บทที่ 11: ริ้วแสงกระบี่
บทที่ 11: ริ้วแสงกระบี่
ความสามารถในการฝึกตนของเจียงฉีฉีนั้นดีมาก
ภายใต้การแนะนำอย่างใกล้ชิดของซุยเฮ็ง เธอก็สามารถทำความเข้าใจพื้นฐานของศาสตร์กระบี่เซียนอรุณได้อย่างรวดเร็ว
เขาคาดว่าภายในเวลาไม่ถึงสิบปี เธอก็น่าจะสามารถไปถึงขอบเขตสกัดปราณขั้นสี่ได้
แม้ว่าความเร็วในการฝึกตนนี้จะไม่ได้ถือว่าเร็วมากนักเมื่อเทียบกับตัวของซุยเฮ็งเอง
แต่เธอก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย
ตราบใดที่เธอสามารถเติบโตได้โดยไม่พบกับปัญหาใดๆ อนาคตของเธอก็จะไร้ขีดจำกัด
“มีตำนานเคยเล่าว่าอีกาตัวหนึ่งได้บังเอิญรับเด็กหญิงตัวเล็กๆ มาดูแล และหลังจากผ่านไปหลายปี เธอก็ได้กลายมาเป็นจักรพรรดินีแห่งเก้าอาณาจักร”
ขณะที่ซุยเฮ็งกำลังแก้ไขท่าทางของเจียงฉีฉี เขาก็คิดกับตัวเองว่า “ดูเหมือนว่าการผูกมิตรกับพวกคนที่หลุดมายังพื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้นจะให้ผลดีมากกว่าผลเสียนะ”
บางที เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็อาจจะกลายมาเป็นกำลังสำคัญและสามารถกลับมาช่วยเหลือเขาได้ในสักวันหนึ่ง
ซุยเฮ็งตกอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง
“พี่ใหญ่เซียน ท่าทางของข้ามีอะไรผิดปกติไปหรือเปล่า?” เจียงฉีฉีสังเกตเห็นความผิดปกติของซุยเฮ็งและถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เธอตระหนักดีถึงคุณค่าของโอกาสนี้ ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงฝึกฝนทุกการเคลื่อนไหวอย่างจริงจังและพิถีพิถันเป็นอย่างยิ่ง เธอกลัวว่าความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยจะไปทำให้ซุยเฮ็งไม่พอใจ
“ไม่ เจ้าทำได้ดีมาก” ซุยเฮ็งยิ้มในขณะที่เขาตบไหล่เจียงฉีฉี จากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตั้งใจฝึกให้ดี บางทีเจ้าอาจจะสามารถกลายมาเป็นจักรพรรดินีแห่งเก้าอาณาจักรได้ในสักวันหนึ่ง”
“ห้ะ?” ความสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจียงฉีฉี
“ข้าก็แค่พูดไปเรื่อย” ซุยเฮ็งหัวเราะและกลับมาจริงจัง “เอาล่ะ ฝึกต่อไปเถอะ ถ้ามีอะไรผิดเดี๋ยวข้าจะบอกเอง”
หลังจากนั้น เวลาก็ได้ล่วงเลยไป
มันเป็นวันที่หกแล้วนับตั้งแต่เจียงฉีฉีมาถึงที่นี่
และอันที่จริง ในขณะที่สอนวิชากระบี่ให้กับเจียงฉีฉี ซุยเฮ็งเองก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน
หลังจากสร้างศาสตร์กระบี่เซียนอรุณขึ้นมา เขาก็ได้รับความเข้าใจมากมายเกี่ยวกับวิธีการใช้พลังปราณของเขา เขาได้สรุปขั้นตอนและวิธีการการทำให้พลังปราณของเขาสามารถไหลเวียนได้ดีขึ้น
และในที่สุด ในวันก่อนที่เจียงฉีฉีจะจากไป เขาก็ประสบความสำเร็จในการสร้างรากฐานเต๋า สิ่งนี้ทำให้จิตวิญญาณและพลังปราณของเขาสั่นสะท้าน
เช้านี้ เจียงฉีฉีตื่นแต่เช้าตามปกติและมาถึงห้องทำสมาธิเพื่อฝึกแต่เช้า อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่พบซุยเฮ็ง
เธอรู้สึกสับสน
ในเวลานี้เองที่เธอได้ยินเสียงลมดังมาจากนอกห้องทำสมาธิ มันฟังดูเหมือนกับเสียงลมพายุพัดโหมกระหน่ำ
“เกิดอะไรขึ้น? นี่คือสวรรค์ที่พี่ใหญ่เซียนพักอาศัยอยู่ มันจะไปมีสภาพอากาศเช่นนี้ได้ยังไงกัน?”
เจียงฉีฉีรู้สึกสับสนเล็กน้อย สัญชาตญาณของเธอเริ่มบ่งบอกเธอถึงความผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงเดินออกไปเปิดหน้าต่างเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เธอเห็นก็ทำให้เธอต้องตกตะลึง
ในช่วงเวลาที่หน้าต่างถูกเปิดออก แสงที่สว่างจ้าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ก็ได้ส่องเข้ามาจากภายนอก มันส่องเข้ามาในดวงตาของเจียงฉีฉี
แสงสีทองนี้เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงตะวันบนท้องฟ้า อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ร้อนระอุ แต่มันให้ความรู้สึกที่อ่อนโยนยิ่งกว่าแสงจันทร์ในยามค่ำคืน
หลักการของแข็งและอ่อนได้ถูกควบรวมผสานกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว
เธอได้ยินเสียงลมที่ดังชัด แต่เธอก็เห็นว่าต้นไม้ข้างนอกนั่นยังคงนิ่งไม่ไหวติง ผิวน้ำบนทะเลสาบด้านข้างเองก็ยังคงสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
การเคลื่อนไหวและความสงบถูกหลอมรวมเข้าไว้ด้วยกันอย่างน่าประหลาด
เจียงฉีฉีตกตะลึงกับภาพที่เห็น เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหาสาเหตุของเหตุการณ์ประหลาดนี่โดยไม่รู้ตัว
ข้างบนนั้นมีชายคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมอันสง่างามและมงกุฏหยกบนศีรษะกำลังลอยอยู่
มันคือซุยเฮ็ง!
ออร่าสีเขียวสดใสเปล่งประกายระยิบระยับทั่วร่างของเขา ชั้นเมฆหลากสีเองก็กระจายตัวออกไปพร้อมกับแสงกระบี่บรรยากาศโดยรอบทำให้มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังลอยอยู่บนสวรรค์
เจียงฉีฉีมองดูเหตุการณ์ประหลาดทั้งหมดนี้ด้วยท่าทางสับสนมึนงง สายตาของเธอจดจ้องไปยังวิถีกระบี่ที่เวียนว่ายร่ายรำไปมารอบตัวซุยเฮ็ง
ปรากฏการณ์ของแสงหลากสีที่ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าได้ทิ้งความประทับใจที่ยากจะลืมเลือนเอาไว้ในหัวใจของเธอ
สิ่งนี้ทำให้เธอได้รับความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับศาสตร์กระบี่เซียนอรุณ!
หลังจากนั้นประมาณสิบนาที ในที่สุดปรากฏการณ์ประหลาดก็เริ่มจบลง
แสงกระบี่หลากสีรอบตัวซุยเฮ็งค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรที่ดังขึ้นในวินาทีสุดท้าย
ร่างของซุยเฮ็งที่ดูเหมือนกับดวงตะวันขนาดเล็กค่อยๆ หดแสงลง
เขาได้ทะลวงสำเร็จแล้ว!
ขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นกลาง!
หากขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นต้นสามารถกล่าวได้ว่าเป็นการหลอมรวมพลังปราณเพื่อให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายผ่านรากฐานเต๋า
ขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นกลางก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากรากฐานเต๋าที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วในการแผ่พลังออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านของพลังปราณและพลังวิญญาณ
ในตอนนี้ ซุยเฮ็งก็รู้สึกว่าถ้าเขาต้องเผชิญหน้ากับตัวเขาในอดีต เขาก็จะไม่จำเป็นต้องทำการเคลื่อนไหวใดๆ ด้วยซ้ำ แค่เพียงความคิดเดียว เขาก็สามารถสร้างแรงกดดันทางจิตวิญญาณที่ทรงพลังจนทำให้อีกฝ่ายสามารถเป็นลมหมดสติไปได้ในทันที
การฝึกตนก็เป็นเช่นนั้น แม้ว่าจะเป็นเพียงการบุกทะลวงไปสู่ขั้นกลางจากขั้นต้น แต่มันก็ยังมีความแตกต่างในการปรับปรุงในเชิงคุณภาพ
สิ่งนี้ทำให้ซุยเฮ็งตั้งตารอความมหัศจรรย์ของขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นสุดท้ายมากยิ่งขึ้น
ไม่นาน ซุยเฮ็งก็สัมผัสได้ถึงการจ้องมองของเจียงฉีฉี และเขาก็เก็บออร่าของเขาและควบคุมแสงกระบี่ให้สลายหายไป
ในเวลาเดียวกัน เจียงฉีฉีก็ตื่นขึ้นจากภวังค์ เมื่อเธอเห็นซุยเฮ็งกำลังบินลงมา เธอก็อยากจะโค้งคำนับในทันที อย่างไรก็ตาม เธอก็สัมผัสได้ว่ามันมีพลังลึกลับที่อ่อนโยนกำลังรั้งเธอไว้ มันป้องกันไม่ให้เธอก้มหัวลง
“เจ้าอยากบินไหม” ซุยเฮ็งยิ้ม
เขาสังเกตเห็นความตื่นเต้นและความอิจฉาในดวงจาของเจียงฉีฉี
การบินบนท้องฟ้าเป็นความฝันของทุกคนอย่างแน่นอน
“แน่นอน!” เจียงฉีฉีพยักหน้าในทันทีและกล่าวอย่างมีความสุขว่า “พี่ใหญ่เซียน ท่านจะพาข้าขึ้นไปหรอ?”
“แน่นอน ข้าจะพาเจ้าไปสัมผัสความรู้สึกของการบินเอง” ซุยเฮ็งยิ้มและโบกมือ
ทันใดนั้นเอง ออร่าส่วนหนึ่งก็ได้แยกออกมาจากเขา มันพุ่งเข้าไปห่อหุ้มร่างของเจียงฉีฉีและพาเธอบินออกมาจากทางหน้าต่าง
“อ้า!” เจียงฉีฉีอุทาน
ในเวลานี้เธอก็ทั้งมีความสุขและหวาดกลัว ใบหน้าของเธอแดงก่ำเนื่องด้วยความตื่นเต้นและเสียงของเธอก็สั่น “ข้ากำลังบิน ข้ากำลังบิน!”
ซุยเฮ็งพาเจียงฉีฉีขึ้นมาบนกระบี่ของเขาและบินขึ้นไปที่ความสูงมากกว่าหนึ่งพันเมตร เมื่อมองลงมา เธอก็รู้สึกราวกับเป็นเซียนที่กำลังมองลงมายังโลกมนุษย์
นี่เป็นความรู้สึกที่เด็กหญิงตัวน้อยไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เธอตื่นเต้นมากจนต้องเอามือกุมหน้าอกไว้ เธอสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง
“พี่ใหญ่เซียน ในอนาคตข้าจะบินแบบนี้เองได้ไหม?” เจียงฉีฉีมองไปที่ซุยเฮ็งด้วยความคาดหวัง