ตอนที่ 331 ข้าต้องการชนะ
ถังอี้ยังคงเฉยชา
เขาไม่เคยได้ยินชื่อค่ายหางแฉกและไม่สนใจด้วย คำสั่งเจ้านายก็คือเขาหวังให้พวกเขาสามารถสู้ได้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง แต่ถังอี้สามารถอ่านระหว่างแนวได้
ท่านปิงไม่ได้มองกองทัพหมาป่าในแง่ดีนัก
ถังอี้เห็นได้ชัดว่าท่านปิงไม่เห็นความสำคัญของกองทัพหมาป่ามาโดยตลอดนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก ถังอี้มาจากกองทัพดาวกางเขนใต้และรู้สถานการณ์ชัดเจน นอกจากนี้ เมื่อท่านปิงดูแลค่ายทหารใหม่ มาตรฐานของทหารกลุ่มดาวหมาป่ายังห่างจากในอดีตมากมายจนท่านปิงไม่เห็นประโยชน์ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
ตั้งแต่แรกเริ่มถังอี้ดูแลกองทัพหมาป่ามาตลอดอยู่แล้ว
หลังจากคลุกคลีตีโมงกับทหารชาวดาวหมาป่าผู้ขยันอดทน ถังอี้ค่อยๆ เปลี่ยนวิธีมองดูพวกเขา แม้ว่าทหารชาวดาวหมาป่าจะอ่อนแอและไม่มีความรู้กลยุทธ์ทางทหาร แต่พวกเขาขยันและอดทน จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ถังอี้
ชาวเผ่าหมาป่าทะเลทรายเติบโตและเอาชีวิตรอดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายบังคับให้พวกเขาต้องตื่นตัวและอดทน
สถานะต่ำต้อยแต่ขยันและอดทน
กองทหารนี้มุ่งมั่นจะเป็นหน่วยทะลวงฟัน ไม่มีใครท้อถอย ไม่มีใครขาดการฝึกซ้อมและพวกเขากล้าหาญกันทุกคน การได้เห็นพวกเขาเติบโตกล้าแกร่ง ได้เห็นพวกเขาสละเลือดหยาดเหงื่อและน้ำตาเสี่ยงชีวิต ทำให้ถังอี้ผู้ให้การฝึกฝนอบรมพวกเขาด้วยตนเองยินดีที่จะเป็นผู้บัญชาการของพวกเขา
เพราะถังอี้รู้สึกว่าเพื่อพวกเขามันทำให้เขารู้สึกถอนตัวไม่ขึ้น
เขาไม่อาจยอมรับได้ว่ากองทัพที่ขยันจริงจังอย่างนี้จะกลายเป็นแค่หน่วยทะลวงฟันกล้าตายเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขายังคงเข้าใจชัดว่า ภายในกองทัพนั้นคุณค่าของแต่ละคนจะเกี่ยวข้องความสามารถของเขาตลอดไป สำหรับการได้รับการยอมรับจากท่านปิงนั้นกองทัพหมาป่าจำเป็นต้องแสดงพลังที่แข็งแกร่งพอ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาต้องชนะ!
สาเหตุที่นักรบฝีมือดีเป็นนักรบชั้นหัวกะทิได้เป็นเพราะทักษะต่อสู้ของเขาน่ากลัว และนั่นคือความสำเร็จทางทหารที่น่าทึ่งของพวกเขา
ท่านปิงขอให้เขาต้านทานให้ได้หนึ่งชั่วโมง แต่สิ่งที่ถังอี้ต้องการก็คือชัยชนะ!
ค่ายหางแฉกเพิ่งจะสังเกตเห็นกองทัพดาวหมาป่าและพวกเขาหยุดอยู่ห่างจากกองทัพหมาป่าหนึ่งกิโลเมตร
จางเจิ้งอายุราวสี่สิบปีมีลักษณะหยาบกร้าน สีหน้าของเขาจริงจังเมื่อได้เห็นขนาดของกองทัพดาวหมาป่า แต่เมื่อมองเห็นขุนพลวิญญาณผู้นำทหารข้างหน้า เขาแค่นเสียง “เราต้องชนะศึกนี้!”
เพื่อโน้มน้าวใจเขาให้ช่วยเหลือ เย่จิ่วถึงกับยื่นข้อเสนอที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนโลภ แต่เขาระมัดระวังตัวมากและค้นคว้าศึกษาทุกรายละเอียดของการต่อสู้ของกลุ่มดาวหมาป่า แม้ว่าโดยส่วนตัวเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่เขาถนัดในเรื่องกลยุทธ์ในการรบ สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือขุนพลวิญญาณผู้นำทหารผู้ควบคุมมีรังสีที่แข็งแกร่งดูประหลาด
แม้แต่ในกลุ่มดาวนายพรานเขาไม่เคยเห็นผู้บัญชาการทหารที่มีราศีควบคุมที่แกร่งกล้าขนาดนั้น
มันแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ
เกี่ยวกับกองทัพเขาไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย สำหรับเขาถ้าเป็นเพียงกลุ่มมือสมัครเล่นที่ไม่คุ้นเคยและมองว่าเป็นกองทัพ อย่างนั้นก็คงเป็นแค่เพียงตัวตลก เทียบกับค่ายหางแฉกของเขา คู่ต่อสู้อ่อนหัดเกินไป
ขณะที่ขุนพลวิญญาณผู้นำทหารถือดาบฟันขาม้า จางเจิ้งสามารถบอกได้ทันทีว่าเป็นขุนพลวิญญาณผู้นำทหารจากครั้งก่อนนั่นเอง สำหรับขุนพลวิญญาณผู้นำทหารแบบนี้เป็นเหมือนดาบคมกล้า ก็ดูเหมาะสมแล้ว แต่จะสั่งการกองทัพได้นั้น เขายังไม่ใช่
จางเจิ้งระบายลมหายใจ ดูเหมือนแผนของเย่จิ่วทำให้ถังเทียนไม่ทันได้เตรียมพร้อมและทำให้เขาต้องทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง
ความจริงมันเป็นงานที่ง่ายเกินไปสำหรับเขา
ถ้าเขาสามารถเอาชนะกองกำลังหมาป่า อย่างนั้นชื่อเสียงของค่ายหางแฉกของเขาเองก็มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น และชื่อเสียงของเขาจะเป็นที่รู้จักมากขึ้น
ทันใดนั้นกองทัพหมาป่าที่อยู่ต่อหน้าเขาตั้งใจจะโจมตีทันที และวิ่งเข้ามาหาพวกเขา
“หาที่ตาย” สีหน้าของจางเจิ้งเปลี่ยนเป็นเย็นชา และเขาตะโกนอย่างดุร้าย ตั้งขบวนวงกลม
ทหารจากค่ายหางแฉกเปลี่ยนขบวนทัพทันทีทั้งถอยหลังทั้งขึ้นหน้าและล้อมขบวนเป็นวงกลมทันที
การโจมตีของคู่ต่อสู้เป็นไปอย่างที่จางเจิ้งคิด การรุกของค่ายหางแฉกกระทำโดยผ่านแนวป้องกันของเขา เดิมทีเขากังวลว่าคู่ต่อสู้จะถอยหนีและไม่ตะลุยเข้าหา แต่เขาไม่คาดเลยว่ากองกำลังฝ่ายตรงข้ามจะฉวยโอกาสบุกก่อนทำให้เขามีความสุขมาก
พวกมันเข้ามาหาที่ตายจริงๆ
ระยะห่างระหว่างทั้งสองใกล้เข้ามาทุกที
เพราะความรู้สึกบางอย่าง จางเจิ้งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติทันที มีรายละเอียดอะไรที่เขาพลาดไป?
ทันใดนั้นหัวใจเขาเต้นแรง คำสั่ง
ถูกแล้ว! คำสั่ง!
กองกำลังหมาป่าที่ตะลุยเข้ามามีจำนวนสองร้อยนาย รูปแบบไม่มีสับสน แต่เป็นรูปปลายหอกที่แหลมคม
พลังรุกตะลุยด้วยความเร็วสูงขนาดนั้นเป็นการทดสอบพลังการสั่งการ ถ้ามีไม่เพียงพอ,อย่างนั้นขบวนยุทธจะล่มสลาย แต่..ขบวนพยุหะที่อยู่ต่อหน้าเขาไม่มีความสับสนแม้แต่เล็กน้อย
แย่แล้ว! ขุนพลวิญญาณผู้นำทหารเก็บงำพลังของเขาไว้สุดท้าย
จางเจิ้งมีนิสัยสงสัยระแวงทุกอย่างเขาเก็บความคิดโจมตีตอบโต้ หน้าของเขาดูน่าเกลียด
เพียงเวลาชั่วขณะนั้นกองกำลังหมาป่าเข้ามาใกล้ในระยะห่างห้าสิบเมตร
“ฆ่า!”
เหมือนกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆสภาพอากาศเปลี่ยนไปทันที
ดาบฟันขาม้าในมือถังอี้สร้างเสียงหวีดหวิวฝ่าอากาศทหารหมาป่าด้านหลังของเขาปลดปล่อยพลังดาบของตนเองทันที
รังสีดาบสองร้อยสายผสานกันเป็นหนึ่งพุ่งออกไปทันที
รังสีฆ่าฟันเยือกเย็นทำให้หัวใจของทหารค่ายหางแฉกสั่นไหว แต่โชคดีที่ด้วยประสบการณ์ที่มากมายของจางเจิ้งเขาตะโกนทันที “ตั้งรับ”
ทหารโล่กวัดแกว่งโล่ตั้งแนวต้านรับด้านนอกทันที ทุกคนชูโล่พร้อมกันและปล่อยปราณแท้อย่างบ้าคลั่ง
รังสีรูปโล่ห้าสิบสายเรืองแสงทันทีก่อเป็นรูปแนวแสงป้องกันทั่วทั้งกองทัพ
รังสีดาบขนาดมหึมากระแทกใส่แนวแสงป้องกัน
แนวแสงป้องกันแตกทำลายทันที และทหารโล่ทุกคนใช้โล่ดูดซับความเสียหาย ราวกับว่าพวกเขาถูกค้อนหวดใส่อย่างรุนแรงสะท้อนกลับไปข้างหลัง สหายที่อยู่ด้านหลังพวกเขาเอื้อมมือออกมาและใช้ปราณแท้ดันเข้าไปในตัวพวกเขา
กองทัพดาวหมาป่าตะลุยเข้าใส่โดยไม่หยุดชะงักพลังโจมตีมหึมาทำให้พวกเขารู้สึกอ่อนแอมากขึ้น แต่ด้วยจำนวนคนของพวกเขา พวกเขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
แต่, ความเร็วของพวกเขาลดลง
สำหรับกองทหารจู่โจมที่สูญเสียความได้เปรียบอำนาจคุกคามของพวกเขาจะลดลงทันที
สิ่งที่วิกฤติก็คือ พวกเขาไม่มีเวลาหันหลังกลับ
รังสีอำมหิตแว่บผ่านในดวงตาของของจางเจิ้ง “เปิด!”
ขบวนวงกลมเปิดพื้นที่ทันที ทำให้กองทัพหมาที่พุ่งเข้าจู่โจมเข้าไปในใจกลางพยุหะ
ปากของจางเจิ้งทำท่ายิ้มเยาะ เขามั่นใจมากว่าการต่อสู้ตกอยู่ในเงื้อมือของเขาแล้ว แม้ว่าเขาจะต้องเสียสละทหารโล่ที่แข็งแกร่งไปถึงห้าสิบนายแต่เป็นการแลกที่คุ้มค่าอย่างมิต้องสงสัย
หลังจากนั้นจะเป็นกลยุทธ์ที่เชี่ยวชาญที่สุดของเขา กระชับวงล้อม
“กระชับวงล้อมเข้าไป!”
ทหารทั้งหมดก่อขบวนกลุ่มเล็กๆ และทุกคนเริ่มวิ่งวนด้วยความเร็วสูงเหมือนน้ำวน
ค่ายกลดาบหางแฉก!
น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้ ชื่อของมันดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่มันมีความลึกลับพิเศษ ขบวนท่านี้เป็นกลยุทธ์ที่จางเจิ้งโปรดปรานและชอบใช้ เขาเอาชนะศัตรูมามากมายแล้ว
ทันทีที่ขบวนพยุหะเริ่มการสังหาร ก็หมายความว่าชัยชนะอยู่ไม่ไกล
เมื่อเห็นว่าทหารของกองทัพหมาป่าชั้นนอกตกอยู่ในอาการสับสน พวกที่อยู่ทางด้านซ้ายและขวาถูกปิดกั้นจนอยู่ภาวะชะงักงันจางเจิ้งมีความสุขมาก
ทันใดนั้น เขารู้สึกว่ามีสายตาหนึ่งจับตามองเขา
เขารู้สึกตัวหันไปดูก็เห็นว่าสายตาเย็นชาคู่หนึ่งกำลังจ้องมาทางเขา
ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน!
ถังอี้ผู้อยู่บนหลังม้างอร่างของเขาทันที
เดี๋ยวก่อน! เจ้านั่นกำลังทำอะไร…
ทันใดนั้นวิธีการที่คิดไม่ถึงผุดขึ้นมาในใจของจางเจิ้งทันที
ถังอี้คำรามในอากาศอย่างดุร้าย ดาบฟันขาม้าสีดำสนิทอยู่เหนือศีรษะเขา ร่างของเขายืดออกโดยที่หน้าของเขาไม่เปลี่ยนสักนิด
รังสีฆ่าฟันเข้มข้นจับเป้าอยู่ที่ตัวจางเจิ้ง
*****************
ฟลามิงโกวิ่งตะลุยอยู่บนทะเลทรายอย่างบ้าคลั่ง ความเร็วสูงระเบิดออกมาจากตัวของมันทำให้มันดูเหมือนบอลไฟที่พุ่งเป็นสายเส้นตรง หลิงซิ่วมีความสุขมากที่ความเร็วของฟลามิงโกมากกว่าแต่ก่อน ที่สำคัญมากขึ้นก็คือจิตวิญญาณยุทธของฟลามิงโกก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
เขาเองก็แข็งแกร่งมากกว่าครั้งก่อนมากมายเช่นกัน
หลิงซิ่วใช้ฝ่ามือลูบฟลามิงโกอย่างอ่อนโยน และมันก็ใช้ศีรษะของมันเสียดสีตอบ
เจ้าตื่นเต้นเหรอ? เจ้ารอไม่ได้แล้วใช่ไหม? ที่ของเราคือสนามต่อสู้แน่นอน
หลิงซิ่วคิดอยู่เงียบๆ ทันใดนั้น เขาเงยหน้า ขณะที่จุดดำสองจุดปรากฏอยู่ในที่ไกล สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาเขาพุ่งเข้าหาอย่างไม่ลังเล
อาเฮ่อที่ตามมาอยู่ข้างหลังเห็นหลิงซิ่วเพิ่มความเร็วขึ้นได้แต่ทำสีหน้าจนใจ เจ้าเด็กบ้านี่เป็นแบบนี้อยู่เรื่อย
เด็กคนเดียวที่ไม่รู้จักทำงานร่วมกันเป็นทีม
หลังจากบ่นเงียบๆ ในใจ อาเฮ่อกางแขนทั้งสองออกโผบินความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเช่นกัน
หย่งเซียนจงอายุราว 25-26 เขาแต่งตัวเรียบร้อยและสง่างามมากไม่มีฝุ่นละอองสักนิดบนตัวเขา เขาลอยตัวและหัวเราะเบาๆ “ท่านเย่ช่างเป็นคนทะเยอทะยานจริงๆข้าไม่เคยคาดเลยว่าเขาจะขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสกว่าง ผู้เยาว์รู้สึกประหลาดใจจริงๆ”
กว่างอู๋ถูกยกย่องว่าเป็นมือกระบี่บ้าเลือดและมีชื่อเสียงมานานกว่าสามสิบปีแล้ว แต่เพราะความกระหายเลือดและโหดร้ายของเขาทำให้เขายากจะก้าวหน้าได้ อย่างไรก็ตามพลังของเขาแข็งแกร่งมากทำให้เขาอยู่ในอันดับที่ 8315 ของทำเนียบสวรรค์วิถี
กว่างอู๋มีริ้วรอยย่นของผู้มีอายุมากมายอยู่บนใบหน้าผมของเขาขาวโพลนราวหิมะ แต่สายตาของเขาเขม็ง และดาบใหญ่สะพายอยู่ด้านหลังของเขา เขาหรี่ตามอง “ข้าแก่แล้วไม่ทันได้สังเกตว่าคู่หูของข้าความจริงก็คือหลานหย่งนี่เอง อาจารย์เปียนเป็นยังไงบ้าง?”
หย่งเซียนจงมาจากตระกูลมีอิทธิพล อาจารย์ของเขาเปียนอู๋เหิงเข้าสู่ขอบเขตเซียนเมื่อสิบปีที่แล้วทำให้สวรรค์วิถีสั่นสะเทือน
เปียนอู๋เหิงมีศิษย์สามคนหย่งเซียนจงเป็นศิษย์คนเล็กมีพลังอ่อนด้อยที่สุดแต่เป็นนักสู้ในทำเนียบสวรรค์วิถีอันดับที่ 8228
หย่งเซียนจงค้อมกายเล็กน้อยแสดงคารวะ “อาจารย์ยังแข็งแรงมีสุขภาพดี เพียงแต่ท่านไม่ชอบถามไถ่เรื่องราวภายนอก และไม่ชอบออกมาท่องเที่ยว แม้แต่ผู้เยาว์นี้ก็ยากจะออกมาได้ทุกปี”
กว่างอู๋ตอบ “สำหรับอาจารย์เปียนแล้ว เรื่องราวทางโลกน่าเบื่อและไม่น่าสนใจ”
ทันใดนั้นทั้งสองคนหยุดพูดทันที สายตาของพวกเขาเหม่อมองในที่ไกลขณะที่ร่างสีแดงและดำพุ่งเข้ามาหาพวกเขา
“อย่างน้อยพวกเขาก็ช่วยเราประหยัดเวลาตามหาพวกเขา” หย่งเซียนจงพูดอย่างมีความสุข
“ฮึ่ม..เราผู้เฒ่าเป็นหนี้เย่จิ่วในช่วงเวลาที่โปรดปราน และด้วยสิ่งนี้ถือว่าเป็นการตอบแทนแล้ว” กว่างอู๋เลียริมฝีปากปลดปล่อยรังสีฆ่าฟันทันที “วันนี้ ข้าจะฆ่าให้สมใจเชียว”
หน้าของหย่งเซียนจงเฉยชา เขาไม่สนุกเลยเนื่องจากเขามาจากสถานะที่สูงส่งและเกี่ยวกับนักสู้ประเภทนี้ปกติเขาไม่ยินดีเช่นกัน
สายตาของเขาให้ความสนใจคู่ต่อสู้ของเขา เขาได้ยินข่าวลือเรื่องถังเทียนที่จุดประกายความสนใจ หย่งเซียนจงเป็นศิษย์เฝ้าหน้าประตูของเปียนอู๋เหิงซึ่งทุกคนรู้ดี แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าเขาเป็นบุตรเขยของเย่จิ่ว ธิดาของเย่จิ่วก็คือภรรยาของเขา
เย่จิ่วเป็นพ่อตาของเขา เย่เฉาเกอเป็นน้องชายของภรรยาเขา ดังนั้นเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร?
แต่ก็ยังค่อนข้างน่าสนใจอยู่ดี
กว่างอู๋ไม่สามารถถอนรังสีฆ่าฟันได้แล้วและเขาพุ่งเข้าหาร่างสีแดงทันที ในอากาศเขาชักดาบคำรามแล้วพุ่งเข้าหาโฉบลงเหมือนนกอินทรีไล่จับกระต่าย
รังสีดาบของเขาเป็นสีแดงโลหิต
ดาบที่อำมหิตขนาดนั้น
หัวใจของหย่งเซียนจงสั่นสะท้าน เขาไม่เคยคิดว่านักสู้ผู้ขี่นกจะกล้าหาญมากถึงขนาดยืมพลังเฉื่อยต้านรับรังสีดาบที่พุ่งลงมา
รังสีเงินเยือกเย็นเจิดจ้าในสายตาของเขา