรากฏตัว สาวเอลฟ์เป่าเอ๋อก็ชอบมันเช่นกัน ประกายระยิบระยับปรากฏอยู่ในดวงตาของนาง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะนางได้รับการอบรมมาดี นางคงขโมยจิ้งจอกเงินที่น่ารักของเย่ว์หยางไปแล้ว
จิ้งจอกเงินไม่ได้มีความปัญญาความฉลาด มันเป็นทักษะที่ถูกตั้งค่าเอาไว้
เย่ว์หยางสร้างมาเพื่อเอาไว้ปกป้องเย่ว์ซวงน้องสาวของเขา
เพราะเขากังวลว่าศัตรูจะคุกคามความปลอดภัยของเย่ว์ซวง เมื่อสร้างจิ้งจอกขึ้น เขาสร้างให้มันมีระบบตรวจจับศัตรูที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
ทันทีที่มันปรากฏ นัยน์ตาของมันเป็นประกายสีฟ้าทันที หูของมันตั้งชันและมันคำรามจนเห็นฟันซี่คม
สถานะต่อสู้แสดงให้เห็นว่ามันพบศัตรูแข็งแกร่งอยู่ใกล้ๆ
*************