ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 132 เมฆากระจาย พิรุณโปรยปราย
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 132 เมฆากระจาย พิรุณโปรยปราย
แปลโดย iPAT
เหตุใดเย่ต้าฉวนจะต้องปฏิเสธ? เขารีบตกลงและคว้ามือหลี่ฉิงซาน “เจ้าคือผู้นำพาความโชคดีมาให้ข้าจริงๆ ไม่สิ ท่านขุนนาง!” เขาพึ่งจำได้ว่าสถานะปัจจุบันของหลี่ฉิงซานแตกต่างไปจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง
หลี่ฉิงซานถาม “ท่านหยางและคนอื่นๆอยู่ที่ใด?”
เย่ต้าฉวนกล่าว “พวกเขากลับสำนักกำปั้นเหล็กเพื่อจัดระเบียบ สำนักกำปั้นเหล็กแห่งเมืองเจียเผิงกล่าวว่าพวกเขาต้องการมาเยี่ยมท่านในตอนค่ำแต่ข้าไม่เคยคิดว่าจะพบท่านก่อน”
เจ้าหน้าที่สิบคนเดินเข้ามาด้านหลังหลี่ฉิงซาน “ท่านหลี่!”
หลี่ฉิงซานยิ้ม “นี่คือเจ้านายของพวกเจ้า ท่านเย่!”
“ท่านเย่!”
เย่ต้าฉวนยืนอยู่ด้านหน้าหอเมฆาพิรุณด้วยความรู้สึกตื่นเต้น เขาได้มาหอโคมแดงที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเมืองเจียเผิง
หลี่ฉิงซานกล่าว “ท่านเย่ อย่าลืมว่าเรามาที่นี่ในวันนี้เพื่อสร้างปัญหา”
เย่ต้าฉวนตอบ “ข้าไม่ลืม ข้าไม่ลืม การรีดเค้นเงินออกจากกระเป๋าของพวกเขาคือสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก” หลังจากนั้นเขาก็ออกคำสั่ง “บุกเข้าไปและกวาดล้างสถานที่แห่งนี้”
“รับทราบ!” เจ้าหน้าที่พุ่งเข้าไปราวกับหมาป่าหรือเสือ มันทำให้สตรีทุกคนในนั้นตกใจมาก ผู้คุมต้องออกมาตรวจสอบสถานการณ์ แต่เมื่อพวกเขาเห็นผู้นำหายนะมาคือหลี่ฉิงซาน พวกเขาก็ไม่กล้าหยุดเจ้าหน้าที่เหล่านั้น
เย่ต้าฉวนยืมพลังของหลี่ฉิงซานกล่าว “เจ้านายของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?”
หญิงผู้หนึ่งตอบด้วยความหวาดกลัว “เราไม่ทราบเช่นกัน”
เย่ต้าฉวนกล่าวต่อ “ค้น!”
หลี่ฉิงซานยืนอยู่ด้านข้างและเฝ้ามองเจ้าหน้าที่ตรวจค้นไปทั่ว เขายังลอบเตือนเย่ต้าฉวนอย่างลับๆ “ดูเหมือนพวกเขาจะหนีไปแล้ว อาจมีคลังสมบัติอยู่ที่นี่เหมือนฐานทัพของป้อมวายุทมิฬ”
ดวงตาของเย่ต้าฉวนส่องประกายขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำว่าคลังสมบัติ “ค้นหาห้องใต้ดิน!” ด้วยสัญชาตญาณอันแหลมคมของเขาที่มีต่อเงิน เขาพบกลไกห้องใต้ดินอย่างรวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมจากหลี่ฉิงซาน
เย่ต้าฉวนมองประตูที่มืดครึ้มและรู้สึกกลัวเล็กน้อย แต่ความปรารถนาในสมบัติยังคงได้รับชัยชนะ เขาสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าไปก่อนจะดึงหลี่ฉิงซานเข้าไปด้วย
ดังคาด พวกเขาพบเด็กสาวที่ถูกขังในไม่ช้า นี่พิสูจน์ให้เห็นถึงความผิดของหอเมฆาพิรุณอย่างชัดเจน สำหรับการหายตัวไปของจ้าวเหลียงฉิงและฟู่หรง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหลบหนีความผิด
เย่ต้าฉวนไม่ผิดหวัง แม้หลี่ฉิงซานจะนำกระเป๋าร้อยสมบัติออกไปแต่วังใต้ดินยังมีเครื่องเงินและทองคำอยู่มากมาย
“ขอแสดงความยินดีกับท่านเย่ ท่านสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ทันทีที่มาถึงเมืองเจียเผิง” หลี่ฉิงซานยิ้มก่อนจะมองไปที่ภาพวาดของสตรีที่เต้นรำอยู่ในน้ำ เขาดึงดาบวายุออกมา ด้วยการสะบัดมันออกไปอย่างไม่ตั้งใจ ปลายจมูกของผู้คุมหอเมฆาวายุถูกตัดออกขณะที่เขากระเด็นถอยหลังไปกระแทกกับกำแพงที่อยู่ใกล้ๆ
“หากพวกเจ้าไม่อธิบายสิ่งที่เราค้นพบในวันนี้ ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ออกไป มิฉะนั้นพวกเจ้าจะถูกประหารอย่างไร้ปรานี!” จ้าวเหลียงฉิงย่อมไม่ลงมือลักพาตัวเด็กหญิงเป็นการส่วนตัว ผู้คุมเหล่านี้ต้องเป็นคนลงมืออย่างแน่นอน
…..
“อันใด!? จ้าวเหลียฉิงหายตัวไปงั้นหรือ?” จ้าวจื่อป๋อกระโดดขึ้นจากเก้าอี้และมองเก้อเจี้ยนที่เข้ามารายงาน
เก้อเจี้ยนกล่าว “ถูกต้อง วันนี้หลี่ฉิงซานนำสมุดบัญชีบางส่วนของหอเมฆาพิรุณไปมอบให้โจวเหวินปิงและได้รับอนุญาตให้ไปตรวจสอบหอเมฆาพิรุณอีกครั้ง ในตอนท้าย ไม่เพียงจ้าวหลียงฉิงและฟู่หรงจะไม่อยู่ พวกเขายังพบเด็กหญิงที่ถูกลักพาตัวมาเป็นจำนวนมากอยู่ในวังใต้ดิน พวกนางถูกนำตัวไปยังที่ทำการเจ้าเมืองแล้ว หลังจากโจวเหวินปิงซักถาม เขาตัดสินว่าจ้าวเหลียงฉิงมีความผิดและออกคำสั่งให้จับตัวเขา โจวเหวินปิงยังยึดทรัพย์สินทั้งหมดของหอเมฆาพิรุณอีกด้วย”
จ้าวจื่อป๋อนั่งลงอย่างช้าๆ หากจ้าวเหลียงฉิงยังอยู่ที่นี่ ไม่มีผู้ใดสามารถลงโทษเขาได้ บางทีเขาอาจกลับไปที่นิกายเพื่อหามาตรการตอบโต้ซึ่งเป็นเหตุผลที่หลี่ฉิงซานได้รับโอกาสทั้งหมดนี้
เขาพยายามทำความเข้าใจเรื่องนี้ ในวินาทีที่เขาสงสัยว่าจ้าวเหลียงฉิงอาจตายแล้ว เขาก็รีบปัดความคิดดังกล่าวออกไปทันที ผู้ใดจะสามารถฆ่าจ้าวเหลียงฉิง เขาอยู่บนจุดสูงสุดของขั้นห้า อีกก้าวเดียวเขาจะกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นหก ในเมืองเจียเผิง คนเดียที่สามารถฆ่าตัวตนเช่นนี้มีเพียงจ้าวจื่อป๋อและโจวเหวินปิง อย่างไรก็ตามโจวเหวินปิงจะไม่มีวันเสี่ยงทำเรื่องเช่นนี้และกลายเป็นศัตรูของนิกายเมฆาพิรุณ
มีเพียงหลี่ฉิงซานเท่านั้นที่กล้าพอจะทำเรื่องบ้าบิ่นดังกล่าว แต่หลี่ฉิงซานเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวเหลียงฉิง
เฉียนหรงจื่อดูเหมือนกำลังครุ่นคิดเช่นกัน หลี่ฉิงซานเป็นตัวปัญหา จ้าวจื่อป๋อวางกับดักเขาที่หอเมฆาพิรุณเมื่อคืนที่ผ่านมาแต่วันนี้หอเมฆาพิรุณกลับถูกทำลายไปแล้ว
โจวเหวินปิงไม่เคยคาดหวังว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ หลังจากส่งเจ้าหน้าที่สองสามคนไปก่อกวนพวกเขาเล็กน้อย หอเมฆาพิรุณกลับถูกกวาดล้าง ผู้หญิงทุกคนอธิบายสิ่งที่ต้องเผชิญด้วยน้ำตาและเปิดเผยความชั่วร้ายทั้งหมดของหอเมฆาพิรุณ พวกนางยังบอกว่าคนรับใช้และผู้คุมหลายคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ขณะที่จ้าวเหลียงฉิงและฟู่หรงเป็นสองคนที่อยู่เบื้องหลังสิ่งเลวร้ายทั้งหมด
โจวเหวินปิงมีอำนาจอย่างเต็มที่ในเมืองเจียเผิง ด้วยเหตุนี้ศีรษะมากกว่าสิบหัวจึงถกตัดออกจากร่าง นักโทษหลายสิบคนถูกโยนเข้าคุก เขายังออกหมายจับจ้าวเหลียงฉิงและฟู่หรง จากนั้นเขาก็เขียนรายงานไปยังเมืองชิงเหอเพื่อให้ผู้ว่ามณฑลแจ้งนิกายเมฆาพิรุณว่าสาวกของพวกเขาก่อเหตุอาชญากรรม ดังนั้นพวกเขาจะต้องอธิบายเรื่องนี้
ตั้งแต่พวกเขาอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิต้าเซี่ย พวกเขาก็ต้องทำตามกฎหมาย ในเวลาเช่นนี้แม้แต่นิกายเมฆาพิรุณก็ยังถูกบังคับให้ไล่ล่าจ้าวเหลียงฉิง
โจวเหวินปิงใช้เวลาช่วงบ่ายทำเรื่องทั้งหมด นี่ทำให้หลี่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจมาก “ท่านช่างน่าประทับใจนัก”
โจวเหวินปิงเดินไปรอบๆและถามเบาๆ “บอกข้าตามตรง เจ้าอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ใช่หรือไม่?”
หลี่ฉิงซานกล่าว “หากข้ามีกำลังพอ”
โจวเหวินปิงมองหลี่ฉิงซานพักใหญ่แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติจากการแสดงออกของเด็กหนุ่ม เขารู้สึกว่าหลี่ฉิงซานต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่เขาไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัด เขาตบไหล่หลี่ฉิงซาน “เอาล่ะ ครั้งนี้ถือว่าเจ้าโชคดี”
ในจังหวะนี้เฉียนหรงจื่อและเตียวเฟยมารายงานตัวกับโจวเหวินปิง
เฉียนหรงจื่อกล่าวด้วยท่าทางเป็นมิตร “เมื่อคืนเจ้าช่างน่าประทับใจนัก ฉิงซาน เจ้าไม่ควรทำเรื่องทั้งหมดโดยไม่มีข้า พวกเรามาพร้อมกัน แล้วเหตุใดเจ้าไม่เรียกข้าไปด้วย?”
เตียวเฟยเริ่มเข้าใจข้อพิพาทของหลี่ฉิงซานกับจ้าวจื่อป๋อในที่สุด เขาไม่กล้าหาญพอที่จะทำให้หลี่ฉิงซานขุ่นเคืองแต่เขาก็ไม่ต้องการสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงทักทายอย่างง่ายๆเท่านั้น
หลี่ฉิงซานยิ้มให้พวกเขาแต่ไม่ตอบกลับ เขากล่าวลาโจวเหวินปิง จากนั้นเย่ต้าฉวนก็ลากเขาไปหาหยางซ่งเพื่อเฉลิมฉลอง
เตียวเฟยตะโกนตามหลัง “ฉิงซาน รอเดี๋ยว!”
หลี่ฉิงซานมองย้อนกลับไป “มีเรื่องใด?”
เตียวเฟยรู้สึกหัวใจเต้นแรง เขาต้องสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนจะเปิดปากกล่าว “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เราต้องทำภารกิจด้วยกัน คืนนี้เราควรพูดคุยกันก่อนหรือไม่?”
หลี่ฉิงซานขมวดคิ้ว “ภารกิจด้วยกัน?”
โจวเหวินปิงอธิบาย “นี่เป็นกฎของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มาตลอด หลังจากเข้าสู่หน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ เจ้าต้องผ่านภารกิจทดสอบสองสามอย่างก่อนที่เจ้าจะได้รับการยอมรับ หลังจากนั้นเจ้ายังต้องไปเมืองชิงเหอเพื่อพบผู้บัญชาการทั้งสอง โดยปกติแล้วมีคนน้อยมากที่จะล้มเหลวในภารกิจทดสอบ ส่วนใหญ่มันเป็นเพียงพิธีการ อย่างไรก็ตามหากเจ้าไม่ยอมรับภารกิจ จ้าวจื่อป๋อก็จะมีข้ออ้างไล่เจ้าออก”
หลี่ฉิงซานกล่าวกับเตียวเฟย “เอาล่ะ เราจะคุยกัน”
โจวเหวินปิงไม่สนใจตระกูลเล็กเช่นตระกูลเฉียวจากเมืองวายุบรรพกาลแต่เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเกี่ยวกับภูมิหลังของเตียวเฟย “ภูเขาเถาองุ่นเขียว? อาจารย์ของเจ้าคือผู้อาวุโสสุราองุ่นเขียวงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง”
“อาจารย์ของเจ้าอนุญาตให้เจ้าเข้าร่วมหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์หรือไม่?” เหตุผลที่โจวเหวินปิงถามเพราะตระกูลแตกต่างจากนิกาย ตระกูลต่างๆที่ตั้งอยู่ในเมืองอยู่ภายในการปกครองของจักรวรรดิและเต็มใจให้สมาชิกตระกูลทำงานให้จักรวรรดิ อย่างไรก็ตามนิกายที่ตั้งอยู่บนภูเขาหรือถิ่นทุรกันดารล้วนมีกฎของตนเอง พวกเขามักไม่เต็มใจให้สาวกเข้าร่วมกับหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์
ใบหน้าของเตียวเฟยกลายเป็นมืดครึ้ม
โจวเหวินปิงไม่ได้ถามต่อ เขากล่าว “พวกเจ้าไปได้แล้ว”
หลังจากออกมา เย่ต้าฉวนก็เปิดปากกล่าว “พวกเจ้าทั้งคู่ล้วนเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์วัยเยาว์ที่มีพรสวรรค์ ข้า เย่ต้าฉวน รองเจ้าเมือง เราต้องทำงานร่วมกัน พวกเจ้าอยากไปดื่มกับพวกเราหรือไม่?”
เฉียนหรงจื่อและเตียวเฟยมีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับหลี่ฉิงซาน แต่เมื่อหลี่ฉิงซานเปิดปากกล่าว “ไปดื่มด้วยกันเถอะ” ทั้งสองจึงตอบตกลง
คนทั้งสี่เดินไปตามถนนสายหลัก แม้มันจะเป็นเวลาใกล้ค่ำแต่ผู้คนยังพลุกพล่าน อย่างไรก็ตามเมื่อผู้คนเห็นชุดเครื่องแบบผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ พวกเขาก็จะหลีกทางให้ตั้งแต่ระยะไกล กระทั่งเกวียนก็ยังหยุดให้พวกเขาเดินผ่าน
หลี่ฉิงซานมาถึงโรงเตี้ยมที่เย่ต้าฉวนนัดหมายกับหยางซ่งและคนอื่นๆในที่สุด เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องส่วนตัวชั้นบน หยางซ่งและหลี่หลงก็รอพวกเขาอยู่แล้ว ทันทีที่พวกเขาเห็นหลี่ฉิงซาน พวกเขาก็รีบยืนขึ้น “ฉิงซาน เจ้าเดินทางเร็วมาก”
หลี่ฉิงซานแนะนำเพื่อนร่วมงานสองคนของเขาอย่างไม่เป็นทางการ หยางซ่งกล่าว “พวกเจ้าล้วนมีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยม ยินดีที่ได้รู้จัก” อย่างไรก็ตามภายในใจเขากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ท่ามกลางคนทั้งสาม หลี่ฉิงซานมีการบ่มเพาะและภูมิหลังที่อ่อนแอที่สุดแต่ดูเหมือนคนทั้งสองจะติดตามเขาในฐานะผู้นำกลุ่มโดยไม่คัดค้าน
เตียวเฟยและเฉียนหรงจื่อทักทายอย่างมีมารยาท ด้วยการบ่มเพาะและตัวตนของพวกเขา พวกเขาไม่จำเป็นต้องสุภาพกับหยางซ่งมากนัก
หลังจากดื่มสุราไปสองสามจอก หยางซ่งก็ถามหลี่ฉิงซานเกี่ยวกับการฝึกพลังปราณของเขา
หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้าพึ่งบรรลุขั้นสาม ข้าอาจต้องการเวลาอีกสักระยะเพื่อไปถึงขั้นสี่”
หยางซ่งรู้สึกประหลาดใจ การบ่มเพาะพลังปราณเป็นเรื่องยาก เขาไม่แปลกใจมากนักที่หลี่ฉิงซานบรรลุขั้นหนึ่งของเคล็ดวิชาการบ่มเพาะพลังปราณเบื้องต้นอย่างรวดเร็วและกระทั่งก้าวเข้าสู่ขั้นสอง แต่เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น เขายังสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นสาม นี่เป็นความเร็วที่ค่อนข้างน่าประทับใจ “เพียงเจ็ดหรือแปดวัน เจ้าก็บรรลุขั้นนี้ ฉิงซาน ดูเหมือนข้าจะประเมินเจ้าต่ำเกินไป”
“กระไรนะ!? เจ็ดหรือแปดวัน?” เตียวเฟยและเฉียนหรงจื่อตกตะลึง จากนั้นพวกเขาก็เรียนรู้ว่าหลี่ฉิงซานเริ่มบ่มเพาะพลังปราณอย่างเป็นทางการมายังไม่ถึงสิบวันแต่กลับบรรลุถึงระดับนี้แล้ว เขาถือเป็นอัจฉริยะในการบ่มเพาะพลังปราณในตำนานอย่างแท้จริง
หลี่ฉิงซานยิ้มและไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม จะมีใครรู้ว่าเขากินเม็ดยารวบรวมพลังปราณไปมากเพียงใด เขายังมีแหวนมิติของผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำที่ช่วยชำระล้างพลังปราณ หากเขาไม่ประสบความสำเร็จ พรสวรรค์ของเขาก็ถือว่าเลวร้ายมาก