ตอนที่ 327 ข่าวร้าย
ม่อเว่ยเทียนตะลึงอยู่นานก่อนจะเรียกความรู้สึกของเขากลับมาได้แล้วถามกลับ “อย่างนั้นท่านปิงมีอะไรพอจะแนะนำได้บ้าง?”
“ข้ารู้สึกว่าเราสามารถร่วมงานกันได้” ปิงกล่าวอย่างใจเย็น “ตระกูลม่อมีศิษย์อยู่หลายคนและนั่นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับท่าน ถ้าท่านต้องการจะเลือกพวกเขามาตั้งเป็นกองทหาร แม้ว่าจะเป็นกองทหารระดับต่ำสุด แต่ก็ยังจะนำประโยชน์มหาศาลมาให้ตระกูลม่อได้ ถ้าการร่วมมือของเราประสบผลสำเร็จอย่างนั้นกองทหารนี้ ข้ามีแผนจะให้ตระกูลม่อได้ขยับขยาย ตระกูลม่อไม่ควรจะอยู่แต่ในภูมิภาควิญญาณตลอดไป”
ม่อเว่ยเทียนตัวสั่นและเลือดแล่นสู่หัวเขาไม่สามารถพักหายใจแม้สักชั่วครู่
ออกจากภูมิภาควิญญาณ!
ความปรารถนาของประมุขตระกูลม่อหลายรุ่นก็คือให้ตระกูลอาวุธจักรกลโบราณของพวกเขามีแผ่นดินเป็นของตนเอง แม้ว่าภูมิภาควิญญาณจะเป็นพื้นที่สะดวกสบาย แต่ก็มีข้อบกพร่องมากมาย ตัวอย่างเช่นมันไม่สามารถขยายครอบครัวได้เนื่องจากแหล่งทรัพยากรน้อยและความเข้มข้นของพลังงาน
ม่อเว่ยเทียนสูดลมหายใจลึกควบคุมหัวใจที่เต้นแรงและย้อนถาม “กลุ่มดาวหมาป่า?”
“ไม่” ปิงสั่นศีรษะ “สำหรับตระกูลใหญ่ของพวกเจ้า แม้แต่ดวงดาวหรือกลุ่มดาวก็ไม่พอรองรับพวกเจ้าทั้งหมดได้ แม้ว่าปัจจุบันนี้เราจะควบคุมกลุ่มดาวหมาป่าไว้ได้ทั้งหมดแต่เราก็ไม่สามารถยกดวงดาวดวงหนึ่งให้เจ้าได้”
ม่อเว่ยเทียนไม่มีท่าทีแปลกใจ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งมีแผนเดินหน้าจริงจัง เขาก็คงพิจารณาอย่างจริงจังว่าจะร่วมมือกับพวกเขาดีหรือไม่ การมอบแผ่นดินของกลุ่มดาวหมาป่ากับตระกูลม่อไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ถ้าพวกเขาให้ดวงดาวดวงหนึ่งทั้งดวง พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านที่รุนแรงจากกลุ่มพลังท้องถิ่นแน่นอนและนั่นก็เท่ากับเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง
“ท่านปิง ท่านเห็นว่าที่ไหนหรือ?” ม่อเว่ยเทียนถาม
“สถานที่พำนักของตระกูลม่อจำเป็นต้องใช้เลือดของตระกูลม่อบุกเบิกแผ่นดิน” ปิงพูดตามตรง “เราสามารถสนับสนุนผู้นำทหาร แต่เราไม่สามารถร่วมได้โดยตรง เพราะข้าเชื่อในความสามารถของตระกูลม่ออยู่แล้ว กองทัพจักรกลอาจไม่สามารถพิชิตกลุ่มดาวหนึ่งได้ แต่จะชิงดาวในสิบเก้ากลุ่มดาวขอบฟ้าเหนือไม่ควรจะมีปัญหาแต่อย่างใด”
“เราจำเป็นต้องจัดหาอะไรไหม?” ม่อเว่ยเทียนถามอย่างใจเย็น
“ตระกูลม่อจะช่วยเป็นปากเสียงให้เราในเรื่องขอบเขตวิชาจักรกล” ปิงกล่าวอย่างใจเย็น “เราจำเป็นต้องได้โฆษกเมื่อกองทัพจักรกลตระกูลม่อของเจ้าปรากฏ ข้าเชื่ออย่างรวดเร็วว่าวิชาจักรกลจะถูกจับตามองโดยทุกคนให้ความสนใจอีกครั้ง ในตอนนั้นข้อได้เปรียบของเราก็จะไม่มากอีกต่อไป”
เมื่อได้ยินคำว่า“กองทัพจักรกลตระกูลม่อ” หัวใจของม่อเว่ยเทียนเต้นแรงแทบบ้าแต่คำพูดที่ตามมาทำให้เขาจิตใจสงบ แผนการของปิงตรงกับความต้องการของเขาชื่อวิชาจักรกลของตระกูลเก่าแก่ก็เป็นแค่วานรที่ทำท่าเป็นเจ้าป่าที่ไม่มีพยัคฆ์ วิชาจักรกลตกต่ำมาหลายปีและผู้ที่เล่นส่วนใหญ่ปกติจะไม่สนใจพลังของมัน แต่เมื่อพวกเขาตระหนักถึงพลังของวิชาจักรกล พวกเขาก็จะเริ่มลงทุนและค้นคว้า
พลังและศักยภาพของผู้ใช้จะน่ากลัวมากจนคนอื่นต้องสิ้นหวัง
แหล่งทรัพยากรธรรมชาติในสวรรค์วิถีส่วนใหญ่จะตกอยู่ในเงื้อมมือพวกเขาทั้งหมด และช่องว่างระหว่างเทคนิคก็ไม่เพียงพอจะทำความเข้าใจ
“ท่านปิงพูดถูก” ม่อเว่ยเทียนถอนหายใจ “สามารถได้รับโอกาสที่เด็ดขาดนี้นับว่าดีจริงๆ”
“สิ่งที่เราต้องการคือโอกาสที่เด็ดเดี่ยวนี้เอง” ปิงกล่าวระมัดระวัง“ถ้าความเคลื่อนไหวของตระกูลม่อประสบความสำเร็จ อย่างนั้นจะช่วยส่งผลสั่นสะเทือนวงการวิชาจักรกลทั้งหมด อาวุธจักรกลของตระกูลม่อจะสร้างกระแสที่ใหญ่โต และผู้คนก็จะมุ่งมายังตระกูลม่อ ก่อนที่คนอื่นๆ จะรู้ตัวเราต้องฉวยโอกาสไว้ เราไม่สามารถสู้คู่แข่งรายใหญ่ได้เพราะทรัยพยากร แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถชนะได้ก็คือกำลังคน”
ม่อเว่ยเทียนค่อยเข้าใจทั้งหมดและคิดได้ทันทีว่าเป็นแผนการที่ใหญ่สิ่งเดียวที่ยังคลางแคลงใจอยู่ก็คือต้องการวิสัยทัศน์ที่ถึง ปิงจะมีวิสัยทัศน์ถึงหรือไม่ม่อเว่ยเทียนยังไม่มีความมั่นใจ แต่เห็นได้ชัดว่าปัจจุบันนี้ปิงเป็นผู้ที่เข้าใจกองทัพจักรกลได้ดีที่สุด
“นั่นคือความคิดที่ดี” ม่อเว่ยเทียนพยักหน้า
“ข้าจะให้ท่านประมุขตระกูลได้มีหลักเกณฑ์การประเมินที่ค่อนข้างง่าย และเฉพาะผู้ที่ผ่านเท่านั้นถึงนำมาใช้ได้” ปิงไม่อ้อมค้อม พูดตามตรง“ทหารฝึกหัดจำเป็นต้องได้เวลาประมาณห้าเดือน แน่นอนว่าการ์ดวิญญาณทั้งหมดอาวุธจักรกลวิญญาณทั้งหมดจำเป็นต้องให้ตระกูลม่อช่วยสนับสนุนจ่าย นอกจากนั้น เมื่อมีความจะเป็นเราจะต้องมีอำนาจใช้กองทหารนี้”
ม่อเว่ยเทียนพิจารณาชั่วขณะจากนั้นเห็นด้วย ด้วยพลังในปัจจุบันของพวกเขา ไม่สามารถเงยหน้ามองคู่แข่งที่ใหญ่ได้ ถ้าตระกูลม่อสามารถโยกย้ายออกจากภูมิภาควิญญาณได้ แม้จะมีราคาสูงไปบ้างเขาก็ยังเต็มใจ
ในที่สุดปิงก็พอใจกับวิถีที่หลายอย่างกำลังเป็นไป ตระกูลม่อคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในสายตาของเขา แม้ว่าชื่อเสียงของตระกูลม่อจะโด่งดังในวงการเครื่องจักรกลและอาวุธจักรกลวิญญาณ แต่เขาไม่ใส่ใจเท่าใดนัก กองทัพตระกูลม่อก็เท่าเทียมกับกองทหารหน่วยกล้าตาย สำหรับตระกูลม่อมีความสำคัญมาก แต่สำหรับปิงเขาถือว่าไม่มีความหมายอะไรมาก
อยู่ต่อหน้ากองทัพชั้นเลิศกองทัพหน่วยกล้าตายก็เหมือนสวะ
แต่จะสร้างกองทัพชั้นหัวกะทิไม่ใช่เรื่องง่าย และปิงสามารถทำได้เพียงวางแผนและก้าวหน้าไปช้าๆ
ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงร่วมกันดังนั้นม่อเว่ยเทียนจึงไม่รั้งอยู่อีกต่อไป เขารีบกลับตระกูลม่อทันที เพราะเขารู้ว่าถังเทียนและพวกแตกหักกับสมาพันธ์ชาวยุทธ เขาจึงไม่ต้องการรั้งอยู่
ไม่มีใครสามารถคิดได้ว่าถังเทียนจะปฏิเสธการส่งมอบกระบี่ปลอดสำเนียง สำหรับหลายๆคนกลุ่มอิทธิพลของกลุ่มดาวหมาป่าเพิ่งจะสงบลง และหลายคนคาดการณ์ว่าถังเทียนก้าวร้าวล่วงเกินองค์การวิญญาณมืดมากและคงดึงดูดความสนใจจากระดับสูงของสมาพันธ์ชาวยุทธ และโอกาสมากมายคงจะวิ่งมาหาเขา
หลังจากส่งม่อเว่ยเทียนออกไปแล้ว เซรีนก็วิ่งเข้ามาหา “นี่ท่านไปได้พิมพ์เขียวเหล่านี้มาจากไหน?”
ปิงมองดูรอบๆและเห็นว่าไม่มีใคร เขากล่าวเบาๆ “ข้าพบเจออยู่ในค่ายทหารร้าง”
ตาของเซรีนเบิกกว้างทันที นางมีท่าทางที่คาดไม่ถึงและถามต่อ“กองทัพดาวกางเขนใต้?”
“อืม” ปิงพยักหน้า ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“ข้าอยากไป!” เซรีนตอบ
“เจ้าไปไม่ได้” ปิงอธิบายอย่างอดทน “เราใช้เส้นทางพิเศษเข้าไปและมีเพียงถังเทียนที่สามารถเข้าไปได้ แม้แต่ข้าก็ต้องให้เขาพาไป เขาสามารถพาไปได้แต่เพียงขุนพลวิญญาณเท่านั้น”
เซรีนไม่พอใจ “ไม่มีทางอื่นเลยเหรอ?”
“ข้ายังไม่สามารถหาทางอื่นได้”ปิงกล่าวอย่างใจเย็น
เซรีนอดผิดหวังไม่ได้ ใบหน้านางเต็มไปด้วยความเสียใจ ไร้เรี่ยวแรงนางตอบ “ข้าลองศึกษาแบบพิมพ์เขียวเหล่านี้แล้ว และสามารถสร้างได้สองสามอย่างฮึ่ม.. ถ้าข้าไม่สามารถไปได้ ข้าจะทำอะไรกับที่หักพังเช่นนั้นได้? รอจนกระทั่งข้าศึกษาหมดทุกอย่าง ถึงเวลานั้นข้าจะพัฒนาฐานในเมืองสามวิญญาณและนั่นจะดีกว่าสถานที่ปรักหักพังนั้นแน่นอน”
พูดจบ นางสะบัดหน้าไปด้วยความโกรธ
ปิงถอนหายใจโล่งอกดูเหมือนการซ่อมแซมค่ายทหารที่เจ็ดคงต้องใช้เวลานาน แต่เหตุผลที่เขากลับมาก็คือมอบพิมพ์เขียวให้เซรีน พอทำเสร็จแล้วเขาเตรียมตัวกลับไปยังค่ายทหารใหม่
แต่ก่อนเขาจะออกมาติงตังกลับมาพอดี ใบหน้านางเปื้อนฝุ่นและนางนำข่าวที่ไม่ดีกลับมา
“ค่ายหางแฉก?” สีหน้าปิงเคร่งเครียด
“ใช่แล้ว พวกเขาใช้อำนาจในกลุ่มดาวโคมาเบเรนีซ(ดาวเกศาราชินีเบเรนิซ) หนึ่งในสิบเก้ากลุ่มดาวขอบฟ้าเหนือ” ติงตังอธิบาย “ถ้าไม่ใช่พวกเขาพยายามลอบรวบรวมข้อมูลลับเกี่ยวกับพวกเราข้าคงไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นจารชนอยู่ในกลุ่มดาวหมาป่า นอกจากนี้ข้ายังได้รับข่าวที่ไม่ยืนยันมาข่าวหนึ่ง”
“ข่าวไม่ยืนยัน?” ปิงสนใจสิ่งที่ติงตังพูด
“อืม.. ข้าได้ยินว่าราชินีแห่งกลุ่มดาวคนยิงธนูโหวอี้เทียนอนุญาตให้เฉพาะเย่เฉาเกอเท่านั้นให้เข้ากลุ่มดาวหมาป่าได้” สีหน้าของติงตังเครียด “ความน่าเชื่อถือของข้อมูลนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน ข้ารู้สึกว่า อาจจะจริงก็ได้ เนื่องจากหลายๆคนไม่รู้ว่าเย่เฉาเกอเป็นใคร ถ้าเป็นจริงอย่างนั้น เหตุผลที่นางยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”
ผี่ผาพึมพำกับตนเอง “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง อย่างนั้นก็พออธิบายได้ว่าราชินีโหวยอมให้เพียงเย่เฉาเกอเข้ากลุ่มดาวหมาป่า ขณะที่เย่จิ่งตกอยู่ภายใต้แรงกดดันไม่สามารถส่งคนเข้าไปโดยเปิดเผยได้ เย่จิ่วอาจพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงเตรียมพร้อมเผื่อไว้”
“ค่ายหางแฉกมีความแข็งแกร่งขนาดไหน?” ปิงถาม
“แม้ว่าทุกคนจะพูดกันว่าสิบเก้ากลุ่มดาวขอบฟ้าเหนือไม่มีทหารที่แท้จริง แต่ก็มีกลุ่มที่ทรงอำนาจคล้ายกันค่ายหางแฉกเป็นหนึ่งในนั้น ผู้นำทหารของพวกเขานามว่าจางเจิ้ง มีพลังระดับแปดและไม่ใช่นักสู้ในทำเนียบสวรรค์วิถี ค่ายหางแฉกประกอบด้วยกำลังพลห้าร้อยคน ทั้งหมดมีพลังระดับเจ็ดและบางส่วนก็เป็นระดับแปด จางเจิ้งคือศิษย์จากกลุ่มดาวนายพราน หนึ่งในสิบตำหนักระนาบกลาง เมื่อเขายังเยาว์วัยเขาถูกมองว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ แต่เขาเข้ากลุ่มดาวโคมาเบเรนิซ กลุ่มดาวนั้นเกือบจะหลุดจากดาวที่มีคุณสมบัติเป็นกลุ่มดาวขอบฟ้าเหนือ แต่เขาสร้างค่ายหางแฉกตามมาตรฐานกองทัพ และนั่นคือวิธีที่กลุ่มดาวโคมาเบเรนิซก้าวเข้ามาอยู่ในชั้นกลุ่มดาวระดับกลางของขอบฟ้าเหนือ”
“ค่ายหางแฉกเปิดมานานเท่าใดแล้ว?” ปิงถามทันที
“เจ็ดปี” รายงานของติงตังได้รายละเอียดมาก
“ดูเหมือนว่าเราพบกับปัญหาครั้งใหญ่แล้ว” ปิงกล่าว กองทหารแห่งหนึ่งที่เปิดใช้งานมาเป็นเวลาเจ็ดปี นับได้ว่าเหมือนกับผู้ใหญ่ แม้ว่าด้วยข้อจำกัดพลังของผู้นำทหาร แต่พวกเขามีความสามัคคีที่ดี สำหรับกองทัพที่สร้างใหม่นั้นนั่นคือคู่ต่อกรที่น่ากลัวที่สุด
“อืม..เย่จิ่วคงหาคนนอกมาช่วยเหลือ”ผี่ผาปันความเห็นของนาง“ค่ายหางแฉกเตรียมการไว้จัดการกองทัพหมาป่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังมีหลิงซิ่ว, อาเฮ่อและพวกที่เหลือ เฉพาะพลังของเย่เฉาเกอก็ร้ายกาจทรงพลังมาก แต่เกี่ยวกับเย่จิ่วผู้มีอำนาจ เขาอาจมีคนอื่นอยู่เบื้องหลังเขานั่นก็ต้องระวัง นอกจากนี้ถ้าการเจรจาต่อรองระหว่างทั้งสองฝ่ายล้มเหลว ด้วยสถานะของเย่จิ่วมีแนวโน้มว่าเขาจะไม่สามารถยอมรับภาวะชะงักงันหรืออัดอั้นตันใจได้ และคงต้องการแก้ปัญหาด้วยการขุดรากถอนโคน ดังนั้นแรงกดดันของเขายังหนักหน่วงยิ่งกว่า”
“ข้าไม่ได้รับข่าวลืออะไรเกี่ยวกับเขามาช่วงหนึ่งแล้ว”สีหน้าของติงตังไม่สู้ดี แต่นางรู้ว่าการวิเคราะห์ของผี่ผาถูกต้องถึงเก้าในสิบ
“ดูเหมือนจะถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว” ปิงพึมพำแม้ว่าเขาจะเตรียมการต่อสู้ไว้อย่างเพียงพอ แต่ในช่วงเวลานั้นเขาตระหนักได้ว่าพลังของพวกเขายังไม่เพียงพอ
ความรู้สึกที่เร่งด่วนทำให้ปิงชักช้าไม่ได้ และภายในชั่วโมงเขากลับมายังค่ายทหารใหม่
นอกจากฟงโฉ่วแล้วถังอี้ก็ยังปรากฏตัวอีกด้วย
“มีอะไรคืบหน้าบ้างไหม?” ปิงถามถังอี้
“ขออนุญาตรายงานขอรับ” ถังอี้รายงานปิง “ทุกอย่างลงตัว”
“ไปกันเถอะ” ปิงตอบ
เขานำถังอี้และฟงโฉ่วไปยังค่ายที่เจ็ด เมื่อพวกเขาไปถึงถังอี้และฟงโฉ่วตกตะลึงกับป่าบรอนซ์ที่งามสง่าข้างหน้า พวกเขามีสีหน้าตื่นเต้น
ปิงหยุดทันทีและเหม่อมองออกไปไกล หยาหยานำกลุ่มอสูรจักรกลขุดต่อไป หยาหยาพบสิ่งที่น่าสนใจจาการขุดค้นและนำอสูรจักรกลขุดไปยังพื้นที่ใหม่ต่อ
ปิงรั้งสายตากลับและพาถังอี้กับฟงโฉ่วไปยังประตูบรอนซ์
“พวกเจ้าจะคิดดูก่อนไหม?” ปิงมองดูทั้งสอง
“ไม่มีอะไรจะต้องคิด” ฟงโฉ่วกล่าว
ถังอี้กล่าวจริงจัง“ใต้เท้าปิง บริวารต้องการจะบัญชาการกองทัพหมาป่า”
ปิงชะงักเล็กน้อยและมองดูถังอี้อย่างตั้งใจ “เจ้าแน่ใจนะ?”
“ขอรับ!”
“ดี” ปิงตอบ “ขออวยพรให้พวกเจ้าทุกคนโชคดี”
พวกเขาเปิดประตูบรอนซ์