บทที่ 10: ฉีฉีกับศาสตร์กระบี่เซียนอรุณ
บทที่ 10: ฉีฉีกับศาสตร์กระบี่เซียนอรุณ
ในความเป็นจริง ซุยเฮ็งก็ไม่คิดว่าเจียงฉีฉีจะมาขอให้เขาสอนวิชากระบี่เซียนให้กับเธอ
ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่เรียกว่าวิชากระบี่เซียนนั้นก็มีพื้นฐานมาจากวิชากระบี่ถนอมชีวาของเจียงฉีฉี
และเป็นเพราะวิชากระบี่นี้เอง เขาจึงสามารถหมุนเวียนพลังปราณในกายได้อย่างราบรื่นมากขึ้น
พูดได้ว่ามันเป็นวิธีหนึ่งในการช่วยให้เขาสามารถฝ่าฟันขอบเขตก่อเกิดรากฐานไปได้
มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะบอกว่าวิชากระบี่ถนอมชีวาของเจียงฉีฉีนั้นได้ 'ช่วย' ซุยเฮ็งให้บรรลุเต๋า
หากเขาไม่มีวิชากระบี่นี้ เขาก็อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าสิบหรือร้อยปีในการฝ่าฟันขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นกลาง
ความโปรดปรานนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถมองข้ามได้
และแม้ว่าเจียงฉีฉีเองจะไม่ทราบเกี่ยวกับความโปรดปรานนี้ แต่ซุยเฮ็งก็ไม่คิดจะเพิกเฉยต่อมันอยู่ดี
เนื่องจากเด็กหญิงตัวน้อยต้องการจะเรียนรู้วิชากระบี่เซียน ดังนั้นเขาก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อมองหาวิชากระบี่ที่เหมาะสมกับเธอที่สุด
สำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตก่อเกิดรากฐาน พลังปราณก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของพวกเขาแล้ว พวกเขาสามารถใช้มันได้ตามต้องการ
และในตอนนี้ เขาก็มีวิชากระบี่ถนอมชีวาเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงสามารถทดลองสร้างวิชากระบี่ขึ้นมาได้
ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน เขาก็ได้สร้างวิชากระบี่ที่แตกต่างกันออกมาถึงหลายร้อยแบบ
ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถแสดง “วรยุทธ์” ได้เท่านั้น แต่เขายังสามารถใช้จิตสั่งให้กระบี่บินขึ้นได้อีกด้วย!
ก่อนหน้านี้ เขาก็ยังไม่ค้นพบวิชากระบี่ใดๆ ดังนั้นเขาจึงสามารถทำได้เพียงนำกระบี่สำหรับผู้เริ่มต้นที่เขามีไปตัดไม้ผ่าฟืนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ทันทีที่วิชากระบี่ถูกค้นพบ ซุยเฮ็งก็รู้สึกราวกับว่าเขาสามารถฆ่าคนหลายร้อยคนได้อย่างง่ายดาย
สำหรับเขาแล้ว นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นการระเบิดพลังครั้งใหญ่
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงใช้เวลาที่เหลือตลอดทั้งคืนเพื่อสร้างและสรุปหาวิชากระบี่ที่เหมาะสมกับเจียงฉีฉี
“ถึงแม้ว่าพลังของวิชากระบี่ถนอมชีวาเองก็ไม่ธรรมดา แต่การหมุนเวียนปราณของมันก็ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์ มันอธิบายเพียงการไหลเวียนของปราณและวิธีการควบคุมร่างกายกับจิตวิญญาณเท่านั้น”
“มันไม่มีทางที่จะปรับแต่งปราณแก่นแท้สวรรค์ปฐพีเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระบี่ได้ และนี่ก็น่าจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับวิชากระบี่ขั้นสูงที่สมบูรณ์แบบ”
ซุยเฮ็งได้ค้นพบปัญหานี้มานานแล้ว
หากไม่ใช่เพราะเขามีความสามารถในการควบคุมพลังปราณแก่นแท้สวรรค์ปฐพีได้ เขาก็คงจะไม่สามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของวิชากระบี่นี้ออกมาได้
ในตอนนี้ เมื่อใช้มันเป็นแหล่งอ้างอิงเพื่อสรุปเ
วิธีการปรับแต่งปราณสวรรค์ปฐพีในโลกภายนอกเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้วิชากระบี่นี้ไม่ธรรมดา
ถ้าไม่ใช่เพราะส่วนนี้ วิชากระบี่ถนอมชีวาก็คงจะเป็นเพียงวิชากระบี่ที่เอาไว้ถนอมชีวาจริงๆ
บางทีนักพรตเฒ่าอาจจะต้องการให้เจียงฉีฉีใช้วิชากระบี่นี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเธอ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สอนศาสตร์การฝึกฝนระดับสูงนี้ให้กับเธอ
นั่นสมเหตุสมผลมาก
เพื่อสร้าง “วิชากระบี่เซียน” การรับรู้ถึงโลกภายนอกก็มีความสำคัญมาก
ประสบการณ์ส่วนใหญ่ของซุยเฮ็งเองก็มาจากสิ่งเหล่านี้
ในตอนรุ่งสาง ในที่สุดเขาก็ได้สร้างวิชากระบี่ที่เหมาะสำหรับเจียงฉีฉีและตัวเขาเองขึ้นมาจนเสร็จ
นี่เป็นการผสมผสานระหว่างศาสตร์การฝึกตนควบคู่ไปกับศาสตร์การฝึกวรยุทธ์
วิชากระบี่นี้สามารถดึงเอาพลังปราณแห่งสวรรค์และปฐพีออกมาได้
และในเวลาเดียวกัน มันก็ยังสามารถปลดปล่อยแสงกระบี่ออกมาได้
หากมีคนฝึกมันจนถึงจุดสูงสุด พวกเขาก็จะมีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขอบเขตก่อเกิดรากฐาน และเมื่อกระบี่ถูกดึงออกจากฝัก แสงสีทองที่หนานับพันฟุตก็จะแผ่ออกมาเต็มท้องฟ้าราวกับเซียนกำลังลงมายังโลก
เขาตั้งชื่อมันว่าศาสตร์กระบี่เซียนอรุณ
“แม้ว่าวิชากระบี่นี้จะสามารถฝึกได้ถึงแค่ขอบเขตก่อเกิดรากฐานเท่านั้น แต่เมื่อเธอได้ออกไปท่องยังโลกกว้างแล้ว เธอก็จะสามารถปรับปรุงและพัฒนามันขึ้นเองได้”
“ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยศักยภาพของมัน เธอก็จะสามารถถูกมองว่าเป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบได้ แม้แต่ในโลกแห่งวรยุทธ์ระดับสูง ความแข็งแกร่งนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับเธอที่จะผ่านเข้าสู่ธรณีประตู”
ซุยเฮ็งพึงพอใจมากกับผลงานการสร้างของเขาในครั้งนี้
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
เจียงฉีฉีนำเก้าอี้ขนาดเล็กออกมากับตัว เธอนั่งรออยู่หน้าประตูวิลล่าของซุยเฮ็ง
เธอกำลังรอให้ซุยเฮ็งออกมา
เมื่อตะวันเผยขึ้นบนขอบฟ้า ประตูวิลล่าก็เปิดออกในที่สุด
ดวงตาของเจียงฉีฉีเป็นประกายและเธอก็ดีดตัวขึ้นด้วยความตื่นเต้น “พี่ใหญ่เซียน!”
เธอดูมีชีวิตชีวามาก
“เจ้านั่งรออยู่ที่นี่ทั้งคืนเลยหรอ?” ซุยเฮ็งมองไปรอบๆ และถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเจ้าถึงไม่กลับไปที่ห้องของเจ้า?”
“ข้ากลัวว่าท่านจะไม่เห็นข้าเมื่อท่านออกมา” เจียงฉีฉียิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ท่านบอกว่าท่านต้องการให้ข้ามาพบท่านที่นี่ในตอนเช้า ดังนั้นข้าจึงไม่อยากจะปล่อยให้ท่านต้องเป็นฝ่ายรอข้า”
“นี่เจ้ายังไม่ได้กินอะไรเลยใช่ไหม?” ซุยเฮ็งไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เอ่อ นี่…” เจียงฉีฉีแสดงสีหน้าเหมือนกับเด็กที่ทำอะไรผิด เธอก้มศีรษะลงและอธิบายว่า “แม้ว่าข้าจะยังไม่ได้กินอะไร แต่ข้าก็รู้สึกอบอุ่นอยู่ในท้องของข้าเสมอ เพราะแบบนี้มันเลยทำให้ข้าไม่รู้สึกหิว”
ขณะที่เธอพูด ท้องของเธอก็ร้องออกมาในทันที ใบหน้าของเธอแดงขึ้นเล็กน้อย เธอมองไปที่ซุยเฮ็งและพูดว่า “พี่ใหญ่เซียน ท้องข้ามันยังอุ่นอยู่เลยจริงๆ นะ ถ้าไม่เชื่อ ท่านก็ลองสัมผัสมันดูสิ”
เด็กหญิงตัวเล็กชี้ไปที่ท้องของเธอราวกับว่าเธอต้องการจะพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้โกหก
“นั่นคือพลังวิญญาณที่เหลือตกค้างจากชามบะหมี่ที่เจ้ากินไปก่อนหน้านี้ มันคงอยู่ได้ไม่นานหรอก” ซุยเฮ็งเพิกเฉยต่อการกระทำของเด็กหญิงและกล่าวว่า “ไปกันเถอะ ไปกินข้าวกันก่อน แล้วเดี๋ยวข้าจะสอนวิชากระบี่ให้ทีหลัง”
“เข้าใจแล้ว” เจียงฉีฉีพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและเดินตามซุยเฮ็งไป
เนื่องจากซุยเฮ็งคิดว่าตนเองได้รับการยอมรับจากอีกฝ่ายแล้ว ดังนั้นเขาจึงเรียกคนรับใช้สุดแกร่งออกมาและสั่งให้อีกฝ่ายเริ่มทำอาหาร
เมื่อเห็นคนรับใช้สุดแกร่ง เจียงฉีฉีก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความตกใจออกมา จากนั้นเธอก็มองดูอีกฝ่ายด้วยความสนใจ
มันเป็นเรื่องน่าตลกที่ได้เห็นชายร่างกำยำสูงสามเมตรกำลังยืนทำอาหารอยู่ในครัวเล็กๆ
...
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ซุยเฮ็งก็พาเจียงฉีฉีไปที่ห้องทำสมาธิ
แม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าห้อง แต่จริงๆ แล้วมันก็มีขนาดใหญ่มากกว่า 70 ตารางเมตร
มันใหญ่มาก!
และมันก็เพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะใช้มันเพื่อถ่ายทอดวิชาดาบ
“วิชากระบี่ที่ข้าจะสอนให้กับเจ้านั้นเรียกว่าศาสตร์กระบี่เซียนอรุณ ตราบใดที่เจ้าฝึกมันอย่างขยันขันแข็ง เจ้าก็จะสามารถปลดปล่อยพลังแบบที่ข้าทำเมื่อวานนี้ออกมาได้”
ซุยเฮ็งแนะนำศาสตร์กระบี่เซียนอรุณสั้นๆ จากนั้นเขาก็พูดอย่างจริงจังว่า “เมื่อวิชากระบี่นี้ถูกส่งต่อให้กับเจ้าแล้ว เจ้าก็จะเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของข้าในโลกของเจ้า เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าเจ้าจะใช้วิชากระบี่ที่ข้าสั่งสอนเจ้าไปเพื่อช่วยเหลือผู้คนและเปลี่ยนแปลงโลกตามอย่างที่เจ้าได้เคยพูดไป?”
“ข้ามั่นใจ! พี่ใหญ่เซียน!” เจียงฉีฉีกล่าวอย่างหนักแน่น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ข้าจะทำให้ได้!”