บทที่ 12: เหมือนความฝัน นักเดินทางที่ผ่านไปจากไปอย่างรวดเร็ว
บทที่ 12: เหมือนความฝัน นักเดินทางที่ผ่านไปจากไปอย่างรวดเร็ว
จริงๆ แล้วการทำให้กระบี่บินนั้นก็ไม่ใช่เทคนิคที่ลึกล้ำอะไรมาก
หลังจากที่ซุยเฮ็งทำความเข้าใจเทคนิคนี้เรียบร้อยแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาแค่ต้องใช้เพียงพลังปราณของเขาเพื่อควบคุมกระบี่ให้เคลื่อนที่ไปตามที่เขาต้องการ
เมื่อคิดดูอีกที ปกติแล้วผู้ฝึกตนเขาเตรียมกระบี่เอาไว้สองเล่มรึเปล่านะ? แบบว่าเล่มหนึ่งเอาไว้โจมตีและอีกเล่มเอาไว้บิน?
อย่างไรก็ตาม เทคนิคการปล่อยให้กระบี่แสงหมุนรอบตัวเขาและพาเขาขึ้นไปบนท้องฟ้านั้นก็เป็นเพียงเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่คล้ายกับการลอยอยู่ในอากาศ
แม้ว่าเขาจะบินด้วยความเร็วสูงสุด แต่เขาก็ยังไม่สามารถไปถึงความเร็วเสียงได้
ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่ได้เร็วมากขนาดนั้น
และหากเขาต้องการจะโบยบินไปกับใครสักคน เขาก็จำเป็นจะต้องควบคุมพลังปราณและกระบี่แสงของเขาให้ได้อย่างสมบูรณ์ และเพื่อการนั้น มันก็มีเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นกลางขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถทำได้
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่จู่ๆ ซุยเฮ็งก็ชวนเจียงฉีฉีขึ้นบิน
ในด้านหนึ่ง เขาก็สามารถใช้โอกาสนี้ในการลองของได้
แต่ในทางกลับกัน เขาก็ยังสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อมอบประสบการณ์และสร้างแรงจูงใจให้กับเจียงฉีฉีได้อีกด้วย
เช่นเดียวกัน สิ่งนี้ยังสร้างแรงจูงใจให้เขาอยากไปถึงขอบเขตก่อเกิดรากฐานเร็วๆ อีกด้วย
ความคาดหวังนี้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ฝึกตน
และเนื่องจากเขาได้มอบวิชาให้กับเจียงฉีฉีไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงคาดหวังจะให้เธอแข็งแกร่งขึ้นและประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน
เมื่อดูจากผลลัพธ์แล้ว มันก็ค่อนข้างดีทีเดียว
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของเจียงฉีฉีที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ซุยเฮ็งก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน เจ้าสามารถทำได้ ตราบใดที่เจ้าฝึกฝนศาสตร์กระบี่เซียนอรุณอย่างจริงจัง สักวันหนึ่งเจ้าก็จะสามารถโผบิดไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ได้อย่างแน่นอน”
“เยี่ยมไปเลย! ขอบคุณพี่ใหญ่เซียน!” เจียงฉีฉีโห่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
ความตื่นเต้นของเธอทำให้เธอเผลอตัวอ้าแขนจะไปกอดซุยเฮ็ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอได้สติ เธอก็รีบหดแขนกลับมาและแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซุยเฮ็งเห็นทั้งหมดนี้ แต่เขาก็ทำเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับมัน “ไปกันเถอะ ได้เวลากลับไปฝึกแล้ว ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้ว”
“อ่า” เจียงฉีฉีตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็พยักหน้าอย่างช้าๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงเล็กน้อย และเธอก็ถอนหายใจ “มันเป็นวันสุดท้ายแล้วสินะ”
…
นี่เป็นคืนสุดท้ายของเจียงฉีฉีที่อยู่ที่นี่
เธอไม่ได้นอน แต่เธอกลับนั่งขดตัวอยู่ที่ปลายเตียงเหมือนคืนแรกที่เธอมาที่นี่ ถึงกระนั้น เธอก็ไม่ได้นั่งหดหัวและร้องไห้
ในตอนนี้ เธอกำลังเงยหน้าขึ้นมองแสงจันทร์ที่ส่องแสงสว่างไสวอยู่นอกหน้าต่าง ความทรงจำในช่วง 12 วันที่ผ่านมาแล่นผ่านจิตใจของเธอไปราวกับฉากหนัง
ทั้งความไม่สบายใจและความกลัวในตอนแรก ไปจนถึงความสงบสุขและความคาดหวังที่ตามมา และไปจนถึงความไม่เต็มใจที่จะต้องกลับไป...
“ราวกับฝันไปเลย”
ดวงตาคู่โตของเจียงฉีฉีสะท้อนแสงจันทร์ที่สดใสในขณะที่เสียงของซุยเฮ็งดังขึ้นในใจของเธอ มุมปากของเธอโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัวในขณะที่เธอกล่าวกระซิบออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“พี่ใหญ่เซียน ท่านคือผู้มอบชีวิตใหม่ให้กับข้า ข้าจะตั้งใจฝึกวิชากระบี่เซียนที่ท่านสอนข้าอย่างอุตสาหะและจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อส่งต่อมันไปให้ถึงทุกๆ คน และในสักวันหนึ่ง ทุกคนบนโลกก็จะได้รับรู้ถึงความทรงพลังของศาสตร์กระบี่เซียนอรุณ!”
“นอกจากนี้ ข้าก็จะทำให้ความฝันและคำสัญญาที่ข้าว่าไว้เป็นจริงด้วย ข้าจะเดินทางไปทั่วโลก ท่องไปในยุทธภพ ช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ควรเปลี่ยน!”
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”
ในท้ายที่สุด เธอก็กำหมัดแน่นด้วยสายตาแน่วแน่
…
ในวันสุดท้าย ซุยเฮ็งไม่ได้สั่งสอนเจียงฉีฉีอีกต่อไป
แต่เขากลับพาเธอไปเดินเล่นรอบๆ พื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้นเพราะนี่เป็นคำขอของเจียงฉีฉี
เธออยากจะจดจำสถานที่ในฝันแห่งนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ
และก่อนที่พวกเขาจะจากไป จู่ๆ ซุยเฮ็งก็ยกมือขึ้นและกดลงที่ระหว่างคิ้วของเจียงฉีฉีเบาๆ
“พี่ใหญ่เซียน ท่านกำลังทำอะไรน่ะ?” เจียงฉีฉีถามอย่างอยากรู้อยากเห็นในขณะที่เธอสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วของซุยเฮ็งที่กดลงบนใบหน้าของเธอ
“นี่คือของขวัญสำหรับเจ้า” ซุยเฮ็งยิ้ม
พลังปราณของเขาไหลผ่านช่องว่างระหว่างคิ้วของเจียงฉีฉีและไหลเข้าสู่ทะเลจิตของเธอ มันกลั่นตัวเป็นแสงหลากสี
แสงเหล่านี้เป็นเหมือนข้อมูลที่ลอยอยู่ในจิตใจของเจียงฉีฉี
“ว้าว นี่มันน่าทึ่งมากจริงๆ!” ดวงตาเจียงฉีฉีเบิกกว้างขึ้นในทันใด “นี่คืออะไรกัน?”
เธอสัมผัสได้ถึงแสงหลากสีในจิตใจของเธอ เธอรู้สึกเพียงว่ามันงดงามและมีสีสันที่ดูพิเศษ
“นี่คือใจความ” ซุยเฮ็งถอนนิ้วออกและอธิบาย “แสงนี้คือความเข้าใจและความหมายที่แท้จริงของศาสตร์กระบี่เซียนอรุณ ข้าได้ใช้พลังของข้าเพื่อกลั่นกรองข้อมูลเหล่านี้ให้กลายเป็นแสงและใส่ลงไปในจิตใจของเจ้า”
“หากเจ้าพบกับความยากลำบากใดๆ ในการฝึกมัน เจ้าก็สามารถตั้งสมาธิไปที่แสงหลากสีนี้และหาคำตอบจากมันได้”
พูดง่ายๆ มันก็คือคู่มือฝึก
“จริงหรอ! ขอบคุณพี่ใหญ่เซียน!” เจียงฉีฉีรู้สึกยินดีและตื่นเต้น เธอสัมผัสได้ถึงออร่าของซุยเฮ็งจากแสงหลากสีนี้
ในขณะนี้ แสงสีทองจางก็ส่องออกมาจากร่างของเด็กหญิงตัวเล็ก ในเวลาเดียวกัน พลังงานบางอย่างก็พยายามจะดูดเธอออกไปราวกับว่ามันต้องการจะพาเธอไปยังสถานที่อันไกลโพ้น
การแสดงออกของเจียงฉีฉีดูสับสนเล็กน้อย ราวกับว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ เธอรีบถามออกไปว่า “พี่ใหญ่เซียน แสงหลากสีนี้จะคงอยู่ตลอดไปไหม?”
“หลังจากที่เจ้าเข้าใจศาสตร์กระบี่เซียนอรุณอย่างสมบูรณ์แล้ว แสงเหล่านี้ก็จะหายไปเอง” ซุยเฮ็งยิ้มและพูดว่า “ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า เจ้าก็จะต้องเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็วแน่นอน”
เขาคิดว่าเจียงฉีฉีกลัวว่าแสงเหล่านี้จะหายไปก่อนที่เธอจะทันได้ทำความเข้าใจมันเสร็จ
เจียงฉีฉีเงียบลง
ในขณะนี้ ร่างกายของเธอก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงสีทองและกำลังจะหายไปแล้ว
ทันใดนั้นเอง เด็กหญิงตัวน้อยก็อ้าแขนออกและตะโกนว่า “พี่ใหญ่เซียน ขอข้ากอดหน่อยได้…”
ก่อนที่เธอจะทันได้พูดจบประโยค เธอก็หายตัวไปจากโลกนี้ไปแล้ว
ซุยเฮ็งยืนเฝ้าดูแสงสีทองจางหายไป
อันที่จริง ภายใต้แสงสีทองอันสว่างไสวนี้ เขาก็ไม่สามารถมองเห็นร่างของเจียงฉีฉีได้ด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับการเดินเข้าไปหาเธอ?
แม้แต่ประโยคสุดท้ายเขาก็ยังไม่ได้ยิน เสียงของเธอนั้นทั้งอู้อี้และไม่ชัดเจน
อย่างไรก็ดี ท้ายที่สุดแล้ว เจียงฉีฉีก็ได้จากไปแล้ว
หลังจากส่งแขกคนที่สองกลับออกไปแล้ว พื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้นก็กลับสู่ความเงียบสงบดังเดิม
และความเหงาเช่นเดียวกับเมื่อ 90 ปีที่ผ่านมา... ก็กลับมาอีกครั้ง
ซุยเฮ็งไม่ขยับ เขายืนอยู่ตรงนั้นทั้งวัน
เมื่อตกกลางคืน เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาและเดินกลับไปที่วิลล่า
เช้าวันรุ่งขึ้น
คนรับใช้สุดแกร่งก็ยังคงปฏิบัติตามคำสั่งของซุยเฮ็ง มันทำบะหมี่สองถ้วยแล้ววางทิ้งไว้บนโต๊ะอาหาร
หลังจากที่ซุยเฮ็งตื่นขึ้น เขาก็เดินลงมาที่ห้องอาหาร อย่างไรก็ตาม เขาเห็นบะหมี่ทั้งสองชาม เขาก็ผงะเล็กน้อย และหลังจากนั้น เขาก็ส่ายหัวเบาๆ และพูดกับคนรับใช้สุดแกร่งว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป แกเตรียมแค่ชามเดียวก็พอ”
“เพราะจากนี้ไป... ฉันก็คงจะต้องอยู่คนเดียวอีกตามเคย”