บทที่ 7: เขาเป็นคนดี!
บทที่ 7: เขาเป็นคนดี!
เธอเป็นเพียงเด็กหญิงอายุ 14 ปี
ก่อนหน้านี้ เธอก็กำลังฝึกวรยุทธ์อยู่ในลานบ้านของเธอเอง เธอได้กลิ่นแม้กระทั่งอาหารที่แม่ของเธอกำลังทำ อย่างไรก็ตาม ในวินาทีถัดมา จู่ๆ เธอก็ได้มาปรากฏตัวขึ้นยังโลกอีกแห่งหนึ่งแล้ว
เธอควรจะตอบสนองอย่างไร?
แน่นอนว่าเธอทั้งกลัวและสับสน
ถ้าเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ เธอก็คงจะกลัวจนกลายเป็นบ้าไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม เจียงฉีฉีนั้นก็แตกต่างออกไป
เธอฉลาดตั้งแต่ยังเด็กและเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียง
เมื่ออายุได้ 14 ปี เธอก็สามารถช่วยธุรกิจของตระกูลและจัดการร้านค้าเพียงลำพังได้แล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะเธออ่อนแอและป่วยหนักตั้งแต่ยังเด็กและเป็นผู้หญิง เธอก็คงจะแซงหน้าพ่อของเธอและควบคุมธุรกิจทั้งหมดของตระกูลได้อย่างสมบูรณ์
ถึงกระนั้น เธอก็ยังสามารถสร้างร้านที่เธอดูแลอยู่ขึ้นได้ ซึ่งนั่นก็ยังเป็นร้านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตระกูลของเธอ
มันเหนือกว่าพี่น้องทั้งหกคนของเธอมาก
ด้วยเหตุนี้เอง ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ของเจียงฉีฉีจึงแข็งแกร่งมาก
เมื่อเธอรู้ว่าจู่ๆ เธอก็มาถึงสถานที่แปลกๆ และได้เผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า เธอก็จึงคิดหาวิธีจัดการกับมันในทันที
มันเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความกลัวของเธอ ไม่อย่างนั้น มันก็จะทำให้เธอเสียเปรียบ
หากเธอแสดงความกลัวออกมา มันก็จะยิ่งกระตุ้นความได้เปรียบของอีกฝ่าย และสิ่งนี้ก็จะทำให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานในท้ายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอน เธอไม่ต้องการจะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองเพราะคำพูดของเธอด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงเริ่มหาถ้อยคำมาสรรเสริญอีกฝ่าย
นี่แหละหนทางเอาชีวิตรอด!
ไม่ว่าจะในกรณีใด ตราบใดที่มันเกี่ยวข้องกับซุยเฮ็ง เธอก็จะหาคำมายกยอเขา
เมื่อเขาหลงระเริงไปกับคำพูดของเธอ มันก็จะทำให้เธอสามารถควบคุมความคิดของเขาได้ง่ายยิ่งขึ้น
ในความเห็นของเจียงฉีฉี ด้วยความสามารถของซุยเฮ็งที่สามารถดึงเธอออกมาจากโลกของเธอได้ มันก็ไม่มีทางเลยที่เธอจะสามารถต้านทานความแข็งแกร่งของเขาได้
ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญเข้ากับสถานการณ์เช่นนี้ วิธีที่ดีที่สุดจึงเป็นการเอาชนะใจอีกฝ่าย
เธอจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองได้รับอันตรายใดๆ
อย่างน้อยที่สุด มันก็คงจะดีถ้าเธอสามารถซื้อเวลาออกไปได้
ในเวลาเดียวกัน เธอก็กำลังคิดทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับซุยเฮ็งจากการสนทนาก่อนหน้านี้
เธอต้องการจะหาวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์ในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้า เจียงฉีฉีก็ค้นพบว่าซุยเฮ็งดูเหมือนจะไม่ได้หลงไปกับคำพูดของเธอเลย
เธอไม่เพียงแต่จะล้มเหลวในการควบคุมความคิดของเขาเท่านั้น แต่เธอยังไม่ได้รับข้อมูลที่มีค่าใดๆ กลับมาอีกด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นเองก็ยังเกินความคาดหมายของเธอ
หลังจากที่พวกเธอกินอาหารเย็น ซุยเฮ็งก็ได้จัดห้องพักให้กับเธอและจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
เธอไม่รู้ว่าชายประหลาดคนนี้ต้องการจะทำอะไร
เธอเริ่มหันกลับมาคิดว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้
และในที่สุด อารมณ์ทั้งหมดเหล่านี้ก็รวมตัวกันจนกลายมาเป็นความกลัว
ยิ่งผนวกเข้ากับการอยู่คนเดียวแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้เธอกระวนกระวายใจมากขึ้นไปอีก
...
หลังจากผ่านไปนาน
เจียงฉีฉีค่อยๆ เงยหัวขึ้น ดวงตาที่กลมโตของเธอกำลังแดงก่ำและบวมจากการร้องไห้
เธอคลานลงมาจากเตียงและเปิดม่านออก เธอพบว่าดวงจันทร์กำลังลอยอยู่บนฟ้า
ท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นมืดครึ้มราวกับหมึก มันไม่มีดาวดวงใดที่ส่องแสง ดังนั้นมันจึงทำให้ท้องฟ้าแห่งนี้มืดมิดอย่างไร้ขอบเขต
กลางท้องฟ้ายามราตรี แสงจันทร์สีเงินกำลังสว่างส่องผ่านหน้าต่างและตกกระทบลงบนใบหน้าอันวิจิตรงดงามของเธอ
บรรยากาศในยามค่ำคืนแบบนี้ทำให้สภาพจิตใจของเจียงฉีฉีเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เมื่อเธอนึกถึงการกระทำของซุยเฮ็งในช่วยระหว่างวัน เธอก็หยุดร้องไห้และยิ้มออกมา “บางทีพี่ใหญ่เซียนคนนี้ก็อาจจะไม่ใช่คนเลวก็ได้”
ในท้ายที่สุด เธอก็สามารถรู้สึกผ่อนคลายลงได้สักที และสิ่งที่ตามมาก็คือความรู้สึกเหนื่อยล้าหลังจากการคิดมาก
ฟึ่บ!
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เจียงฉีฉีก็เดินโซเซไปด้านข้างสองก้าว
เธอรีบจับขอบหน้าต่างเพื่อป้องกันตัวจากการล้มลง
อย่างไรก็ตาม การหายใจของเธอก็เร่งถี่ขึ้น และใบหน้าที่มีเสน่ห์ของเธอก็แดงขึ้นอย่างผิดปกติ ร่างกายที่เล็กบางของเธอได้แต่สั่นสะท้าน เท้าเล็กๆ ของเธอเองก็เริ่มเกร็ง
“ไม่นะ วันนี้ข้าไม่ได้กลับบ้าน และข้าก็ไม่มียาติดตัวเลย…” สติของเจียงฉีฉีค่อยๆ เลือนลางขึ้นทุกทีๆ
ร่างกายของเธออ่อนแอมาตั้งแต่ยังเด็ก และเธอก็ต้องทานยาทุกวันเพื่อควบคุมสภาพร่างกายของเธอ
นอกจากนี้ เมื่ออารมณ์ของเธอเกิดการผันผวนอย่างรุนแรง โรคภัยไข้เจ็บก็จะถามหาเธอในทันที เธอแทบจะสามารถเป็นลมได้ทุกเมื่อ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอก็พึ่งพาการฝึกศิลปะการต่อสู้เพื่อทำให้อารมณ์ในจิตใจของเธอสงบลง ในทางกลับกัน ยาที่เธอกินทุกวันก็ยังมีผลในการบรรเทาอาการเจ็บป่วยนี้อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ อารมณ์ของเธอก็แปรปรวนรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกจากนี้ เธอก็ยังไม่ได้กินยาใดๆ เลย ด้วยเหตุนี้เอง อาการป่วยของเธอจึงทรุดหนักลงในทันที
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะต้องตายอย่างงั้นหรอ?” จิตใจของเจียงฉีฉีเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและการทำอะไรไม่ถูก เธอเริ่มจะหมดสติเข้าไปทุกทีแล้ว
ในเวลานี้ จู่ๆ เธอก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในบริเวณช่องท้องส่วนล่างของเธอ ในชั่วพริบตา ความอบอุ่นนั้นก็ไหลเวียนผ่านแขนขาและกระดูกของเธอ มันทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังแช่ตัวอยู่ในอ่างยา
ครู่ต่อมา เจียงฉีฉีก็ตื่นขึ้น สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจคือการที่เธอไม่ได้เป็นลม และอาการป่วยของเธอเองก็ไม่ได้ทรุดหนักลงเช่นกัน อันที่จริง เธอก็รู้สึกเบาสบายขึ้นมาก และสภาพร่างกายของเธอก็ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ราวกับว่าความเจ็บป่วยที่รบกวนเธอมานานกว่าสิบปีได้จางหายไปโดยสมบูรณ์
นี่มันเกิดอะไรขึ้น!
“นี่เป็นเพราะบะหมี่ที่ข้ากินไปก่อนหน้านี้อย่างงั้นหรอ?” เธอจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ดี มันเป็นเหมือนกับกระแสน้ำอุ่นที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกผิดอย่างถึงที่สุด
“บะหมี่ชามนั้นปรุงขึ้นโดยพี่ใหญ่เซียน คงจะเป็นเพราะเขามองเห็นปัญหาทางด้านร่างกายของข้ามานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงทำบะหมี่ชามนั้นให้ข้ากินเพื่อรักษาอาการป่วยของข้า”
“ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความเจ็บป่วยของข้าเกิดขึ้นได้ยังไง พ่อและแม่ของข้าพยายามออกค้นหาแพทย์ที่มีชื่อเสียงทั่วทุกที่ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหาวิธีรักษาข้าได้เลย อย่างไรก็ตาม มาตอนนี้ ด้วยบะหมี่แค่ชามเดียว… เขาจะต้องเป็นเซียนแน่ๆ!”
เมื่อมาถึงจุดนี้ เธอก็ได้ลดความระมัดระวังลงอย่างมากแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว หากเซียนที่ทรงพลังเช่นนี้มีเจตนาร้ายต่อเธอ ความคิดและกลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ของเธอก็จะล้วนไร้ประโยชน์
นอกจากนี้ เซียนคนนี้ก็ยังรักษาอาการเจ็บป่วยของเธอให้อีกด้วย แบบนั้นแล้วเขาก็ควรจะเป็นคนดีสิ
“ถ้าเป็นอย่างนี้ ข้าก็อาจจะได้กลับไปภายใน 12 วันจริงๆ ใช่ไหม?”
หัวใจของเจียงฉีฉีเต็มไปด้วยความคาดหวัง และในขณะเดียวกัน ความรู้สึกผิดก็ได้พุ่งถาโถมเข้ามาในจิตใจของเธอ เธอเริ่มรู้สึกว่าการตัดสินคนจกาภายนอกนั้นไม่ใช่เรื่องดี
ไม่ได้การ ข้าจะต้องสวมวิญญาณสาวน้อยเพื่อพูดกล่าวขอโทษเขา
“พรุ่งนี้เช้า ข้าจะไปขอโทษพี่ใหญ่เซียน!” เจียงฉีฉีตัดสินใจและสงบลงในที่สุด
หลังจากปรับอารมณ์เรียบร้อยแล้ว เธอก็ตระหนักได้ว่าเตียงและผ้าห่มของที่นี่นั้นนุ่มและสบายมาก และไม่นาน เธอก็ผล็อยหลับไป
…
อันที่จริง ซุยเฮ็งก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะใช้บะหมี่ชามนั้นเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยของเจียงฉีฉี
เขาแค่ทำบะหมี่ทั้งสองชามเพื่อกินแก้หิวจริงๆ
ในตอนนั้น มันก็เป็นเวลาสำหรับอาหารค่ำของเขาแล้วเช่นกัน ซึ่งการจะทำบะหมี่เพิ่มอีกชามนั้นก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก
สิ่งเดียวที่พิเศษคือบะหมี่ชามนั้นใช้วัตถุดิบจากฟาร์มสำหรับผู้เริ่มต้น พวกมันมีเศษเสี้ยวของพลังวิญญาณอันละเอียดอ่อนที่สามารถหล่อเลี้ยงและบำรุงร่างกายได้
สำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตก่อเกิดรากฐานอย่างซุยเฮ็ง ปราณวิญญาณนั้นก็อาจกล่าวได้ว่าแทบไม่มีนัยสำคัญใดๆ เลย
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนอย่างเจียงฉีฉีที่ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เกิด มันก็คือยาช่วยชีวิตดีๆ นี่เอง
แม้ว่ามันจะไม่ได้รักษาร่างกายของเธออย่างสมบูรณ์ แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะขจัดความเจ็บปวดออกไปจากร่างกายของเธอ
ซุยเฮ็งอยู่ในห้องทำสมาธิทั้งคืน
แม้ว่าห้องทำสมาธิจะช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกตนขึ้น 10% แต่มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก
ตอนนี้เขาได้ฝึกตนจนถึงขอบเขตก่อเกิดรากฐานแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะพัฒนาต่อไป
“ปัญหาที่ฉันรู้สึกได้ในตอนนี้คือพลังปราณของฉันยังไหลเวียนไม่คล่องพอ ฉันพยายามทำให้รากฐานเต๋าของฉันกลายเป็นเหมือนกับแอ่งน้ำนิ่งตามที่เคล็ดวิชาบอกแล้ว อย่างไรก็ตาม มันก็ยังใช้งานได้ยากอยู่ดี ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเจาะทะลวงและพัฒนาต่อไป”
“แม้ว่าฉันจะได้พัฒนาวิธีการหมุนเวียนขึ้นอย่างช้าๆ แล้ว แต่สำหรับพลังปราณของฉันแล้ว มันก็ยังมีขีดจำกัด”
“ถ้าเพียงแต่ฉันรู้พลังวิเศษหรือวิธีการอื่นๆ ที่สามารถใช้เปลี่ยนวิธีการทำงานของพลังปราณของฉันได้ บางทีฉันก็อาจจะสามารถทำให้รากฐานเต๋าของฉันมีความยืดหยุ่นมากขึ้นได้ก็ได้”
ซุยเฮ็งกำลังสรุปประสบการณ์การฝึกตนของเขาและไตร่ตรองเกี่ยวกับวิธีการที่จะบุกทะลวง
เคล็ดวิชาการฝึกตนสำหรับผู้เริ่มต้นนั้นเป็นแบบฝึกหัดสำหรับผู้เริ่มต้นจริงๆ มันมีเพียงเนื้อหาการฝึกอบรมเท่านั้นและไม่มีพลังวิเศษใดๆ
เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหานี้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังไม่รู้วิธีแก้ปัญหา
คืนนี้ก็เหมือนเช่นเดิม
ซุยเฮ็งนั่งอยู่ที่นั่นจนถึงเช้า แต่เขาก็ยังไม่มีความคิดใดๆ
เขาเดินออกมาจากห้องทำสมาธิตามปกติโดยตั้งใจจะมุ่งหน้าไปที่ฟาร์มสำหรับผู้เริ่มต้นเพื่อเก็บเกี่ยววัตถุดิบมาทำอาหารมื้อเช้า
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาลงบันไดมา เขาก็เห็นเด็กหญิงผู้ใสซื่อบริสุทธิ์และน่ารักกำลังยืนอยู่ที่ปลายสุดของบันได
ดูเหมือนเธอจะกำลังรอเขาอยู่
“พี่ใหญ่เซียน!” ดวงตาของเจียงฉีฉีสว่างขึ้นในทันทีเมื่อเธอเห็นซุยเฮ็งกำลังเดินลงบันไดมา เธอวิ่งเหยาะๆ และหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นเธอก็กล่าวด้วยความเคารพว่า “ได้โปรดยกโทษให้สาวน้อยคนนี้ที่ทำตัวหยาบคายเมื่อวานนี้ด้วย”
“…” ซุยเฮ็งตกตะลึงในทันที จากนั้นเขาก็หัวเราะเบาๆ “เจ้ากำลังทำอะไรของเจ้า?”
“เอ่อ ข้า ข้า… เมื่อวานข้ามองว่าท่านเป็นคนไม่ดี” เจียงฉีฉีเกาหลังศีรษะของเธอด้วยความเขินอาย “แม่ของข้าเคยบอกว่าผู้หญิงควรระมัดระวังตัวให้มากเข้าไว้”
“ฮ่าฮ่า ข้าเข้าใจ มันไม่ผิดหรอก” ย้อนกลับไปเมื่อวานนี้ ซุยเฮ็งเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเธอเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขาก็แค่ไม่ได้พูดมันออกมาดังๆ ก็เท่านั้นเอง “แล้วสรุปข้าเป็นคนไม่ดีรึเปล่า?”
“ท่านเป็นคนดี!” เจียงฉีฉีกล่าวด้วยความจริงใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอพูดจบ เธอก็ส่ายหัวและแก้ไขคำพูดของเธออย่างรวดเร็ว “ไม่สิ ท่านเป็นเซียนที่ดี ท่านเป็นพี่ใหญ่เซียนที่ดี!”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอเป็นพี่ใหญ่เซียนของเจ้าก็พอแล้ว” ซุยเฮ็งหัวเราะอย่างเต็มที่ในขณะที่เขาปฏิเสธคำว่า 'คนดี' อย่างสุภาพ
“พี่ใหญ่เซียน ข้าขอโทษด้วยจริงๆ ท่านจะอนุญาตให้ข้าแสดงระบำกระบี่ให้ท่านดูได้ไหม?”
เจียงฉีฉีรู้สึกว่าแค่คำขอโทษนั้นยังไม่จริงใจเพียงพอ ดังนั้นเธอจึงกล่าวต่อว่า “นี่เป็นเคล็ดวิชากระบี่ที่นักพรตเฒ่าสอนข้ามา ไม่เพียงแต่มันจะสามารถใช้บำรุงสุขภาพและยืดอายุขัยได้เท่านั้น แต่มันยังสวยงามน่าชมอีกด้วย”
ย้อนกลับไปเมื่อคืนนี้ เธอก็พยายามคิดอย่างหนักว่าจะขอโทษอย่างไรดี
ท้ายที่สุดแล้ว แค่คำพูดมันก็ไม่ได้มีน้ำหนักใดๆ
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน เธอก็ตระหนักได้ว่าเธอไม่ได้มีความสามารถพิเศษใดๆ เธอคงจะช่วยพี่ใหญ่เซียนในเรื่องการทำธุรกิจไม่ได้หรอกจริงไหม?
และหลังจากที่คิดเกี่ยวกับมันอยู่นาน มันก็ดูเหมือนว่าจะมีเพียงการระบำกระบี่ของเธอเท่านั้นที่แทบจะถือได้ว่าเป็นทักษะพิเศษ
“ข้าไม่ต้องการจะ…” ซุยเฮ็งอยากจะปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว การปล่อยให้เด็กหญิงอายุ 14 ปีแสดงระบำกระบี่ให้เขาดูนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนกับกำลังล่วงละเมิดเด็ก
แม้ว่าเจียงฉีฉีจะสวยและหน้าตาดี แต่นั้นก็แค่เด็กอายุ 14 เองนะ!
ถึงกระนั้น ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ มันก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของเขา ทันใดนั้นเขาก็ถามเจียงฉีฉีว่า “เจ้าบอกว่าการระบำกระบี่นี้เป็นทักษะกระบี่ที่สามารถบำรุงสุขภาพได้อย่างงั้นหรอ? นี่เป็นเคล็ดวิชาวรยุทธ์แบบใดกัน?”