บทที่ 4: ความทะเยอทะยานของคนตัวเล็ก
บทที่ 4: ความทะเยอทะยานของคนตัวเล็ก
มันเป็นอย่างไรที่ได้อยู่ในขอบเขตสกัดปราณขั้นเจ็ด?
ซุยเฮ็งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากถึง 10 เท่า เลือดในร่างกายของเขาไหลเวียนราวกับธารน้ำเชี่ยว และทุกการเคลื่อนไหวที่เขาทำนั้นก็ทรงพลังจนน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้
มันไม่เป็นปัญหาใดๆ สำหรับเขาที่จะระเบิดอาคารหกชั้นลงด้วยหมัดๆ เดียว
น่าเสียดายที่เขาไม่รู้จักคาถาเวทย์ใดๆ
เขาไม่มีพลังพิเศษใดๆ เช่นกัน เขาคิดว่าถ้าเขาต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนของจริง เขาก็อาจจะถูกฆ่าตายลงในทันทีได้
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ความตื่นเต้นที่ซุยเฮ็งเพิ่งจะได้รับมาก็จืดชืดลงในทันที
“ฉันจะหลงละเมอไปกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อยไม่ได้”
ซุยเฮ็งส่ายหัวและเตือนตัวเองในใจ นี่คือโลกเซียนระดับสูงที่มีราชาเซียนอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตหวนคืนความว่างเปล่าและขอบเขตผสานเต๋าก็ยังเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับผู้ฝึกตนขอบเขตสกัดปราณขั้นเจ็ด?
อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าในการฝึกตนแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังคงเป็นเรี่องที่ดีเสมอ มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นและในที่สุดเขาก็มีอารมณ์ที่จะถามหงฟู่กุ่ยเกี่ยวกับสถานการณ์ของโลกภายนอก
แม้ว่าตามที่ระบบแจ้งมาข้างต้นว่าพื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้นนั้นจะติดต่อกับหนึ่งในมิติของโลกนับไม่ถ้วนที่อยู่ในจักรวาลเดียวกับโลกเซียนระดับสูงนี้ และมันก็อาจจะเป็นเพียงมิติโลกมนุษย์ระดับต่ำ แต่มันก็ยังคงมีค่าพอที่จะให้ทำความรู้จักเอาไว้
ท้ายที่สุดแล้ว แม้แต่ในโลกมนุษย์ระดับต่ำ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังอาจจะอยู่ในขอบเขตรวมวิญญาณได้
ฉะนั้นแล้ว ผู้ฝึกตนขอบเขตสกัดปราณขั้นเจ็ดอย่างเขาจะไปดูถูกโลกมนุษย์ระดับต่ำได้อย่างไร?
…
“อะไรนะ? เจ้าบอกว่ามันมีเทพปฐพีอยู่ในที่ที่เจ้าอยู่ด้วยอย่างงั้นหรอ!” ซุยเฮ็งมองไปที่หงฟู่กุ่ยราวกับคนโง่ เขาเกือบจะคิดว่าเขาได้ยินผิด
เกิดอะไรขึ้นกับโลกมนุษย์ซึ่งควรจะอ่อนแอ?
มันมีเทพอยู่ที่นั่นได้ยังไง?
นี่มันไม่ถูกต้อง นั่นคือเทพปฐพีเลยนะ…
ในขณะนี้ ซุยเฮ็งก็ซักถามหงฟู่กุ่ยเกี่ยวกับสถานการณ์ภายนอก
ตอนแรกมันก็โอเค ตามคำอธิบายของหงฟู่กุ่ย สถานที่ที่เขาอาศัยอยู่ก็คือราชวงศ์ที่เจริญรุ่งเรืองมานานกว่า 200 ปี อย่าไงก็ตาม ราชวงศ์แห่งนี้ก็มักจะใช้ความรุนแรงทางทหารเพื่อรักษาระบอบความมั่นคงเอาไว้
และในขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูด ซุยเฮ็งก็รู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ
นอกเหนือจากราชวงศ์แล้ว มันก็ยังมีสำนักพุทธ สำนักเต๋าและอื่นๆ อีกมากมาย
ตามคำอธิบายของหงฟู่กุ่ย สำนักเหล่านั้นก็มีทั้งเล็กและใหญ่ โดยเฉพาะสำนักพุทธและสำนักเต๋า พวกเขามีมรดกตกทอดที่สืบเนื่องกันมาอย่างยาวนานและมีพลังพิเศษมากมาย พวกเขาไม่จำเป็นต้องสนใจพลังของราชวงศ์เลย
ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ยังมีข่าวลือว่าภายในสำนักโบราณบางแห่ง มันก็มีแม้กระทั่งเทพปฐพีซ่อนตัวอยู่อย่างสันโดษข้างในนั้น พวกเขามีอำนาจเหนือล้นจะจินตนาการ และนอกจากนี้ พวกเขาก็ยังมีอายุยืนยาวพอที่จะเฝ้าดูเหล่าราชวงศ์ผงาดขึ้นและถดถอยลง
นี่มันไร้สาระ!
ซุยเฮ็ง “ตระหนัก” ได้อย่างรวดเร็วถึงสถานการณ์ความเป็นจริงของโลกภายนอกผ่านประสบการณ์ของเขาเอง
สถานที่ที่หงฟู่กุ่ยอาศัยอยู่นั้นเป็นโลกมนุษย์และน่าจะเป็นโลกมนุษย์ที่ค่อนข้างธรรมดา
ในโลกนี้ สำนักก็อยู่เหนือกว่ามนุษย์โดยทั่วไป และพวกเขาก็สามารถควบคุมความเป็นไปของราชวงศ์มนุษย์ได้!
จากมุมมองของผู้คน ราชวงศ์ก็เป็นเหมือนกับยุ้งฉาง, ธนาคาร และที่มอบหมายภารกิจ
นอกจากนี้ “เทพปฐพี” เหล่านั้นก็น่าจะเป็นผู้ฝึกตนที่มีรากฐานการฝึกตนอยู่ในระดับสูง มันเป็นไปได้มากเลยทีเดียวที่พวกเขาอาจจะอยู่ที่ขอบเขตก่อเกิดรากฐานหรือขอบเขตแก่นแท้ทองคำ
แม้ว่าโลกนี้จะปลอดภัยกว่าโลกเซียนระดับสูงที่มีราชาเซียนท่องไปมาอย่างอิสระ แต่ปัจจัยด้านความปลอดภัยเองก็มีจำกัดเช่นกัน
สุดท้ายเขาก็ยังเป็นเพียงลูกปลาตัวเล็กๆ ในขอบเขตสกัดปราณขั้นเจ็ด ถ้าเขาต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขอบเขตก่อเกิดรากฐาน เขาก็คงจะตายศพไม่สวยแน่นอน
นอกจากนี้แล้ว โลกเซียนทั่วไปก็ยังมีชื่อเช่นกัน และโลกของหงฟู่กุ่ยก็คือ “โลกบำเพ็ญสามเผ่า!!”
หงฟู่กุ่ยงุนงงเล็กน้อย
ทำไมนายท่านซุยถึงดูตื่นเต้นเมื่อเขาได้ยินเกี่ยวกับเทพปฐพี?
ด้วยตัวตนระดับสูงสุดที่สามารถควบคุมโลกนับไม่ถ้วนได้ตามใจนึก แม้แต่เทพปฐพีก็ควรจะไม่ต่างอะไรไปจากมด!
“นายท่าน ท่านมีปัญหาอะไรกับเทพปฐพีหรือเปล่า?” หงฟู่กุ่ยถามด้วยความสับสน
“อะแฮ่ม!” ซุยเฮ็งกระแอมเบาๆ และถามว่า “เจ้ารู้ไหมว่าเทพปฐพีมีความสามารถอะไรบ้าง?”
“ความสามารถ?” หงฟู่กุ่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งและส่ายหัว “เทพปฐพีคือบุคคลที่อยู่เหนือกว่ามนุษย์ ข้าเป็นแค่ขอทานตัวน้อย ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถรับรู้เรื่องพวกนี้ได้”
“อย่างไรก็ตาม ข้าก็ได้ยินข่าวลือบางอย่างในตอนที่ข้าเดินเตร่เร่ร่อน พวกเขากล่าวว่าเทพปฐพีเหล่านี้สามารถดึงดวงดาวให้ตกลงมาจากฟากฟ้าและจับดวงจันทร์ได้ด้วยมือของพวกเขา พวกเขาสามารถแบกภูเขาและแหวกทะเลออกจากกันได้ พวกเขาเป็นเหมือนกับเซียนผู้ทรงพลัง”
นี่คือสิ่งที่หงฟู่กุ่ยได้ยินมาจากลูกค้าในโรงน้ำชา
“ข้าเข้าใจแล้ว” ซุยเฮ็งพยักหน้าเมื่อได้ยินเรื่องนี้
ในความเป็นจริง เขาก็ไม่ค่อยสบายใจเลย
ที่แท้นี่ก็เป็นโลกมนุษย์ที่มีระดับค่อนข้างสูง มันมีแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังจนสามารถดึงดวงดาวและสัมผัสดวงจันทร์ได้!
อันตราย!
หงฟู่กุ่ยมองไปที่ท่าทางครุ่นคิดของซุยเฮ็งและตระหนักถึงบางอย่างได้ในทันใด “ข้าเข้าใจแล้ว การดำรงอยู่อย่างนายท่านซุยคงจะอยู่เหนือกว่าโลกมนุษย์มากจนเกินไป ดังนั้นท่านจึงคงจะไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวในโลกมนุษย์”
“เหตุผลที่เขาถามข้าเกี่ยวกับเทพปฐพีก็อาจจะเป็นเพราะเขาต้องการจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในโลกมนุษย์และครุ่นคิดถึงหลักการฝึกตนผ่านการสังเกตโลกมนุษย์”
มันเหมือนกับที่บางครั้งเขาก็ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของมดและคิดถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของมัน
สิ่งนี้ทำให้หงฟู่กุ่ยรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
ในที่สุดเขาก็พบประโยชน์ของเขาแล้ว!
มีเพียงการแสดงประโยชน์ให้อีกฝ่ายเห็นเท่านั้น มันถึงจะทำให้เขามีโอกาสได้ถามเซียนผู้นี้ถึงวิธีการกอบกู้โลกได้!
…
หงฟู่กุ่ยเป็นเพียงเด็กอายุ 12 ปีเท่านั้น
เขาก้มหน้าลงเพื่อกล่าวเกี่ยวกับโลกของเขาต่อ
ด้วยเหตุนี้เอง ในอีกตลอดเวลาสามวันที่ผ่านไป เขาจึงได้บอกซุยเฮ็งเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เขารู้โดยไม่ลังเล และเขาก็ยังบอกซุยเฮ็งเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เขาเห็นและได้ยินขณะท่องไปรอบโลก
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตัวตน มุมมอง และแหล่งที่มาของข้อมูล ความเข้าใจของหงฟู่กุ่ยจึงคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย
ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงอธิบายทุกอย่างโดยไม่ลังเล
ภาพของโลกบำเพ็ญสามเผ่าค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจของซุยเฮ็งและเขาก็เข้าใจรายละเอียดของราชวงศ์ในโลกนั้นมากขึ้น
แม้ว่าราชวงศ์นี้จะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสำนักอีกทีหนึ่ง แต่มันก็ยังดูเหมือนจะไม่สามารถหนีออกไปจากวัฏจักรแห่งโชคชะตาที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าได้ ราชวงศ์นั้นเพิ่งจะขึ้นครองอำนาจได้เพียง 300 ปีเท่านั้น แต่พวกเขาก็ได้ประสบกับสถานการณ์อันเลวร้ายเนื่องจากการล่าอาณานิคมจากต่างแดนอย่างต่อเนื่อง ผู้ลี้ภัยจำนวนมากต้องเดินทางร่อนเร่ไปทั่วแผ่นดินราวกับเป็นวันสิ้นโลก
ในทางกลับกัน ทางสำนักก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย พวกเขาปล่อยให้ราชวงศ์ตกอยู่ภายใต้ความโกลาหลต่อไป ซึ่งสิ่งนี้ก็สอดคล้องกับความเข้าใจของซุยเฮ็ง
“มันช่างน่าสังเวชจริงๆ ที่ต้องมาอยู่ในโลกแบบนี้” ซุยเฮ็งตบไหล่ของหงฟู่กุ่ยและกล่าวด้วยความสงสาร “ที่ผ่านมาคงจะลำบากมามากสินะ”
ราชวงศ์เป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาของสำนัก และสามัญชนก็เป็นเพียงลูกแกะที่สำนักเลี้ยงเอาไว้
ไม่มีใครสนใจเรื่องความเป็นและความตายของปศุสัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้มากนัก
แม้ว่าเขาจะเข้าร่วมสำนักในภายหลังและได้รับการฝึกตนจนประสบความสำเร็จในการเป็นเซียน แต่เขาก็ยังจะต้องเผชิญหน้ากับโลกแห่งการฝึกตนที่โหดร้ายยิ่งกว่า
มีเพียงหนึ่งคำเท่านั้นที่จะอธิบายสถานการณ์เช่นนี้ได้
โศกนาฏกรรม!
“นายท่าน!” ทันใดนั้นหงฟู่กุ่ยก็เปิดปากของเขาและโค้งคำนับซุยเฮ็งด้วยความเคารพ “นายท่าน ข้าเดินทางเร่ร่อนมาหลายปีแล้วและได้พบกับฉากที่น่าสังเวชมาแล้วมากมาย”
“คนมากมายนับไม่ถ้วนต้องพลัดถิ่นอย่างข้า และคนอีกมากมายนับไม่ถ้วนก็ยังต้องอดอาหารตายหรือไม่ก็ถูกผู้อื่นกินอย่างพ่อแม่และพี่น้องของข้า! ถึงกระนั้น ราชวงศ์ก็ไม่คิดแม้แต่จะสนใจเรา พวกเซียนเองก็ไม่ต่างกัน มันไม่มีใครอยากช่วยเราทั้งนั้น...”
“เพราะแบบนี้เอง ข้าถึงต้องการจะเปลี่ยนแปลงเรื่องราวทั้งหมดนี่ ข้าต้องการจะทำให้คนที่เป็นเหมือนข้ามีชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง… เพราะฉะนั้นแล้ว ข้าผู้ต่ำต้อยคนนี้จึงอยากจะขอร้องให้ท่านช่วยหาทางกอบกู้โลกให้ข้าที!”
“…” ซุยเฮ็งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าต้องการจะเข้ามาแทนที่ราชวงศ์อย่างงั้นหรอ?”
“แทนที่ราชวงศ์?” หงฟู่กุ่ยตกตะลึงไปพักหนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “ใช่! ถูกต้องแล้ว! ข้าต้องการจะแทนที่ราชวงศ์เก่าเพื่อเปลี่ยนโลก และสร้างยุคสมัยใหม่ที่ทุกคนสามารถกินข้าวปลาอาหารได้อย่างเต็มที่!”
แววตาของเขาเป็นประกายในขณะที่เขาพูด ประโยคสุดท้ายของเขาดังจนแทบจะตะโกนออกมา
“เจ้ามั่นใจแน่แล้วใช่ไหม?” คิ้วของซุยเฮ็งขมวดเข้าหากันในขณะที่เขาพูดอย่างจริงจัง “เส้นทางนี้จะเต็มไปด้วยหลุมและบ่อ และในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เจ้าก็อาจจะถึงตายได้!”
ต้องการที่จะกบฏและสถาปนาราชวงศ์ใหม่?
ระดับความยากนั้นชัดเจนอยู่แล้ว!
หลังจากที่ได้พูดคุยโต้ตอบกับหงฟู่กุ่ยในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาก็มีความประทับใจที่ดีต่อเด็กคนนี้ นอกจากนี้ หงฟู่กุ่ยก็ยังช่วยให้เขาสามารถทะลวงไปสู่ขั้นต่อไปได้
ดังนั้นแล้ว เขาจึงไม่ต้องการจะเห็นเด็กคนนี้ต้องกลับไปเป็นขอทานที่น่าสงสารเหมือนอย่างเดิมอีกแล้ว
“หากเจ้าอยากจะมีชีวิตที่มั่นคง ข้าก็สามารถรับประกันได้ว่าเจ้าจะมั่งคั่งและร่ำรวยตลอดไป” ซุยเฮ็งไขว้มือไว้ข้างหลังในขณะที่เขาพูดต่ออย่างเฉยเมยว่า “อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้าเลือกเส้นทางนั้น เจ้าก็จะต้องเป็นคนออกแสวงหาและไขว้คว้าโชคชะตาเหล่านั้นด้วยตัวของเจ้าเอง แบบนั้นแล้วเจ้าจะไม่เสียใจทีหลังแน่นะ?”
“ข้าจะไม่เสียใจ!” สายตาของหงฟู่กุ่ยมั่นคงราวกับหินผา
“เฮ้อ…” ซุยเฮ็งส่ายหัวเล็กน้อยและถอนหายใจออกมา เขาดูเหมือนกับคนที่กำลังผิดหวัง เขาเดินเข้าไปและเคาะหัวของหงฟู่กุ่ยสามครั้ง จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องโดยเอามือไขว้ไว้ข้างหลังแล้วปิดประตู
หงฟู่กุ่ยยืนอยู่นิ่งด้วยความงุนงงเป็นเวลานานก่อนที่จะฟื้นความรู้สึก เขาโค้งคำนับด้วยความเคารพและพูดว่า “ขอบคุณสำหรับความกรุณาของท่าน!”
เขาเดาได้แล้วว่าซุยเฮ็งหมายถึงอะไร...