ตอนที่ 48 : กลับจากมหามิติ
ชายผอมแห้งลืมตาด้วยความยากลำบากและมองชายสวมชุดหรูหราที่เพิ่งจะเรียกเขา
“ข้าไม่เป็นไร อู๋ซุน ข้าแค่ได้รับพลังสะท้อนกลับเพราะใช้สัมผัสมากเกินไป”
ชายผอมแห้งกล่าว
บุรุษชุดหรูมิใช่ใครอื่น เขาคือเจ้าเมืองอู๋หลิม อู๋ซุนผู้ที่กำลังมองร่างของชายผอมแห้งด้วยความกระวนกระวาย เขามองบาดแผลใหญ่ที่อยู่บนลำตัวของชายผอมแห้ง แผลนั้นดูเหมือนพยายามจะฟื้นฟูแต่มันก็ถูกสสารสีดำกัดกร่อนไป
“แต่พี่ใหญ่ ทำไมต้องฝืนตัวเองทั้งที่ยังไม่รักษาตัวดีเล่า?”
อู๋ซุนถาม
ดวงตาของชายผอมแห้งมองดูอักษรสลักที่มีอยู่ทั่วถ้ำและมองผ่านอักษรที่ลำเลียงโลหิตอยู่ เขาจ้องมองและใช้ความคิดก่อนจะหรี่ตา
“เจ้าต้องเพิ่มโลหิตสังเวยมากขึ้น เราอาจจะต้องเปลี่ยนบางแผนการของเราในเร็ววันนี้”
ชายผอมแห้งกล่าว
“ย่อมได้พี่ใหญ่ ข้าจ้างทหารรับจ้างไปออกล่าสัตว์อสูรเพิ่มแล้ว แต่ทำไมเราต้องเปลี่ยนแผนในยามนี้เล่า? เราจะช้าลงไปอีกหลายเดือนเลยนะ”
อู๋ซุนถาม
“ทำไมจะไม่มีใครรู้ล่ะ? อย่างน้อยนิกายใหญ่ก็ต้องรู้แล้วว่ามีคนกำลังจะกลายเป็นเซียนหลังจากหลายพันปี”
“ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด มันซ่อนตัวได้อย่างดีมาก หากจะรอดพ้นจากสายตาและหูของนิกายใหญ่ได้ พวกมันต้องวาแผนนี้มานานมาก”
ชายผอมแห้งตอบ
อู๋ซุนลูบคางและคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“ซ่อนตัวนานถึงเพียงนี้ หรือว่าพวกนั้นจะมาจากทวีปต้องห้าม?”
“ข้าสงสัยอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้นเราน่าจะรู้ข่าวจากตระกูลและแผนของเราเองก็จะง่ายขึ้นมาก แต่ข้ากลับสงสัยราชอาณาจักรหมิงตะวันออก พวกมันต่อต้านกฎของอาณาจักรโจวมานานและเริ่มเคลื่อนไหวในเงามืดแล้ว”
ชายผอมแห้งตอบ
อู๋ซุนพยักหน้ารับคำและกำลังจะกล่าวลา แต่ก็ถูกพูดขัดมาก่อน
“อู๋ซุน สัตว์อสูรคงไม่เพียงพอแล้วถ้าเราอยากจะเร่งแผนการให้เร็วขึ้น ถ้าจะให้เร็วกว่านี้ ข้าต้องการผู้บ่มเพาะพลัง”
ชายผอมแห้งพูดด้วยเสียงไร้ความรู้สึก
สายตาชั่วร้ายสะท้อนในดวงตาอู๋ซุน
“ข้าจะจัดการให้”
กลับมาที่มหามิติ หลินมู่กำลังฟังแมงมุมถักมิติพูด
“เราจะออกไปจากที่นี่ยังไง?”
หลินมู่ถาม
“ก็เหมือนกับวิธีที่เจ้าเข้ามา”
แมงมุมถักมิติตัวจิ๋วตอบ
หลินมู่ยกมือขวาและกำลังจะเก็บแมงมุมถักมิติในแหวน แต่มันพูดขึ้นอีกครั้ง
“ช้าก่อน ข้าจะเข้าไปในแหวนหลังจากที่เราถึงทางออก จะได้แน่ใจว่าเราจะไปถึงตำแหน่งเดิมที่เจ้ามาและเจ้าก็จะไม่หลงทางด้วย”
หลินมู่พยักหน้ารับคำและเดินกลับไปยังทางเดิมที่เขาจากมาพร้อมกับแมงมุมถักมิติจิ๋วที่ลอยอยู่ข้าง ๆ เขา ขณะที่เดินเขาก็คิดถึงเสาสีขาวยักษ์มากมายและสาเหตุที่ที่นี่ไม่ใช่พื้นดิน
“อืม เสาสีขาวพวกนั้นคืออะไรน่ะ? ถ้าจะตอบข้าน่ะนะ”
หลินมู่ถาม
“มันคือเส้นใยของข้า ตอนนี้พวกเราอยู่ในรังข้า”
แมงมุมถักมิติจิ๋วตอบห้วน ๆ
หลินมู่อึ้งกับขนาดของใยแมงมุม
‘ถ้าพวกนี้เป็นแค่เส้นใย แล้วทั้งใยจะใหญ่แค่ไหนกัน? ข้าคิดไม่ออกเลย’
หลินมู่คิด
หลินมู่มองไปรอบ ๆ พื้นที่พยายามจะสัมผัสที่นี่ เพราะเขาไม่เข้าใจการมีอยู่ของสถานที่เช่นนี้เลย จากนั้นความสนใจของเขาก็มุ่งไปที่ริ้วแสงสีเทาเงินที่พริ้วไหวไปทั่วพื้นที่
“แล้วริ้วแสงพวกนั้นคืออะไรล่ะ? ข้าเคยเห็นมาก่อน แต่ที่นี่มันสว่างกว่าแล้วก็ใหญ่กว่าด้วย”
หลินมู่ถาม
“พวกมันคือเส้นพลังมิติที่ปั่นป่วน ถ้าที่ใดมีพลังมิติอย่างหนาแน่นเพียงพอ มันจะควบแน่นจนกลายเป็นริ้วพลังแบบนั้น เจ้าคงเคยเห็นมันในแหวนมาก่อนสิท่า?”
แมงมุมถักมิติจิ๋วตอบ
“ใช่ แต่ท่านรู้ได้ยังไง”
หลินมู่พูด
“อย่างที่ข้าเคยพูด ข้าสัมผัสพลังมิติบริสุทธิ์ที่ปล่อยออกมาจากแหวนนั่น”
แมงมุมถักมิติจิ๋วตอบ
ไม่นานหลินมู่กับแมงมุมถักมิติจิ๋วก็มาถึงตำแหน่งที่หลินมู่มาครั้งแรก
“เอาล่ะ ถอยไปซะ”
แมงมุมถักมิติจิ๋วสั่ง
หลินมู่ยอมรับคำแต่โดยดีและขยับตัวมาที่ด้านหลังแมงมุม เส้นใยมากมายก่อตัวขึ้นหน้าแมงมุมถักมิติและยึดตำแหน่งด้านหน้าเอาไว้ จากนั้นเส้นใยก็ถูกดึงออกและมิติก็เริ่มขยาย พอถึงขีดจำกัดหนึ่ง พื้นที่ก็ขยายตัวอีกไม่ได้ต่อไปและฉีกกระชากออกมา
รอยแยกสีขาวถูกสร้างขึ้นและขยายตัวจนกลายเป็นทางเปิดใหญ่ แมงมุมถักมิติจิ๋วลอยหน้าหลินมู่และพูด
“เก็บข้าใส่แหวนแล้วเดินผ่านประตูไป แต่ขอเตือนไว้เลย ทางมันขรุขระซักหน่อยนะ”
หลินมู่กลืนน้ำกลายเมื่อได้ฟังคำแมงมุมถักมิติจิ๋วและยกมือเก็บมันใส่แหวน แมงมุมถักมิติจิ๋วลดความสูงลงมาที่ฝ่ามือหลินมู่และหายตัวไปในแหวน แต่พูดออกมาก่อน
“จากนี้ไปเจ้าเรียกข้าว่าชูคงก็ได้”
หลังจากเก็บแมงมุมถักมิติในแหวนแล้ว หลินมู่กัดฟันกระโดดลงไปที่ประตูสีขาว ในตอนนั้นหลินมู่ได้เห็นดวงดาวนับล้านดวง จักรวาล และดาวเคราะห์มากมายที่เปล่งแสงอยู่ข้างกายเขา แต่ไม่นานเขาก็หมดสติไป
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด รอยแยกมิติขนาดใหญ่ได้ปรากฏใกล้กับกระท่อมและบ้วนหลินมู่ออกมา เขาร้องครวญครางเพราะตื่นขึ้นด้วยความเจ็บปวดที่ตกพื้น หลินมู่ลืมตาแต่ก็หลับตาอย่างรวดเร็วเพราะแสงสว่างของดวงอาทิตย์
เขาหรี่ตาและค่อย ๆ ลืมตาหลังจากชินกับแสงสว่าง หลินมู่ลุกขึ้นมองรอบ ๆ เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อได้เห็นกระท่อม
หลินมู่นั้นยังสงสัยว่าเขาจะได้กลับมาถึงบ้านหรือไม่จนถึงวินาทีสุดท้าย แต่เมื่อมาถึงหน้ากระท่อมแล้วเขาก็รู้สึกราวกับว่าได้ยกภูเขาออกจากอก
“อืม ไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดเลย”
ชูคงพูดข้างในหัวหลินมู่
หลินมู่ตกใจอยู่ไม่นานแต่ก็จำเสียงได้
“ท่านชูคงหมายความว่ายังไงรึ?”
หลินมู่ถาม
“นี่มันโลกชั้นต่ำ เจ้าเจอแหวนวงนี้ในที่ล้าหลังแบบนี้น่ะเรอะ?”
ชูคงตอบด้วยเสียงสับสน
“โลกชั้นต่ำ? หมายความว่ามีโลกมากกว่าโลกนี้น่ะสิ?”
หลินมู่ถามกลับด้วยความสงสัย
“แน่นอน มีโลกอีกมากมายนับไม่ถ้วนและมีดินแดนมากมายในห้วงอวกาศนี้”
ชูคงตอบ
“แต่ที่พูดว่าโลกชั้นต่ำน่ะหมายความว่ายังไงรึ?”
หลินมู่ถามต่อ
“ขึ้นอยู่กับปัจจัยบางประการ อย่างเช่นความหนาแน่นของปราณ ความก้าวหน้าของผู้บ่มเพาะพลัง กฎสวรรค์ และมหาวิถี โลกจึงแบ่งได้หลายระดับ”
ชูคงอธิบาย
เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากชูคง คำถามมากมายหลายร้อยก็ผุดขึ้นมาในใจหลินมู่ แต่ก่อนที่จะได้ถามก็ราวกับว่าถูกรู้ทัน ชูคงจึงพูดขัดหลินมู่ขึ้นมาก่อน
“ข้าบอกเจ้าไม่ได้ว่าความต่างชั้นของโลกหรือกฎสวรรค์คืออะไร โลกใบนี้จำกัดเอาไว้ไม่ให้เจ้าเข้าใจมัน”
ชูคงพูด
“เป็นไปได้ยังไง?‘
หลินมู่เอียงคอถาม
“ข้าจะลองให้เจ้าดู”
ชูคงตอบ
ทันใดนั้นเองหลินมู่ก็ได้ยินคำพูดในหัว เขามิอาจได้ยินคำพูดนั้นอย่างชัดเจนแต่ก็รู้ได้ว่าเขามิอาจเข้าใจหรือมิอาจจดจำสิ่งที่ได้ยินเลยหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ชูคงพูดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ว่าในใจหลินมู่เต็มไปด้วยความสับสน
“นี่คือสิ่งที่ข้าบอก ขีดจำกัดของโลกนี้เพียงแค่ไม่ให้คำพูดเหล่านี้มีตัวตนอยู่ จากเสียจากว่าเจ้าจะมีพลังบ่มเพาะที่มากพอที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของโลกนี้ไป”
“แล้วข้าต้องแข็งแกร่งเพียงใดถึงจะทำเช่นนั้นได้รึ?”
หลินมู่ถาม
“อาจจะเป็นพลังบ่มเพาะในขอบเขตสูงสุดของโลกใบนี้ จากที่ข้าเดา เจ้าน่าจะต้องขึ้นเป็นเซียนหรืออย่างน้อยขอบเขตย่างวิถีก่อนที่เจ้าจะคิดถึงเรื่องนั้น”
ชูคงตอบ
ความสับสนอันท่วมท้นปรากฏบนใบหน้าหลินมู่ เขาถาม
“เอ่อ สองขอบเขตนั่นคืออะไรรึ?”
หลินมู่ได้ยินเสียงถอนหายใจที่ดังกว่าปกติ ชูคงพูดด้วยความสิ้นหวัง
“เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก”