บทที่ 6: ข้า... ข้ากลัว....
บทที่ 6: ข้า... ข้ากลัว....
เสียงกรีดร้องอันเปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกดังลงมาจากฟากฟ้า ร่างเล็กเคลื่อนตัวผ่านระลอกคลื่นบนท้องฟ้าและร่วงลงอย่างรวดเร็ว
“มีชีวิตชีวาดีจังเลยนะ” ซุยเฮ็งหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงร้อง
ทันทีหลังจากนั้น เขาก็ยกมือขึ้นอย่างช้าๆ และใช้พลังปราณเพื่อรับอีกฝ่ายลงมาอย่างนุ่มนวล
นี่ไม่ใช่พลังวิเศษใดๆ แต่มันเป็นเทคนิคการใช้พลังปราณง่ายๆ ที่เขาคิดขึ้น
สำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตก่อเกิดรากฐาน พลังปราณก็ไม่ได้เป็นเพียง “พลังงาน” ที่เก็บสะสมเอาไว้ในร่างกายของพวกเขาอีกต่อไป
มันได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของเขาโดยสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว
และด้วยการสนับสนุนจากพลังปราณของซุยเฮ็ง “ผู้มาเยือนจากนอกโลก” คนใหม่นี้จึงค่อยๆ ลอยตัวลงมา
นี่คือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เธอดูเหมือนจะมีอายุประมาณ 13 ถึง 14 ปีเท่านั้น ผิวของเธอดูเรียบเนียนและริ้วรอยบนใบหน้าของเธอก็ดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ ใบหน้าของเธอก็ยังงดงามราวกับตุ๊กตาที่แกะสลักมาจากหยก
เสื้อผ้าที่เธอใส่เองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เธอสวมเสื้อผ้าที่ทำมาจากผ้าซาตินสีขาวจันทร์พร้อมกับปักทอด้วยลวดลายสีทอง มันเป็นงานฝีมือที่ปราณีตมาก นอกจากนี้เธอก็ยังสวมเครื่องประดับผมที่ทำขึ้นมาจากทองคำ และจี้หยกอันล้ำค่าเองก็ห้อยอยู่ที่เอวเรียวของเธอ
อาจกล่าวได้ว่าเธอเป็นลูกคุณหนูตัวจริงเสียงจริง
แค่ราคาของชุดนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หงฟู่กุ่ยมีข้าวกินไปตลอดชีวิต
นี่คงจะเป็นหญิงสาวที่ร่ำรวยมากแน่นอน
โอ้ นั่นไม่ถูกต้องสิ เธอยังเด็กเกินไปที่จะเรียกว่าหญิงสาว
สำหรับตอนนี้ เขาก็ทำได้แค่เรียกเธอว่าหนูน้อยเท่านั้น
ซุยเฮ็งอยากจะเข้าไปทักเธอ แต่เมื่อเขาเปิดปากขึ้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาคิดในใจว่า “จู่ๆ เธอก็โผล่ขึ้นมาในโลกแปลกๆ และมาพบกับผู้ชายแปลกหน้า แบบนั้นแล้วเธอจะตกใจไหมนะ?”
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ เด็กหญิงตัวเล็กก็ได้มองข้ามเรื่องพวกนั้นไปแล้ว ดวงตากลมโตของเธอกะพริบในขณะที่เธอมองไปที่ซุยเฮ็งด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก เธอรีบพูดอย่างมีความสุขว่า “พี่ใหญ่ ท่านสุดยอดไปเลย! ท่านเป็นเซียนอย่างงั้นหรอ?”
ดูเหมือนเธอจะไม่กลัวคนแปลกหน้าเลย
“ข้าเป็นแค่…” ซุยเฮ็งต้องการจะอธิบายเหมือนกับในตอนที่เขาได้พบกับหงฟู่กุ่ยก่อนหน้านี้
“ท่านเป็นเซียนใช่ไหม? พี่ชาย!” เด็กหญิงตัวเล็กดูเหมือนจะตัดสินใจเรื่องนี้ไปก่อนแล้ว เธอตื่นเต้นมากจนแก้มแดงและดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความชื่นชม และก่อนที่ซุยเฮ็งจะทันได้อธิบายแก้ต่าง เธอก็ได้ถามขึ้นก่อนแล้วว่า “ข้าขอเรียกท่านว่าพี่ใหญ่เซียนได้ไหม?”
“เอ่อ เรียกข้าว่าท่านซุยจะดีกว่านะ” ซุยเฮ็งพยายามจะแก้ไขความเข้าใจผิดของเธอ
“เข้าใจแล้วพี่ใหญ่เซียน!” เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มและพูดต่อว่า “การเรียกท่านว่าท่านจะทำให้ท่านดูแก่ไปนะ ท่านยังดูเด็กมาก ท่านน่าจะยังไม่แก่กว่าข้ามาก ดังนั้นข้าว่าข้าเรียกท่านว่าพี่ใหญ่เซียนจะดีกว่า!”
ด้วยรูปร่างหน้าตาของซุยเฮ็งในปัจจุบัน เขาก็ดูมีอายุเพียง 18 ถึง 19 ปีเท่านั้น
“เอางั้นก็ได้” ซุยเฮ็งกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
เนื่องจากเขาไม่ได้พูดอะไรกับใครเลยในช่วง 90 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นทักษะการเข้าสังคมของเขาจึงเสื่อมลงอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทางที่เด็กหญิงคนนี้แสดงออกมานั้นก็ยิ่งทำให้เขาสับสนมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ยอดเยี่ยม! พี่ใหญ่เซียน นี่คือที่พำนักของท่านหรอ?” เด็กหญิงตัวเล็กยิ้มอย่างร่าเริงและมองไปรอบๆ ขณะที่เธอพูด
เธอมองไปทางซ้ายและขวาราวกับเด็กที่อยากรู้อยากเห็น จากนั้นเธอจึงหันกลับมามองซุยเฮ็งอย่างไร้เดียงสา “ท่านเป็นคนพาข้ามาที่นี่หรอ?”
“ข้าเปล่า” ซุยเฮ็งส่ายหัวเบาๆ ในขณะที่ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย เขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ามาที่นี่เพราะเหตุบังเอิญบางอย่าง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป เจ้าจะได้กลับไปสู่โลกเดิมของเจ้าอย่างมากที่สุดภายใน 12 วัน”
สาวน้อยคนนี้ไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่เห็น
“1 ถึง 12 วัน?” ประกายแสงสว่างวาบขึ้นในดวงตาของเด็กหญิงตัวน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอหยุดค้างแข็งทื่อ แต่แล้วมันก็กลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างรวดเร็ว เธอพูดอย่างเศร้าใจว่า “ทำไมแค่ 12 วันเอง? พี่ใหญ่เซียน ขอข้าอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักหน่อยไม่ได้หรอ?”
“เดี๋ยวอีก 12 วันเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน” ซุยเฮ็งกล่าวด้วยรอยยิ้ม ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตก่อเกิดรากฐาน ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงมีความเฉลียวฉลาดและสามารถกลับมาคุ้นเคยกับการพูดคุยสนทนาได้อย่างรวดเร็ว
“ข้าเข้าใจแล้ว” เด็กหญิงตัวน้อยดูดีใจเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงของเธอก็อ่อนลงกว่าเดิมเล็กน้อย ราวกับว่าเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปดี ถึงกระนั้น เธอก็สามารถเปลี่ยนเรื่องได้อย่างรวดเร็ว “ข้ามีนามว่าเจียงฉีฉี พี่ใหญ่เซียน ท่านมีนามว่าอะไรหรอ?”
“ซุยเฮ็ง เฮ็งที่แปลว่านิรันดร์” ซุยเฮ็งไม่ได้ปิดบังชื่อของเขา ด้วยการเปิดอกคุยกัน มันก็จะทำให้เขาสามารถสื่อสารกับอีกฝ่ายได้อย่างสบายใจมากขึ้น
“แม้แต่ชื่อของพี่ใหญ่เซียนก็ยังให้ความรู้สึกสมกับเป็นเซียนเลย” เจียงฉีฉีกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มว่า “เซียนเองก็สามารถคงอยู่ตลอดไปได้ใช่ไหม?”
“สาวน้อยคนนี้ยกยอเก่งจริงๆ” ซุยเฮ็งอดไม่ได้ที่จะบ่นในใจ แต่เขาก็ยังคงยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขา “ข้าก็แค่คนธรรมดา”
“พี่ใหญ่เซียน ท่านเนี่ยนะคนธรรมดา… เอ่อ…” เจียงฉีฉีกำลังจะพูดชมต่อ แต่แล้วมันก็มีเสียงดังมาจากท้องของเธอและขัดจังหวะคำพูดของเธอ
“โครก!”
เธอหิว!
เนื่องจากความหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ เธอจึงไม่มีเวลากินข้าวกลางวันก่อนที่จะหลุดมายังพื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้น
“ฮ่าๆ ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ” ซุยเฮ็งหัวเราะ
“…” ดวงตาของเจียงฉีฉีกะพริบด้วยความลังเล แต่เธอก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เธอพยักหน้าและพูดเสียงอ่อน “เอ่อ ขอบคุณพี่ใหญ่เซียน!”
ซุยเฮ็งพาเด็กหญิงตัวน้อยเข้าไปในที่พักของเขา
“ว้าว! ที่นี่มันอะไรกัน!” ดวงตาของเจียงฉีฉีเบิกกว้างในขณะที่เธออุทานออกมาด้วยความชื่นชม “นี่คือบ้านที่พี่ใหญ่เซียนพักอยู่อาศัยอย่างงั้นหรอ? มันน่าทึ่งมากเลย!”
“…” ซุยเฮ็งรู้สึกเขินเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเดินต่อเข้าไปในที่พัก
อย่างไรก็ตาม เจียงฉีฉีก็ไม่ได้เดินตามเขาเข้าไปข้างใน เธอหยุดยืนอยู่ที่ตรงประตูและดูประหม่าเล็กน้อย เธอมองไปที่ซุยเฮ็งและถามด้วยความเกรงใจว่า “ข้าขอเข้าไปได้ไหม? ข้าเป็นแค่มนุษย์”
“เข้ามาสิ มาหาอะไรกินก่อน” ซุยเฮ็งไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เข้าใจแล้ว” เจียงฉีฉีกำหมัดเล็กๆ ของเธอ เธอยกหน้าอกขึ้นเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปข้างใน
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ปัญญาประดิษฐ์ที่ดูแลที่พักก็ได้ตรวจพบคนอื่นที่ไม่ใช่ซุยเฮ็ง ดังนั้นมันจึงส่งข้อความเสียงเพื่อทักทายเธอในทันที
“สวัสดี! ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ!”
“ห้ะ!” เจียงฉีฉีอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังตกใจกับการปรากฏตัวของเสียงปริศนานี้
เธอกระโดดดีดตัวออกมาจนหัวเกือบชนเพดาน
“นะ.. นี่มันอะไรกัน?” เจียงฉีฉีมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง แต่เธอก็ไม่เห็นบุคคลที่สาม
“มันคือเสียงของบ้านหลังนี้เอง ไม่ต้องกังวลไปหรอก” ซุยเฮ็งยิ้ม เขาไม่อาจจะอธิบายให้เด็กหญิงตัวน้อยฟังได้ว่าปัญญาประดิษฐ์คืออะไร หรือเครื่องใช้ในบ้านอัจฉริยะคืออะไร
เขาไม่ได้โต้ตอบกับใครมาหลายทศวรรษแล้ว และไม่เพียงแต่ทักษะการเข้าสังคมของเขาจะลดลงเท่านั้น แต่มันยังทำให้เขานึกคำพูดอธิบายที่เอาไว้ใช้สื่อสารไม่ออกอีกด้วย
“อ๋อ ถ้าเป็นแบบนี้ บ้านของพี่ใหญ่เซียนก็ช่างน่าทึ่งจริงๆ!”
ถึงแม้เจียงฉีฉีจะเอ่ยปากชมออกไป แต่ภายในใจของเธอก็เต็มไปด้วยความตกใจ
บ้านพูดได้มีอยู่จริง!
นี่คือสถานที่พักของเซียนอย่างงั้นหรอ? ชายหนุ่มที่ดูแก่กว่าเธอเพียงไม่กี่ปีจะเป็นเซียนจริงๆ หรอ?”
“ไปนั่งที่โต๊ะอาหารตรงนั้นก่อนสิ” ซุยเฮ็งชี้ไปทางห้องอาหารและพูดต่อว่า “เดี๋ยวข้าจะไปทำบะหมี่มาให้”
เพื่อหลีกเลี่ยงความตกใจโดยไม่จำเป็น ซุยเฮ็งจึงไม่ได้เรียกคนรับใช้สุดแกร่งออกมา
ในขณะที่ซุยเฮ็งกำลังทำบะหมี่อยู่ เด็กหญิงตัวน้อยก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสนอีกครั้ง
เขาจะต้มน้ำโดยไม่มีไฟได้อย่างไร? เขาจะปรุงบะหมี่อย่างไร?
แล้วถ้าไม่มีไฟ ทำไมน้ำถึงเดือด?
ทำไมควันจึงพุ่งขึ้นไปเป็นเส้นตรงและไม่กระจายไปทั่ว?
หลายสิ่งหลายอย่างอยู่เหนือความเข้าใจของเธอ
หรือว่าชายคนนี้จะเป็นเซียนจริงๆ?
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่กล้าถามมากเกินไป
หลังจากกินบะหมี่เสร็จแล้ว ซุยเฮ็งก็ไม่ได้คุยกับเจียงฉีฉีต่อ เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะถามอะไรเธอ
เขาพาเธอขึ้นไปที่ชั้นสองและชี้ไปที่ห้องนอนเพื่อให้เธอไปพักผ่อน
จากนั้นเขาก็กลับไปที่ห้องทำสมาธิบนชั้นสาม
วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความสบายใจให้กับเด็กสาวที่อายุไล่เลี่ยกันคือการไม่ต้องทำอะไรเลย
…
ในห้องนอนบนชั้นสอง
ประตูถูกปิดตายเอาไว้อย่างแน่นหนาด้วยโต๊ะและเก้าอี้ หน้าต่างถูกล็อค และม่านก็ถูกปิดสนิท ห้องทั้งห้องมืดสนิท
ในเวลานี้ เจียงฉีฉีก็นอนขดตัวอยู่ที่ปลายเตียงและกอดเข่าของเธอแน่น ผมสีดำยาวของเธอถูกปล่อยออกมาอย่างยุ่งเหยิง นอกจากนี้ เธอก็ยังส่งเสียงครวญครางออกมาเป็นพักๆ เธอไม่ได้ดูร่าเริงหรือมีชีวิตชีวาเหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไป
“ท่านพ่อท่านแม่ ท่านอยู่ที่ไหนกัน?”
“ข้า… ข้ากลัว…”