บทที่ 2: พบท่านเซียน
บทที่ 2: พบท่านเซียน
“ระบบ! เกิดอะไรขึ้น? ทำไมมันถึงมีคนหลุดเข้ามาได้?!”
ซุยเฮ็งถามระบบในใจอย่างรวดเร็ว
เขากำลังตื่นตระหนก
ตามการแจ้งเตือนของระบบครั้งก่อน โลกที่เขาอยู่ก็คือโลกเซียนระดับสูง!
ราชาเซียนมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และสัตว์อสูรดุร้ายก็ไม่มีที่สิ้นสุด!
แม้แต่เด็กแรกเกิดบางคนก็ยังสามารถออกแรงหักคอไก่ได้ด้วยมือเปล่า
ดังนั้นแม้ว่าร่างที่ตกลงมาจากบนท้องฟ้าในตอนนี้จะเป็นเพียงเด็กอายุ 12 ถึง 13 ปีเท่านั้น แต่ใครกันจะรับประกันได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้มีพลังที่สามารถทำลายล้างโลกทั้งใบได้?
มันจะเกิดอะไรขึ้นหากอีกฝ่ายเป็นบุตรที่ฟ้าส่งมาเพื่อให้ลงมาเรียนรู้โลกเบื้องล่าง?
ในเวลานี้ เขาก็เพิ่งจะมาถึงขอบเขตสกัดปราณขั้นหกเท่านั้น เขายังไม่สามารถต้านทานอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน!
[ สวัสดี! ระบบการบำเพ็ญเซียนอันทรงพลังจะให้บริการท่านด้วยใจจริงและจะปกป้องเส้นทางสู่การเป็นเซียนของท่าน!!]
[ เมื่อพื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้นเดินทางผ่านความว่างเปล่าระหว่างโลกนับไม่ถ้วน มันก็มักจะหลุดไปสัมผัสกับมิติที่แตกต่างกัน ดังนั้นกฎมิติของโลกนั้นๆ จึงไม่เสถียรและมักจะมีสิ่งมีชีวิตที่หลุดมาจากช่องว่างมิติและตกลงมาสู่พื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้นได้ ]
[ สิ่งมีชีวิตที่หลุดออกมาจากโลกเดิมโดยไม่ได้ตั้งใจจะถูกดึงกลับไปยังโลกเดิมของพวกเขา พวกเขาจะใช้เวลาอย่างมากที่สุดภายใน 12 วันก่อนจะกลับสู่โลกเดิม ]
“เข้าใจแล้ว”
ซุยเฮ็งถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกหลังจากได้ยินคำอธิบายของระบบ
แม้ว่าที่นี่จะเป็นโลกเซียนระดับสูง แต่มันก็ยังมีโลกระดับต่ำจำนวนมากอยู่ใกล้เคียง
ยกตัวอย่างเช่นโลกมนุษย์เป็นต้น
โดยทั่วไปแล้ว โลกระดับต่ำเช่นนี้ก็มักจะไม่ค่อยเสถียรสักเท่าไหร่
แน่นอนว่าข้อมูลที่เขากำลังใช้อ้างอิงในตอนนี้ 100 % นั้นก็มาจากนิยายที่เขาเคยอ่านมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เขาผ่อนคลายลง เขาก็ตระหนักได้ว่านี่คือพื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้น เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บเมื่ออยู่ที่นี่
แม้ว่าพวกปลาตัวใหญ่จะหลุดเข้ามาจริงๆ แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็จะไม่สามารถทำอะไรเขาได้
หลังจากได้ข้อสรุปเรื่องความปลอดภัยแล้ว ซุยเฮ็งก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์
เขาเดินเข้าไปในฟาร์มและตรวจสอบร่างที่ตกลงมาจากบนท้องฟ้า
มันเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ที่มีอายุประมาณ 12 ถึง 13 ปี เขาดูธรรมดามาก เสื้อผ้าของเขาขาดและผิวของเขาก็ดำคล้ำ นอกจากนี้ เขาก็ยังผอมแห้งจนเห็นกระดูก
บนหัวของเขามีรอยแผลเป็นวงคดเคี้ยว เมื่อดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว เขาก็ดูเหมือนกับสามเณร
เว้นก็แต่เด็กคนนี้มีผมที่ยาวมาก
“หิว หิว หิวเหลือเกิน…” เด็กน้อยพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัวในขณะที่ร่างกายของเขาขดเข้าหากันและสั่นเล็กน้อย
“…”
ซุยเฮ็งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา “ทำไมฉันถึงต้องเกิดมาใจดีขนาดนี้ด้วยกันนะ? เอาล่ะ ฉันจะช่วยชีวิตของนายเอาไว้ก็ได้”
พูดตามตรง มันก็ค่อนข้างเหงาที่ต้องมาอยู่ที่นี่คนเดียวเป็นเวลาสิบปี
เขาไม่มีคนให้คุยด้วยเลย และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องตลก
…
หงฟู่กุ่ยพยายามเปิดตาของเขาอย่างยากลำบาก แต่แล้วเขาก็ต้องหลับตาลงอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นเพราะเขาเห็นดวงแสงที่เปล่งแสงสีขาวสว่างออกมากำลังลอยอยู่เหนือหัวของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลังจากปรับสายตาให้ชินกับแสงได้แล้ว เขาก็สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้อย่างชัดเจน
ผนังนั้นขาวราวกับหิมะ การประดับตกแต่งเองก็มีความวิจิตรบรรจง โต๊ะและเก้าอี้ล้วนสะอาดสะอ้าน นอกจากนี้ เขาก็ยังกำลังนอนโดยถูกห่มเอาไว้ด้วยผ้าซาตินที่มีสีขาวราวกับหิมะ!
“ที่นี่คือที่ไหนกัน?” หงฟู่กุ่ยสับสนมากในขณะที่มองขึ้นไปที่ดวงแสงขนาดใหญ่ “หรือนี่จะเป็นโลกหลังความตาย? แต่ทำไมข้าถึงยังรู้สึกหิวอยู่หลังจากตายไปแล้วกันล่ะ?”
ครื้ด!
ประตูถูกผลักเปิดออก และชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีขาวราวกับหิมะก็เดินเข้ามาในห้อง เขาดูหล่อเหลาและสง่างามราวกับเป็นเทพที่ลงมาจากสรวงสวรรค์
เมื่อหงฟู่กุ่ยเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามา เขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและถามด้วยความสงสัย “ท่านคือเซียนจากสวรรค์อย่างงั้นหรอ?”
“ข้าเป็นเพียงมนุษย์ที่เดินอยู่บนเส้นทางสู่เซียน” ซุยเฮ็งยิ้มและเดินมาที่ข้างเตียงของหงฟู่กุ่ย “เป็นยังไงบ้าง เจ้าเจ็บป่วยตรงไหนไหม?”
“ไม่ ข้าก็แค่…” หงฟู่กุ่ยรีบส่ายหัว อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ท้องของเขาก็ได้ส่งเสียงคำราม
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าคงจะหิวแล้วสินะ” ซุยเฮ็งหัวเราะก่อนที่จะมองไปที่พื้นที่ว่างข้างๆ เขา เขาพูดเบาๆ ว่า “คนรับใช้สุดแกร่ง นายอยู่ไหน?”
“คนรับใช้สุดแกร่ง?” หงฟู่กุ่ยค่อนข้างสับสน เขาไม่รู้ว่าซุยเฮ็งกำลังพูดอะไรกับความว่างเปล่า แต่ฉากที่ปรากฏต่อหน้าในวินาทีถัดมาก็ทำให้เขาต้องตกตะลึง
จู่ๆ ชายชุดเหลืองสูงสามเมตรที่มีร่างกายล่ำสันกำยำก็ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งด้วยความเคารพและกล่าวว่า “คารวะท่านเซียน!”
ท่านเซียน!
ชายคนนี้เป็นเซียน!
หงฟู่กุ่ยมองไปที่ซุยเฮ็งด้วยความเหลือเชื่อ ดวงตาและปากของเขาเบิกกว้าง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
แล้วไหนบอกว่าเป็นคนธรรมดาไง?!
ในเวลานี้ เขาก็ได้รู้แจ้งและคุกเข่าลงเสียงดังในทันที เขาก้มกราบลงกับพื้นและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ท่านเซียน โปรดชี้แนะวิธีการช่วยโลกแก่ข้าด้วยเถิด!”
“เอ่อ นี่มัน…” ซุยเฮ็งรู้สึกสมองชาเล็กน้อย
เขาแค่ต้องการจะสั่งให้คนรับใช้สุดแกร่งไปนำอาหารมาให้อีกฝ่ายก็เท่านั้น แบบนั้นแล้วทำไมอีกฝ่ายถึงได้มาคุกเข่าก้มกราบเขากัน?
“เอาล่ะ ลุกขึ้นก่อน เจ้าไปหาอะไรกินก่อนเถอะ” ซุยเฮ็งยกมือขึ้นเบาๆ และคลื่นพลังปราณก็พุ่งออกมาพยุงตัวหงฟู่กุ่ยให้ยืนขึ้นในทันที
แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักคาถาเวทย์ใดๆ แต่พลังปราณของเขาเองก็มีคุณสมบัติลึกลับบางอย่าง ซึ่งมันก็ค่อนข้างง่ายสำหรับเขาที่จะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของหงฟู่กุ่ย นี่ก็เป็นผลมาจากเคล็ดวิชาเซียนอย่างแน่นอน!
ชายคนนี้สามารถควบคุมพลังปราณของตนและทำให้เขายืนขึ้นได้!
นี่คือตำนานแห่งโลกเซียน มันเป็นสิ่งที่มีเพียงเทพเซียนเท่านั้นที่จะทำได้!
เขายิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าผู้มีพระคุณของเขาเป็นเซียนที่อยู่อย่างสันโดษ!
อย่างไรก็ตาม หงฟู่กุ่ยก็ไม่ได้ก้มลงคุกเข่าและกราบไหว้บูชาซุยเฮ็งอีกต่อไป
เขาเชื่อฟังซุยเฮ็งและรออาหารเย็นแทน
เขาสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก และต่อมา เขาก็ยังถูกหลอกและขายให้กับวัด เขาเคยเป็นเณรอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วเขาก็หลบหนีออกมาอยู่ข้างนอกอย่างเนิ่นนาน และในที่สุด เขาก็กลายมาเป็นขอทานและได้เผชิญเข้ากับโฉมหน้าที่แท้จริงของโลกที่เขากำลังอยู่
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงรู้ดีว่าเมื่อเขาต้องการที่จะได้รับบางสิ่งจากผู้อื่น เขาก็จะไม่สามารถบังคับให้มันเป็นไปตามความปรารถนาของตนเองได้
เขาไม่สามารถใช้ความน่าเห็นอกเห็นใจของเขาเพื่อบังคับอีกฝ่ายได้
เขาควรจะแสดงคุณค่าของตนเองออกมาก่อน
จากนั้นเขาก็ถึงจะสามารถพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอื่นได้
ดังนั้นแล้ว ก่อนที่เขาจะแสดงคุณค่าของตัวเองออกมาได้ มันก็จะเป็นการดีที่สุดที่เขาจะเชื่อฟังอีกฝ่าย
“ข้าไม่สามารถทิ้งความประทับใจที่ไม่ดีใดๆ ให้กับท่านเซียนได้” หงฟู่กุ่ยคิด
อย่างไรก็ตาม เมื่อคนรับใช้สุดแกร่งเตรียมโต๊ะอาหารอันโอชะเสร็จ เขาก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป
เขาจ้องไปที่ไก่ย่าง เป็ดย่าง และเนื้อต่างๆ บนโต๊ะโดยไม่กะพริบตา
หงฟู่กุ่ยผู้น่าสงสาร เขาไม่เคยได้กินเนื้อเกินสองคำมาก่อน
“นี่มันเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ปกติคนป่วยเขากินแบบนี้กันที่ไหนเล่า?” ซุยเฮ็งกลอกตาและพูดต่อว่า “ไปเอาโจ๊กขาวมา”
มันไม่ตลกเลยที่จะเลี้ยงคนป่วยผู้หิวโหยด้วยอาหารงานเลี้ยงชุดใหญ่!
“เข้าใจแล้วท่านเซียน!” คนรับใช้สุดแกร่งพยักหน้า
ด้วยการโบกมือ อาหารทั้งหมดบนโต๊ะก็หายไปและถูกแทนที่ด้วยโจ๊กข้าวหอมหม้อใหญ่และผักดองขนาดเล็กสองชาม
“เอ้านี่ กินซะสิ” ซุยเฮ็งชี้ไปที่โจ๊กข้ามหอมธรรมดาๆ และผักดอง
“ตอนนี้ร่างกายของเจ้ายังไม่เหมาะที่จะกินเนื้อสัตว์ เพราะงั้นเจ้าก็กินโจ๊กเพื่อบำรุงร่างกายไปก่อนนะ”
“…” ในขณะนี้ หงฟู่กุ่ยก็เงียบลง เขามองหม้อโจ๊กธรรมดาๆ บนโต๊ะด้วยความงุนงง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและเขาก็ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ
ตุ้บ!
ทันใดนั้นเขาก็คุกเข่าและก้มหน้ากราบลงกับพื้น น้ำเสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อยในขณะที่พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกมันอกตัญญู ข้าไม่สามารถทำให้พวกท่านได้กินแม้แต่โจ๊กข้าวสักชามก่อนตาย!”