บทที่ 3: นี่คือการดำรงอยู่สูงสุด!
บทที่ 3: นี่คือการดำรงอยู่สูงสุด!
ปฏิกิริยาของหงฟู่กุ่ยนั้นเกินความคาดหมายของซุยเฮ็ง
หลังจากการซักถามเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
ปรากฎว่าหงฟู่กุ่ยเกิดในหมู่บ้านถุรกันดารอันห่างไกล พ่อแม่ของเขาเป็นเกษตรกรที่เช่าที่ดินเพื่อทำกิน อย่างไรก็ตาม เจ้าของที่ดินก็กดขี่พวกเขาอย่างหนัก และเป็นเหตุทำให้ครอบครัวของเขาไม่เคยได้กินอาหารมื้อใหญ่มาก่อน
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเขาเห็นโจ๊กข้าวสีขาวหอมกรุ่นชามนี้ เขาจึงรู้สึกซาบซึ้งใจและนึกถึงพ่อแม่พี่น้องของเขาที่เสียชีวิตลงไป
ซุยเฮ็งเงียบไปเป็นเวลานานเมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ เขาตบไหล่หงฟู่กุ่ยเบาๆ และกล่าวหลังจากที่อีกฝ่ายสงบลง “มากินข้าวก่อนเถอะ”
สุขภาพของหงฟู่กุ่ยเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ เขาอยู่ในสภาพที่หิวโซและอารมณ์ของเขาก็กำลังผันผวนอย่างรุนแรง มันเป็นไปได้มากว่าเขาจะเป็นลมเพราะความคิดที่วุ่นวาย
“ขอบพระคุณท่านเซียน” หงฟู่กุ่ยขอบคุณเขาอย่างจริงใจ เขาไม่รู้ว่าจะเรียกซุยเฮ็งว่าอะไรดี ดังนั้นเขาจึงเรียกซุยเฮ็งว่าท่านเซียนตามคนรับใช้สุดแกร่ง
“นามสกุลของข้าคือซุย เจ้าจะเรียกข้าว่าท่านซุยก็ได้” ซุยเฮ็งยิ้ม
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านชุย” หงฟู่กุ่ยตอบรับอย่างรวดเร็วและนั่งลงบนโต๊ะ เขามองไปที่ชามโจ๊ก จากนั้นก็มองไปที่ซุยเฮ็งและถามอย่างระมัดระวัง
“ข้ากินมันได้จริงๆ หรอ?”
“เอาเลย แต่ระวังอย่าให้มันลวกลิ้นล่ะ” ซุยเฮ็งพยักหน้า
“ฟู่ว! หอมมาก! แถมมันยังร้อนมาก!” หงฟู่กุ่ยอุทานออกมาในขณะที่เขากินโจ๊ก แม้ว่ามันจะร้อนมาก แต่มันก็ไม่สามารถหยุดเขาได้ ท้ายที่สุดแล้ว หลังจากผ่านโลกอันโหดร้ายมานานนับสิบปี มันก็ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะได้กินข้าวอย่างมีความสุขเหมือนอย่างในวันนี้
ซุยเฮ็งไม่ได้ห้ามอีกฝ่ายและทำเพียงแค่มองดูอีกฝ่ายจากด้านข้าง
ข้าวที่ใช้ทำโจ๊กนั้นไม่ใช่วัตถุดิบธรรมดา มันเป็นข้าววิญญาณที่ผลิตโดยฟาร์มสำหรับผู้เริ่มต้น
ไม่เพียงแต่มันจะมีกลิ่นหอมและรสอร่อยเท่านั้น แต่มันยังมีพลังวิญญาณแฝงอยู่ในนั้นเป็นปริมาณเล็กน้อยด้วย มันอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและเหมาะที่จะใช้บำรุงร่างกาย
ซุยเฮ็งมีความประทับใจที่ดีต่อหงฟู่กุ่ย เด็กคนนี้เป็นคนที่น่าสงสารที่ต้องทนทุกข์ทรมานมามากแล้ว
สำหรับเขาแล้ว แค่โจ๊กธรรมดาชามเดียวก็ไม่ได้มีค่าอะไรให้พูดถึงเลย ถึงกระนั้น สำหรับหงฟู่กุ่ยแล้ว มันก็กลับนับได้ว่าเป็นมื้ออาหารอันล้ำค่า
นอกจากนี้ เขาก็ยังอยู่คนเดียวมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะคนรับใช้สุดแกร่ง เขาก็คงจะลืมวิธีการพูดไปแล้วด้วยซ้ำ
ท้ายที่สุดแล้ว คนรับใช้สุดแกร่งก็เป็นเพียงหุ่นยนต์ที่เชื่อฟังและปฎิบัติตามทุกคำพูดของเขา มันไม่ได้มีสติปัญญาเป็นของตัวเองอย่างแท้จริง
ในตอนนี้ ในที่สุดมนุษย์ที่สามารถสื่อสารได้ตามปกติก็ได้ปรากฎตัวขึ้นแล้ว เขาต้องการให้หงฟู่กุ่ยมีสุขภาพแข็งแรง และด้วยวิธีนี้ อย่างน้อยๆ มันก็จะทำให้เขามีเพื่อนคุยไปได้สักระยะ
นอกจากนี้ เขาก็ยังสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกเพิ่มเติมได้อีกด้วย
…
หงฟู่กุ่ยเป็นเหมือนกับหมาป่าที่หิวโหย
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที เขาก็ได้ทานโจ๊กจนหมดชาม แน่นอนว่าผักดองสองชามด้านข้างเองก็หายไปหมดแล้วเช่นกัน
ท้องของเขารู้สึกอบอุ่นและอิ่มเอิบ ความสุขที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนกำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายและจิตใจของเขา
อย่างไรก็ตาม หงฟู่กุ่ยก็ไม่ได้มัวอ้อยอิ่งจมปรักอยู่กับความรู้สึกพึงพอใจในท้องของเขา เขารีบลุกขึ้นยืนและพยายามจะก้มหัวขอบคุณซุยเฮ็ง อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาดูเหมือนจะสูงขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?” เขามองลงไปที่มือของเขาด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็มองดูที่เท้าของเขา เขาตระหนักได้ว่าฝ่ามือของเขามีขนาดใหญ่กว่าเดิมมาก แขนเสื้อและชายกางเกงของเขาเองก็ดูจะสั้นลง
เขากินโจ๊กแค่ชามเดียว แต่มันก็สามารถทำให้เขาตัวสูงขึ้นได้?
นอกจากนี้ ร่างกายของเขาก็ยังดูเหมือนจะเบาขึ้นอีกต่างหาก แม้แต่บาดแผลและความเจ็บป่วยทั้งหมดในร่างกายของเขาก็ยังดูเหมือนจะหายกลับมาเป็นปกติแล้ว
“นี่ไม่ใช่โจ๊กธรรมดา แต่มันคือโอสถเซียน!” หงฟู่กุ่ยรู้สึกตกใจมาก เขาจ้องมองไปที่ซุยเฮ็งด้วยความเคารพและความรู้สึกขอบคุณ
อีกฝ่ายได้มอบโอสถเซียนอันล้ำค่าเช่นนี้ให้แก่ชาวนาผู้ยากไร้อย่างเขาโดยไม่เห็นแก่ตัว
นี่จะต้องเป็นเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มาเพื่อช่วยชีวิตเขาอย่างแน่นอน!
“ขอบพระคุณท่านเซียนที่ช่วยชีวิตข้า ขอบพระคุณท่านเซียนที่มอบโอสถเซียนแก่ข้า!” หงฟู่กุ่ยตื่นเต้นมากจนไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรดี เขาทำได้เพียงแค่คุกเข่าและก้มหน้าลงกับพื้นอีกครั้ง เขาก้มหัวคำนับให้กับซุยเฮ็งราวกับว่าเขากำลังก้มกราบไหว้บูชาเทพ
“มันก็แค่อาหารธรรมดาๆ” ซุยเฮ็งส่ายหัวและยิ้ม เขายกมือขึ้นและพยุงอีกฝ่ายขึ้นมา “ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว เจ้าจะเรียกข้าว่านายท่านก็ได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าท่านเซียน”
คุณเคยเห็นเซียนในขอบเขตสกัดปราณขั้นหกมาก่อนไหม?
คนรับใช้สุดแกร่งเป็นเพียง “การตั้งค่าจากระบบ” มันไม่เป็นไรถ้าเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ อย่างไรก็ตาม การถูกคนอื่นเรียกเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย
“ข้าเข้าใจแล้วนายท่าน” หงฟู่กุ่ยพยักหน้าอย่างเร่งรีบก่อนที่จะถามด้วยความเคารพ “ท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้และมอบโอสถเซียนให้กับข้า ดังนั้นแล้ว ชีวิตของข้าก็นับเป็นของท่านแล้ว หากท่านต้องการใช้ข้าทำอะไร ท่านก็สามารถสั่งข้ามาได้เลย!”
เขาไม่ได้สนใจวิธีการกอบกู้โลกอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้ เขาก็มุ่งความสนใจไปที่การตอบแทนความเมตตาของซุยเฮ็ง
“เจ้าไม่ต้องการวิธีการกอบกู้โลกแล้วหรอ?” ซุยเฮ็งยิ้ม
“ข้ายังไม่ได้ตอบแทนความเมตตาของท่านเลย แบบนั้นแล้วข้าจะไปกล้าขอความช่วยเหลือจากท่านได้อย่างไร?” หงฟู่กุ่ยส่ายหัว
“งั้นก็ตามข้ามา อยู่เป็นเพื่อนคุยเพื่อนเล่นกับข้าก่อน” มุมปากของซุยเฮ็งโค้งงอขึ้นเล็กน้อย เขายิ้มและพูดว่า “ตามข้ามา ข้าจะสอนให้รู้เองว่า PS5 คืออะไร”
“พีเอสไฟ?” หงฟู่กุ่ยดูสับสน เขารู้สึกว่าคำพูดของเซียนนั้นลึกลับและเข้าใจยากจริงๆ
…
ในอีกสามวันต่อมา ซุยเฮ็งไม่ได้รีบร้อนที่จะถามหงฟู่กุ่ยเกี่ยวกับสถานการณ์ของโลกภายนอก
เขาพาหงฟู่กุ่ยมาเล่นเกม กินข้าว ทำฟาร์ม และพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เขาทำตัวผ่อนคลายมาก
เมื่อเทียบกับ 10 ปีของการอยู่คนเดียว ซุยเฮ็งก็รู้สึกว่านี่เป็นสามวันที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา
เมื่อจิตใจของเขาได้ตกลงสู่สภาวะนี้ เขาก็รู้สึกว่าคอขวดที่ทำให้เขาต้องหยุดชะงักมาเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปีก็ได้คลายลงในที่สุด!
ถูกต้อง! แค่ขอบเขตสกัดปราณขั้นหกก็ทำให้เขาถึงกับต้องชะงักมานานกว่าหนึ่งปี!
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขายอมรับความเป็นจริงของเขา
“นั่นสินะ ฉันควรจะรักษาความสุขของฉันเพื่อที่ฉันจะได้สามารถฝึกตนได้อย่างสบายใจ!” ซุยเฮ็งคิดกับตัวเอง
สำหรับหงฟู่กุ่ย…
สามวันในดินแดนเซียนสามารถกล่าวได้ว่าเต็มไปด้วยความลึกลับ
เขาได้เห็นสมบัติเซียนที่แปลกประหลาดมากมาย!
ตัวอย่างเช่น:
เขาไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจใดๆ เขาเพียงกดปุ่มเบาๆ และประตูเซียนก็จะเปิดออก
เขาไม่จำเป็นต้องใช้เทียนหรือขี้ผึ้ง แค่เพียงประโยคเดียว เขาก็สามารถเปิดโคมไฟเซียนได้
เขาไม่จำเป็นต้องจุดไฟเพื่อต้มน้ำ เขาเพียงแค่เทน้ำลงในหม้อเซียนและน้ำก็จะเดือดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
และสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ พีเอสไฟ!
มันไม่ใช่เปลวเพลิงอะไร แต่มันเป็นสมบัติเซียน!
สมบัติเซียนชิ้นนี้สามารถแสดงฉากทุกประเภทบนหน้าจอของมันได้ บางฉากนั้นดูน่ากลัวในขณะที่บางฉากมีความน่ามหัศจรรย์และงดงาม ราวกับว่ามันได้บรรจุโลกนับไม่ถ้วนเอาไว้ภายใน
ที่แปลกประหลาดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มนุษย์ธรรมดาอย่างเขาสามารถใช้สมบัติวิเศษชิ้นนี้เพื่อควบคุมสิ่งมีชีวิตในโลกข้างในนั้นได้!
มันเหลือเชื่อมาก!
บางทีซุยเฮ็งอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถควบคุมโลกเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์
ในเวลาเพียงสามวัน ภาพลักษณ์ของซุยเฮ็งในใจของหงฟู่กุ่ยก็ได้แปรเปลี่ยนไปจากเซียนผู้รักสันโดษไปสู่การดำรงอยู่สูงสุดที่สามารถควบคุมโลกนับไม่ถ้วนได้!
เช้าวันหนึ่ง หงฟู่กุ่ยเดินออกมาจากห้องของเขาและกำลังจะทำความเคารพซุยเฮ็ง
แต่ทันทีที่เขาก้าวออกมา เขาก็เห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์กำลังส่องแสงสว่างอยู่บนท้องฟ้า
แสงสีทองหลายดวงพร่างพรายอยู่บนอากาศ
ในขณะนี้ ร่างที่กำลังอาบไล้ด้วยแสงของตะวันและจันทราก็กำลังค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ซุยเฮ็งกำลังทะลวงการฝึกตน!
ขอบเขตสกัดปราณขั้นเจ็ด!