ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 131 สถานที่ที่มืดมิด
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 131 สถานที่ที่มืดมิด
แปลโดย iPAT
จากคำอธิบายของโจวเหวินปิง หลี่ฉิงซานตระหนักว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายในฐานะเจ้าเมืองที่จะรักษาความนิยมและแรงศรัทธาของชาวเมือง เขาต้องลดภาษีและค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างทั้งบนบกและในน้ำ เขาต้องจ่ายเงินเดือนมากพอที่จะรักษาความซื่อสัตย์ของผู้ใต้บังคับบัญชาเอาไว้ ทั้งหมดทำให้เขาต้องดิ้นรนหาเงินตลอดเวลา
โจวเหวินปิงผายมือและเผยรอยยิ้มขมขื่น “มันน่าสมเพชสำหรับขุนนางเช่นข้า ไม่เพียงข้าจะทำงานโดยไม่ได้รับเงินเดือดแต่ข้ายังต้องคิดวิธีหาเงินอีกด้วย”
หลี่ฉิงซานพบว่าเรื่องนี้ค่อนข้างน่าขัน ในยุคนี้แม้ความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่งจะมีมากแต่มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับคนทั่วไป
ในจักรวรรดิต้าเซีย ไม่ว่าคนผู้หนึ่งจะมียศหรือสถานะใด ไม่มีขุนนางแม้แต่คนเดียวที่ได้รับเงินเดือน แต่พวกเขาก็ไม่ต้องเสียภาษีเช่นกัน แม้พวกเขาจะพบเหมืองทอง รัฐบาลท้องถิ่นก็จะเข้าควบคุมมัน
สำหรับผู้ฝึกตน สิ่งที่พวกเขาสนใจแตกต่างจากคนทั่วไปตั้งแต่แรก ในความเป็นจริงหากโจวเหวินปิงต้องการ เขาสามารถรีดเค้นเงินหลายล้านตำลึงจากเมืองเจียเผิงได้ทุกปี แต่นั่นไม่มีประโยชน์สำหรับเขา
อย่างไรก็ตามสิ่งที่จักรวรรดิมอบให้พวกเขาทุกเดือนคือสิ่งที่เรียกว่าหินวิญญาณ
ด้วยเหตุนี้หลี่ฉิงซานจึงนำเงินหลายแสนตำลึงที่เขาได้รับมามอบให้โจวเหวินปิง
โจวเหวินปิงกล่าว “เจ้าจะไม่ถามว่าเจ้าจะได้รับเม็ดยารวบรวมพลังปราณกี่เม็ดงั้นหรือ?”
หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้าไม่ใช่คนใจแคบ แต่แน่นอนว่าข้าหวังว่าคนอื่นจะใจกว้างกับข้าเช่นกัน”
โจวเหวินปิงหยิบขวดยาที่มีเม็ดยารวบรวมพลังปราณจำนวนสิบสองเม็ดออกมาและส่งมันให้หลี่ฉิงซาน “นี่เป็นครั้งแรกของเจ้า ดังนั้นข้าจะให้ราคาพิเศษ หากเจ้ามีเงินมากกว่านี้ เจ้าสามารถนำมาแลกเปลี่ยนกับข้า อย่างไรก็ตามมันจะเป็นเงินหนึ่งแสนตำลึงสำหรับเม็ดยารวบรวมพลังปราณหนึ่งเม็ด”
หลี่ฉิงซานกล่าว “นั่นยุติธรรมมาก” เขาค่อนข้างประหลาดใจ แต่เมื่อคิดถึงคนในยุทธภพ มีคนมากมายที่ยอมจ่ายเงินหนึ่งแสนตำลึงเพื่อเม็ดยารวบรวมพลังปราณหนึ่งเม็ด
หลี่ฉิงซานนำสมุดบัญชีที่เขาพบออกมามอบให้โจวเหวินปิง “ข้าสงสัยว่าสิ่งนี้อาจมีหลักฐานเอาผิดหอเมฆาพิรุณ”
หลี่ฉิงซานไม่ต้องการทำให้ผู้คนสงสัย ดังนั้นเขาจึงไม่นำมันออกมาทันที แต่เมื่อนึกถึงเด็กสาวจำนวนมากที่ติดอยู่ในวังใต้ดินของหอเมฆาพิรุณ เขาจึงต้องมาหาโจวเหวินปิงและทำให้ฝ่ายหลังเข้าไปรื้อค้นหอเมฆาพิรุณอีกครั้งเพื่อช่วยเด็กสาวเหล่านั้นออกมา
โจวเหวินปิงไม่แม้แต่จะชำเลืองมอง เขาเพียงตบมือ จากนั้นคนรับใช้ของเขาก็เข้ามารับสมุดบัญชีและนำไปที่สำนักงาน บรรดาผู้ช่วยที่เชี่ยวชาญจะจัดการมันแทนเขา
ไม่นานนักคนที่ดูเหมือนที่ปรึกษาก็เดินเข้ามา แรกเริ่มเขามองหลี่ฉิงซานด้วยความประหลาดใจ สถานะผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์น่าประทับใจแต่ไม่มีผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ทั่วไปที่สามารถนั่งอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าเมือง เขาคำนับหลี่ฉิงซานเล็กน้อยก่อนจะรายงานโจวเหวินปิง “นายท่าน มีปัญหาหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้...”
หลี่ฉิงซานมองไปที่บ่อน้ำและสงสัยว่าเขาจะดึงมันขึ้นมาอย่างไร หลังจากโจวเหวินปิงและที่ปรึกษาพูดคุยกันเสร็จ เขาก็เปิดปากกล่าว “ท่านเจ้าเมือง หลักฐานเหล่านี้เพียงพอที่จะทำลายหอเมฆาพิรุณหรือไม่?”
โจวเหวินปิงตอบ “เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเราจะสามารถทำลายหอเมฆาพิรุณด้วยสมุดบัญชีเพียงชุดเดียว? เจ้าประเมินความแข็งแกร่งของนิกายเมฆาพิรุณต่ำเกินไป คนที่ข้าส่งไปยังหมู่บ้านชาวประมงกลับมาแล้ว คนทั้งครอบครัวของชิงซิ่วตายไปแล้ว พวกเขาจัดการเรื่องนี้อย่างหมดจด”
หลี่ฉิงซานโกรธมาก “พวกสารเลว! ท่านเป็นคนของทางการ ท่านจะกลัวนิกายได้อย่างไร?”
โจวเหวินปิงกล่าว “ข้าไม่ได้กลัวพวกเขา แต่ข้าไม่สามารถทำสิ่งใด นิกายเหล่านี้ล้วนมีรากฐานและมรดกของตน นิกายใหญ่บางนิกายมีอยู่มานานยิ่งกว่าจักรวรรดิ แม้แต่จักรพรรดิผู้ก่อตั้งจักรวรรดิก็ทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมพวกเขาและทำให้พวกเขาสัญญาว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเท่านั้น หลังจากสำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์ถูกก่อตั้งขึ้น จักรพรรดิจึงสามารถระดมผู้มีความสามารถมาต่อกรกับพวกเขา”
ในระยะสั้น พวกเขาจะไม่สร้างปัญหาให้โจวเหวินปิงขณะที่โจวเหวินปิงก็ไม่ต้องการสร้างความยากลำบากให้พวกเขาเช่นกัน เขามาที่นี่เพื่อฝึกฝน ไม่ได้มาเพื่อทำหน้าที่ขุนนางที่เที่ยงธรรมและพูดแทนประชาชน
หลี่ฉิงซานคิดว่าโชคดีที่เขาบดขยี้จ้าวเหลียงฉิงไปแล้ว มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถทำสิ่งใดเลย
“ด้วยเหตุนี้ เจ้าต้องเตรียมรับมือแผนการชั่วร้ายของนิกายเมฆาพิรุณเช่นกัน บางครั้งพวกเขาอาจน่ากลัวยิ่งกว่าจ้าวจื่อป๋อ แม้จะเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ กระทั่งผู้บัญชาการเช่นจ้าวจื่อป๋อหรือแม้แต่ข้าก็ยังสามารถถูกลอบสังหารได้อย่างลับๆ”
หลี่ฉิงซานไม่แปลกใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเห็นตัวอย่างมาแล้ว แม้แต่ตัวตนของกู่เยี่ยนหยิน นางก็ยังล้มเหลวในการฆ่าผู้นำนิกายบัวขาว
เฒ่ามังกรทะยานแห่งวังหลอมรวมดาบก็ยังไม่กลัวอำนาจของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ เขากล้าพอที่จะฆ่าสัตว์เลี้ยงของราชินีแห่งความมืดต่อหน้ากู่เยี่ยนหยินหรือแม้แต่ต่อสู้กับนางที่มีเทพอินทรีย์อยู่เบื้องหลัง นี่แสดงให้เห็นถึงความไม่เกรงกลัวของนิกายเหล่านี้
เขาต้องถอนหายใจกับตัวเองอีกครั้ง “ไม่ว่าเมื่อใดหรือที่ใด สิ่งสำคัญยังเป็นความแข็งแกร่งเสมอ สถานะไม่สำคัญเท่าความแข็งแกร่ง”
โจวเหวินปิงกล่าว “เจ้ามีแผนที่จิตใช่หรือไม่? หากไม่รังเกียจ ข้าขอดูได้หรือไม่?”
หลี่ฉิงซานนำแผนที่จิตออกมา
โจวเหวินปิงลูบแผนที่จิตอย่างอ่อนโยน “ยอดเยี่ยม” จุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนส่องประกายขึ้นราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน
“สถานที่ที่สว่างไสวล้วนเป็นที่อยู่ของคนมีอำนาจ แม้แต่จอมยุทธ์ขั้นห้าก็ยังไม่กล้าพอที่จะฆ่าผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่เป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเช่นเจ้าในที่สาธารณะ อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เจ้าต้องจดจำสิ่งนี้เอาไว้ ตราบเท่าที่คนผู้หนึ่งมีความมั่นใจ พวกเขาจะโจมตีเจ้าเพื่อกระเป๋าร้อยสมบัติของเจ้า ไม่เพียงหนังหมาป่าของเจ้าจะไม่สามารถปกป้องเจ้า ในบางครั้ง มันยังสามารถดึงดูดศัตรูเข้ามา”
หลี่ฉิงซานมองแผนที่จิตและได้รับความเข้าใจใหม่
การเปิดเผยแผนที่จิตทำให้เขาได้รับเม็ดยารวบรวมพลังปราณเพิ่มขึ้นอีกสองสามเม็ด
เขายังกังวลว่าจะจัดการกับจ้าวจื่อป๋ออย่างไรโดยไม่ทำให้เกิดข้อสงสัยมากเกินไป แต่ตอนนี้พื้นที่ที่มืดมิดในบริเวณนี้ทำให้เขาได้รับความสะดวกสบาย เขาสามารถเข่นฆ่าผู้คนได้อย่างเปิดเผยก่อนที่จะโยนความผิดทั้งหมดให้กับจอมยุทธ์ที่ทรงพลังหรือปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวที่เดินทางผ่านมา
โจวเหวินปิงไม่เห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าของหลี่ฉิงซานแม้แต่น้อย นี่ทำให้เขาต้องมองเด็กหนุ่มผู้นี้ต่างออกไปจากเดิม ดูเหมือนหลี่ฉิงซานจะสนใจเรื่องการต่อสู้ การเข่นฆ่า ความโกลาหล และความยุ่งเหยิง แต่เขาก็ไม่เหมือนคนบ้าไร้สมองที่มีชีวิตอยู่เพื่อการต่อสู้ เขากล้าหาญแต่ไม่ประมาท
บางทีเขาอาจเหมาะกับนิกายใหญ่บางแห่งมากกว่าเส้นทางของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์หรือสำนักศึกษาร้อยจอมยุทธ์ โดยพื้นฐานแล้วนิกายใหญ่ทุกนิกายชอบสาวกเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกวาดล้างปีศาจหรือการกวาดล้างจอมยุทธ์พลังปราณ พวกเขาล้วนต้องการคนที่สามารถต่อสู้
ในสายตาของคนทั่วไป ผู้ฝึกตนดูเหมือนคนที่แยกตัวออกจากโลกของมนุษย์ หลี่กเลี่ยงการนองเลือด พวกเขาจะทำสมาธิและสวดมนต์ทุกวันอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาสามารถยืดอายุขัยหรือกระทั่งบรรลุชีวิตนิรันดร์
แต่ในความเป็นจริงนอกจากพวกเขาต้องต่อสู้กับสวรรค์เพื่อชะตากรรมที่ดีขึ้น พวกเขายังต้องต่อสู้กันเองอีกด้วย
แม้โลกจะสงบสุขและมีความปรองดองในหมู่มนุษย์ ปีศาจหรือสัตว์ประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดจะไม่ต้องการกลับมามีอำนาจเหนือพวกเขางั้นหรือ? ในถิ่นทุรกันดารที่ไร้ระเบียบ ผู้ใดจะรู้ว่ามีกี่กองกำลังที่ถูกทำลาย พวกเขายังต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติที่ดั่งเดิมที่สุด นั่นคือการเอาชีวิตรอด มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพ
วังหลอมรวมดาบและนิกายเงา หนึ่งกวัดแกว่งดาบขณะที่อีกหนึ่งควบคุมผี บางทีพวกเขาอาจไม่ใช่นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดแต่พวกเขายังสามารถรอดชีวิตและเติบโตขึ้นภายใต้หลักการนี้
หลี่ฉิงซานเก็บแผนที่จิตก่อนกล่าว “เมื่อข้าทำให้พวกเขาขุ่นเคืองใจ ข้าก็จะทำให้พวกเขาขุ่นเคืองมากขึ้นอีกเล็กน้อย ข้ามีสถานะนี้ หากข้าไม่ใช้ นั่นคงเป็นเรื่องน่าเสียดาย”
โจวเหวินปิงรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีโอกาสประนีประนอมหลังจากสังหารคนของนิกายเมฆาพิรุณในที่สาธารณะ เมื่อคิดถึงอารมณ์ของเด็กหนุ่ม โจวเหวินปิงจึงเปิดปากกล่าว “เอาล่ะ ข้าจะส่งเจ้าหน้าที่สิบคนไปจัดการเรื่องนี้กับเจ้า แม้สมุดบัญชีชุดนี้จะไม่สามารถโค่นล้มพวกเขาแต่มันก็เพียงพอที่จะกดดันและทำให้พวกเขาคายเงินออกมา”
ในจังหวะนี้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็เข้ามารายงาน “นายท่าน มีชายอ้วนอยู่ที่หน้าประตู เขาต้องการพบท่าน เขาบอกว่าเป็นเจ้าเมืองชิงหยาง นี่คือเอกสารของเขา”
โจวเหวินปิงยิ้ม “ดูเหมือนเจ้านายเก่าของเจ้าจะอยู่ที่นี่แล้ว”
หลี่ฉิงซานยิ้มเช่นกัน “การรักษาความสงบในเมืองเป็นงานของรองเจ้าเมืองตั้งแต่แรก การส่งท่านเย่ไปแทนข้าน่าจะเหมาะสมกว่า”
โจวเหวินปิงโบกมือ “เจ้าไปบอกเขาว่าข้าจะให้เขาทำงานทันที แจ้งเขาว่าให้มาพบข้าในวันพรุ่งนี้”
หลี่ฉิงซานมาถึงด้านหน้าที่ทำการเจ้าเมือง เขาเห็นเย่ต้าฉวนชี้นิ้วไปรอบๆอยู่กับที่ปรึกษา “ดูสิ ตอนนี้เราอยู่ในเมืองใหญ่แล้ว มันแตกต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง แม้มันจะแย่กว่าเมืองชิงเหอเล็กน้อย แต่มันก็ดีกว่าสถานที่แย่ๆเช่นเมืองชิงหยาง” ที่ปรึกษาของเขาก็ดีใจเช่นกัน ในที่สุดเขาก็รู็สึกเหมือนตนเองประสบความสำเร็จหลังจากติดตามเจ้าอ้วนผู้นี้
“ท่านเย่ ไม่พบหลายวัน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
เย่ต้าฉวนหันกลับมาและเห็นหลี่ฉิงซานในชุดผู้พิทักษหมาป่าอินทรีย์ แม้เขาจะรู้ว่าหลี่ฉิงซานกลายเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ไปแล้ว แต่เขายังต้องอุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เป็นเจ้าจริงๆ!”
หลี่ฉิงซานยิ้ม “ข้ามีเงินทองและเกียรติยศจะมอบให้ท่าน! ท่านต้องการหรือไม่?”