ตอนที่ 342 วิเคราะห์ของน้องเจ็ด (1)
“เป็นยังไงบ้าง?” จางหมิงเฮ่อถามทันที จินตภาพมีค่าต่อเขาเป็นจำนวนเงินมหาศาลอาจขายกลุ่มอำนาจใหญ่อื่นๆ ได้เขาเห็นด้วยตาตนเองก็ยังตกใจทันที แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องการวิเคราะห์ไม่มีใครเทียบกับน้องเจ็ดได้
หน้าของน้องเจ็ดเคร่งเครียดจริงจัง “นั่นเป็นกลุ่มพลังที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งเลยทีเดียว!”
“ไม่เอาน่าข้ารู้แล้วว่าพวกเขาแข็งแกร่ง!” จางหมิงเฮ่อหงุดหงิดกับคำตอบของเขา
น้องเจ็ดเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีที่สุดกับทุกคน เขามาจากพื้นฐานที่ต่ำต้อยและหมกมุ่นกับการค้นคว้า เขาไม่มีความสนใจในเรื่องอำนาจหรือการต่อสู้และเลือกเดินเส้นทางผู้คงแก่เรียน ไม่มีใครรุกรานคนประเภทนี้ ไม่ว่าใครจะมีอำนาจในอนาคตคณะผู้อาวุโสสูงสุดของสมาพันธ์ชาวยุทธจะต้องมีที่ให้เขาแน่นอน
สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทุกคนเมื่อตอนที่ยังอายุน้อยบริสุทธิ์และเรียบง่ายมาก แต่หลังจากอายุสิบสองปี ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
เย่เฉาเกอเองไม่มีความสนใจเรื่องอำนาจ แต่ตระกูลเย่ที่อยู่เบื้องหลังเขาต้องการให้เขาเพิ่มพูนอำนาจ แม้ตระกูลเย่จะมีเย่จิ่วผู้แสดงบทบาทในรุ่นของเขา เขาก็เป็นได้เพียงผู้อาวุโสระดับกลาง แต่รากฐานของสมาพันธ์ชาวยุทธลึกซึ้งและไม่อาจดูแคลนได้
“จิ่งหาวมีความก้าวหน้ามากมายและนั่นก็ไม่แปลก” น้องเจ็ดพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผู้อาวุโสตระกูลผู้เห็นส่วนดีในตัวเขาว่าย่อมไม่ไร้เหตุผลพรสวรรค์ของเขาดี และมีอารมณ์หนักแน่น และเหตุผลที่ระดับของเขาไม่สูงเป็นเพราะเขาเลือกเส้นทางรู้แจ้งเองเส้นทางนั้นอันตรายมาก แต่เมื่อสำเร็จก็ไม่มีอะไรเทียบกับเขาได้ ดูเหมือนตอนนี้เขาแตะอยู่ที่ธรณีประตูและมีคุณสมบัติร่วมกับเราได้ เขาพ่ายแพ้พี่หกก็เพียงเพราะเขาเพิ่งรู้แจ้งสำเร็จยอดวิชาแต่เนื่องจากเขาไม่ตาย เขาจะก้าวหน้าต่อไปแน่นอน”
“จิ่งหาวเป็นคนดี แต่อาจารย์ของเขาอ่อนแอไปนิด” จางหมิงเฮ่อผิดหวังอาจารย์ของจิ่งหาว “ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ของเขาอ่อนข้อมาตั้งแต่แรก ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลุ่มดาววาฬจะมีค่าสักเท่าใดกัน? แต่พอเขาถอนตัวเย่จิ่วก็ยื่นมือเข้ามาแทรก เพราะจิ่งหาวทำเช่นนี้ไม่เหมาะจริงๆเย่จิ่วจะไม่ยอมปล่อยเรื่องที่เหลือแน่นอน”
น้องเจ็ดไม่ชอบต่อสู้ ดังนั้นเขาไม่ตัดสิน และตอบ “นั่นน่าเสียดาย”
“ไม่มีอะไรน่าเสียดาย” จางหมิงเฮ่อตอบ “ถ้าไม่อย่างนั้นเขาแค่รอบรรลุขอบเขตเซียนจากนั้นค่อยกลับมา ไม่ต้องพูดถึงเย่จิ่วแม้แต่ตระกูลเย่ก็สามารถปฏิเสธเขาได้ ช่างเถอะ, พูดต่อไป”
“สำหรับทั้งสี่คนอาโมรี่, หานปิงหนิง, เหลียงชิวและซือหม่าเซียงซาน” น้องเจ็ดพูดอย่างง่ายๆ“ศักยภาพของอาโมรี่และหานปิงหนิงสูงที่สุด เหลียงชิวและซือหม่าเซียงซานสามารถไปถึงระดับผู้อาวุโสสำนักได้”
จางหมิงเฮ่ออ้าปากค้าง เขาชะงัก มีความชั้นความแตกต่างของกลุ่มสำนักย่อยในสมาพันธ์ชาวยุทธแต่เมื่อเข้าไปในนั้น ก็อาจมีความแตกต่างยิ่งใหญ่ระหว่างพวกเขาและนักสู้ธรรมดา เมื่อเร็วๆ นี้เขาได้ร่วมงานกับตระกูลและเขาเข้าใจอย่างชัดเจนสำหรับตระกูลที่ได้รับที่นั่งในสมาพันธ์นอกจากจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากระดับบนแล้วพวกเขาจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนระดับล่างด้วย
ก็เหมือนกับระบบรากของต้นไม้
ในตระกูลสำหรับศิษย์อายุเยาว์ผู้มีศักยภาพเข้าร่วมในระดับผู้อาวุโสสำนัก ทั้งหมดจะได้รับการบำรุงดูแล และสำหรับศักยภาพของอาโมรี่และหานปิงหนิงยังสูงมากกว่านั้นนั่นหมายความว่าพวกเขาก็เป็นผู้อาวุโสระดับกลางได้ และสำหรับตระกูลใดตระกูลหนึ่ง นั่นนับได้ว่าเป็นแกนอำนาจหลักได้แล้ว
แต่แน่นอนว่า นั่นเป็นแค่เพียงศักยภาพ มักจะมีความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนต่อศักยภาพ
น่าเสียดาย ถ้าเพียงแต่เขาสามารถใช้พวกเขาได้
“เป้าหมายที่สำคัญมากกว่าก็คือหลิงซิ่ว, อาเฮ่อและถังเทียน” สีหน้าของน้องเจ็ดเคร่งเครียดมากขึ้น แต่ตาของเขามีประกายแวววาว
จางหมิงเฮ่อค่อยเรียกความรู้สึกกลับมา “พวกเขาทั้งสามคนคงแข็งแกร่งทรงพลังใช่ไหม?”
“แข็งแกร่งทรงพลังมาก!” น้องเจ็ดอดชมเชยไม่ได้ “พรสวรรค์ของพวกเขาไม่ด้อยกว่าพวกเราเลย”
“เจ้าแน่ใจหรือ?” จางหมิงเฮ่อตะลึง “ถ้าเจ้าบอกว่าถังเทียน ข้าคงจะเชื่อแต่หลิงซิ่วกับอาเฮ่อด้วยอย่างนั้นหรือ?”
น้องเจ็ดลูบจมูก “วิชาหอกของหลิงซิ่วดูเหมือนวิชาหอกของกลุ่มดาวแกะครั้งโบราณ เขาอาจเป็นทายาทของนักสู้พาหนะน้ำแข็งเงินก็เป็นได้”
จางหมิงเฮ่อตะลึง จากนั้นหัวเราะ “อย่างนั้นได้มีเรื่องสนุกแน่ หน่วยพาหนะน้ำแข็งเงินเป็นศัตรูตลอดกาลของกลุ่มดาวแกะในตอนนี้ จะมีการต่อสู้เพื่อมรดกกลุ่มดาวแกะหรือนี่? เราควรส่งข้อมูลให้กลุ่มดาวแกะดีหรือไม่? ผู้ที่จะต้องรับจัดการเรื่องนี้ก็คือตระกูลฉี และเมื่อเราไม่สามารถจัดการก็อำนวยความสะดวกให้ฉีซานเลย”
น้องเจ็ดหมั่นหยวนไม่สนใจจางหมิงเฮ่อเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไร ฉีซานก็คือพี่สามของพวกเขา
“สามารถได้รับมรดกพาหนะน้ำแข็งเงิน เขาไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน” จางหมิงเฮ่อพึมพำกับตนเอง เขากำหนดระดับมาตรฐานของหลิงซิ่วไว้เท่าเทียมเขาในใจ
ไม่ว่าจะเป็นมรดกหรือสมบัติ ระดับยิ่งสูงความต้องการของนักสู้ก็สูงตาม พรสวรรค์, สภาพจิตใจทั้งหมดนี้มิอาจขาดหาย
ประวัติศาสตร์ของกลุ่มดาวแกะถูกมองว่าคือประวัติศาสตร์ของพาหนะน้ำแข็งเงินความรุ่งเรืองของกลุ่มดาวแกะก็คือความรุ่งเรืองของพาหนะน้ำแข็งเงิน หอกดาราแห่งกลุ่มดาวแกะเป็นเอกภายใต้ดวงดาวไม่ใช่แค่เรื่องคุยโตแน่ๆ
ถ้าหลิงซิ่วสามารถปลดปล่อยพลังหอกดาราแห่งกลุ่มดาวแกะได้จนถึงระดับสูงสุด เขาจะมีคุณสมบัติก้าวขึ้นเป็นนักสู้ผู้แข็งแกร่งที่สุดของรุ่นได้แน่นอน
มรดกของสิบของกลุ่มดาวระนาบสุริยุปราคาไม่ใช่ของสวะทั่วไปแน่นอน
แน่นอนว่าถ้าพรสวรรค์และสภาพจิตใจของหลิงซิ่วไม่ดีพอ อย่างนั้นต่อให้เขาตายก็คงไม่มีใครยุ่งด้วย
“อาเฮ่อคือหลานของราชินี” น้องเจ็ดถอนหายใจ “พรสวรรค์เขานับว่าโดดเด่นมากและเขาควรจะได้ฝึกฝนวิชากระบี่กระเรียนฟ้าแห่งสำนักกระเรียน”
“สำนักกระเรียน?” จางหมิงเฮ่อคำรามเย้ยหยัน “สถานที่ชั้นต่ำก็อย่างนั้นๆถ้าเขากลับไปยังกลุ่มดาวคนธนู อย่างนั้นเขาอาจจะถูกมองว่าเป็นศัตรูน่ากลัวก็ได้”
น้องเจ็ดชำเลืองมองเขาและกล่าว “สำนักกระเรียนไม่อ่อนแออย่างที่เจ้าคิด ในห้องอัจฉริยะ แถวที่ 122ตู้ที่เก้าตรงแถวที่เจ็ด เจ้าสามารถหาอ่านบันทึกได้ ในนั้นมีบันทึกที่ผู้อาวุโสเถียนเซี่ยในสมาพันธ์ฯได้จดบันทึกไว้ เมื่อประมาณ 800 ปีมาแล้วกล่าวกันว่าเขาและปรมาจารย์กระเรียนต่อสู้กัน”
“เถียนเซี่ย?”จางหมิงเฮ่อฉลาดและมีหน้าตาหล่อเหลาแสดงท่าทางครุ่นคิด “ดูเหมือนจะคุ้นๆ อยู่นะ”
แม้ในประวัติศาสตร์ของสมาพันธ์ชาวยุทธ มีผู้อาวุโสสำนักนับไม่ถ้วน เขาไม่สามารถจดจำได้หมดเป็นเรื่องธรรมดา
“ผู้อาวุโสเถียนเซี่ยคือยอดฝีมือฝ่ามือพลังหยางและเป็นผู้อาวุโสอันดับเก้า” น้องเจ็ดรู้ความรู้นี้ทั้งหมด เหมือนมีความรู้อยู่ในมือเขา “เขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนตอนอายุหกสิบสอง”
“ขอบเขตเซียน” หน้าของจางหมิงเฮ่อดูเคร่งเครียด
ในทุกรุ่น ทุกคนที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตชั้นเซียนก็คือสุดยอดฝีมือ นักสู้ชั้นเซียนเป็นความใฝ่ฝันของคนเหล่านี้ทุกคน แต่เส้นทางจะอันตรายมากพวกเขาทุกคนอาจจะฉลาดพรั่งพร้อมไปด้วยพรสวรรค์หรือมีทรัพยากรที่คนอื่นไม่อาจมี แต่จำนวนคนที่เข้าสู่ขอบเขตเซียนได้สำเร็จมีน้อยมาก ไม่มีใครสามารถแน่ใจได้ว่า พวกเขาจะเข้าสู่ระดับเซียนได้
ยอดฝีมือในขอบเขตชั้นเซียนทุกคนสมควรได้รับการยกย่องนับถือ
“ในชีวิตของเขา เขาปะทะฝีมือกับปรมาจารย์กระเรียนถึงสามครั้งและไม่สามารถเอาชนะได้”
จางหมิงเฮ่อไม่มีคำตอบบันทึกที่หนักแน่นเช่นนั้นน่ากลัวมาก จางหมิงเฮ่อปรับเปลี่ยนมุมมองของเขาและมองสำนักกระเรียนตามความเป็นจริง ใครก็ตามที่สามารถพัฒนาและสร้างกลุ่มดาวของตนเองได้นับเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ต่อให้เป็นสี่สิบสองกลุ่มดาวขอบฟ้าใต้ก็ตามซึ่งถูกมองว่าเป็นสถานที่ตกต่ำในสายตาคนอื่น ผู้บุกเบิกกลุ่มดาวเป็นยอดฝีมือในยุคของพวกเขา
แม้ว่าจางหมิงเฮ่อจะไม่รู้มากเท่าน้องเจ็ดของเขาในเรื่องประวัติศาสตร์ของสมาพันธ์ แต่เขารู้ว่าสมาพันธ์ชาวยุทธไม่ได้แข็งแกร่งอยู่เสมอ และบางครั้งสมาพันธ์ก็ตกต่ำอ่อนแอในประวัติศาสตร์ แม้แต่องค์การวิญญาณมืดศัตรูตัวฉกาจของพวกเขาก็เกือบถอนรากถอนโคนประวัติศาสตร์พวกเขาตั้งหลายครั้ง
วีรบุรุษมักมีเรื่องราวของตนเองมาบอกเล่า
“ดูบาดแผลของพี่หกเย่ดีๆบาดแผลกระบี่กระเรียนไม่สมานตัวในที่สุด” หน้ากลมและตาตี่ของน้องเจ็ดเป็นประกาย เหมือนกับว่าเขาจะพบบางอย่างที่น่าสนใจ “ข้าได้ค้นคว้าพลังสายเลือดของพี่หกเย่ และมักอยากลองสร้างบาดแผลให้กับตัวของเขา แต่ยากมากที่จะทำเช่นนั้น ร่างกายของพี่หกเย่ทนทานมากข้าลองมาเกินกว่าสองร้อยวิธี และสามารถทิ้งรอยแผลที่ไม่สามารถรักษาหายได้มีอยู่สามวิธี”
“ฟังดูต้องแข็งแกร่งมากนะ”จางหมิงเฮ่อน้ำลายหก “มิน่าเล่าบรรพบุรุษของจิ่งหาวถึงไม่พูดอะไร ถ้ากลุ่มนี้ยังคงเติบโตต่อไป พวกเขาอาจเป็นอะไรสักอย่างได้แน่นอน จิ่งหาวอาจจะสู้พวกเขาไม่ได้ก็ได้”
เขาตัดสินใจยกเลิกความคิดที่จะรวมกลุ่มกับพวกเขา
อาโมรี่และพวกอีกสามคนยังดี แต่หลิงซิ่วและอาเฮ่อคนหนึ่งได้รับมรดกระดับสุดยอด, อีกคนเป็นศิษย์คนหนึ่งของคนที่มีชื่อเสียงมีพรสวรรค์และฉลาด ทั้งสองคนนี้ไม่สามารถดึงเข้ามารวมกลุ่มได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้เขาไม่กล้า หลิงซิ่วคือตัวยุ่งยากการดึงเขาเข้ามาก็หมายความว่าพวกเขาจะกลายเป็นศัตรูกับกลุ่มดาวแกะ การดึงอาเฮ่อเข้ามา? ราชินีคงจะตบหน้าเขาโดยตรงแน่
ทันใดนั้น เขาสงสัยเรื่องถังเทียนมากด้วยสถานะปัจจุบันของเขา เขาอาจไม่มีคุณสมบติดึงทั้งสองคนเข้า แต่ถังเทียนเป็นใครถึงสามารถเป็นผู้นำของพวกเขาได้?
หลิงซิ่วโผงผางเจ้าอารมณ์ อาเฮ่อดีกว่ามาก แต่ศิษย์จากตระกูลใหญ่ๆที่ไหนบ้างเล่าที่ไม่หยิ่งในศักดิ์ศรี? แต่ทั้งสองคนก็ยังฟังถังเทียน
“อย่างนั้นเรื่องของถังเทียนเล่า?” จางหมิงเฮ่ออดถามเรื่องของถังเทียนไม่ได้
น้องเจ็ดสูดลมหายใจลึก “อาเฮ่อและหลิงซิ่วแม้ว่าพวกเขาทั้งสองคนจะมีศักยภาพมาก แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาในวงการนักสู้ก็ไม่นับว่าแข็งแกร่งเท่าใดนัก หลิงซิ่วให้ความสำคัญกับวิธีนอกรีตนอกรอยของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาฝึกฝนอย่างติดๆ ขัดๆด้วยตัวเอง อาเฮ่อยิ่งชัดเจนยิ่งกว่า แม้ว่าจะไม่มีความคล้ายคลึงกันของปราณสำหรับกลุ่มดาวคนธนู แต่เขาคือคนหนึ่งที่มีวิชาของสำนักกระเรียน เท่าที่ข้ารู้ วิทยายุทธของสำนักกระเรียนมีหลายส่วน และในกรณีที่จริงจังดูเหมือนอาเฮ่อเพิ่งจะพบวิทยายุทธที่แท้จริงของสำนักกระเรียน ทั้งสองคนนั้นไม่มีอาจารย์คอยแนะนำพวกเขาและขาดแคลนทรัพยากรแม้ว่าพวกเขาจะอาศัยพรสวรรค์และพลังของตนเองได้ดีก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับเรา พวกเขายังคงด้อยกว่าไม่ต้องพูดถึงพี่หกสามารถทำลายพวกเขาได้เด็ดขาด ถ้าพวกเขายังอยู่ในวงการนักสู้ พวกเขาอาจจะอยู่ในระดับราวๆ 200”
“แต่,ถังเทียนแตกต่างจากพวกเขา”
คำพูดเหล่านี้จากน้องเจ็ดเรียกความสนใจจากจางหมิงเฮ่อได้ทันที
“ถังเทียนนั้นแข็งแกร่งทรงพลังมากและถ้าเขายังอยู่ในวงการนักสู้อย่างพวกเรา เขาจะถูกจัดอันดับราวๆ 50 นั่นคือเหตุผลที่เขาสามารถทำร้ายพี่หกเย่ได้ต่อเนื่อง และภายใต้ความเหนื่อยอ่อนที่รุนแรงก็ยังสามารถเอาชนะโค่นล้มเขาได้ ยากจะจินตนาการได้จริง คนที่ไม่มีแหล่งทรัพยากรขาดแคลนอาจารย์คอยแนะนำ ก็ยังสามารถถึงระดับมาตรฐานฝีมือนั้นในวัยขนาดนั้น”
จางหมิงเฮ่อตะลึก “อันดับ 50? เจ้าแน่ใจนะ?”
สมาพันธ์ชาวยุทธและองค์การวิญญาณมืดมีประวัติศาสตร์ยาวนานและด้วยการอบรมส่งเสริมเหล่าผู้เยาว์ พวกเขาจึงได้พบวิธีที่ดีเลิศ นั่นทำให้พวกเขาได้ประโยชน์มากมายจากการอบรมส่งเสริมผู้เยาว์ของพวกเขานั่นทำให้สมาพันธ์ชาวยุทธสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้จนถึงระดับปัจจุบัน
แหล่งทรัพยากรที่แข็งแกร่ง คำแนะนำจากยอดฝีมือที่มีชื่อเสียง วิธีแข่งขันสุดยอดร้อยนักเรียนของสมาพันธ์ชาวยุทธ ถ้าวางตัวเขาไว้ในกลุ่มดาวไหนก็ได้ เขาอาจจะเป็นนักเรียนอันดับหนึ่ง ทุกคนจะได้รับการยอมรับจากทุกที่
“ใช่แล้ว”
น้องเจ็ดตอบอย่างมั่นใจมาก ประกายตาแปลกๆ ฉายอยู่ในดวงตาของเขา
“แต่เหตุผลแท้จริงที่ทำให้ข้าประหลาดใจมากก็คือถังเทียนคือนักสู้ที่มีพลังยุทธซับซ้อนที่สุดมีสภาพกายที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น”