ตอนที่ 11-2 บรรลุระดับใหม่
ห้องมิติถูกแบ่งออกเป็นสองชั้นกลางและชั้นล่าง ชั้นกลางจะเป็นชั้นดั้งเดิม ปัจจุบันลินลี่ย์จะใช้ชั้นนี้เป็นที่ฝึก ขณะที่ชั้นล่าง เดเลียจะใช้ชั้นนี้ฝึกฝน
เดเลียเสร็จการฝึกฝนของนางและลืมตา
นางมองดูมิติที่วุ่นวายด้านนอกผนังใส ครั้งแรกที่นางเห็น เดเลียรู้สึกตกใจ แต่ตอนนี้นางชินแล้ว
เมื่อนางเงยหน้าขึ้น นางมองทะลุเห็นลินเลี่ย์นั่งขัดสมาธิกำลังเข้าสมาธิลึก เมื่อเห็นลินลี่ย์เดเลียรู้สึกว่าใจนางสงบขึ้น รอยยิ้มสงบปรากฏบนใบหน้านางเช่นกัน นางหลับตาทันทีจากนั้นรู้สึกทึ่งอัศจรรย์กับความลึกซึ้งของเวทภายในทะเลสำนึกของนาง
“ตึกๆ!”ตึกๆ!”
จังหวะเต้นของโลกที่ไม่เหมือนใครบางครั้งก็เหมือนสายฟ้าขณะที่บางคราก็เหมือนกับคลื่นกระแทก แฝงความลึกลับไม่มีสิ้นสุดอยู่ในนั้น ลินลี่ย์สามารถรู้สึกได้คลื่นสองร้อยห้าสิบหกชั้นนี้กึกก้องอยู่ในจิตสำนึกของเขา
จังหวะเต้นชีพจรโลกที่ไม่เหมือนใครซ่อนอยู่ในคลื่น256 ชั้นนี้
อย่างไรก็ตามการเต้นของชีพจรโลกเกิดมาจากธรรมชาติของมันเองแฝงความลับทั้งมวลอยู่ในการเต้นของชีพจรแต่ละครั้งเช่นกัน
ลินลี่ย์ฝึกฝนมาอย่างยากลำบากจนเกือบจะยี่สิบปีแล้ว ตอนนั้นเขาฝึกตั้งแต่คลื่นชั้นแรกไปจนถึงคลื่นชั้นที่256
“คลื่น 256 ชั้นเพียงแต่แสดงความลึกลับที่ลึกซึ้งของธาตุดิน การลดจำนวนคลื่นแต่เพิ่มความลึกซึ้งของการเต้นชีพจรโลกได้..” ลินลี่ย์ยังคงไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องความคิดชุดแล้วชุดเล่าผุดต่อเนื่องขึ้นมาในใจของเขา
ไม่มีความคิดใดถูกต้องเลย!
ผิด!
ผิด!
ผิดหมด!
การเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วนและวิธีการฝึกฝนปรากฏขึ้นในใจเขา แต่ลินลี่ย์ปฏิเสธไปทั้งหมด ใจของลินลี่ย์อยู่ในสถานะเพ่งพินิจไตร่ตรอง และจากนั้นก็ปฏิเสธวิธีฝึกฝนวิธีแล้ววิธีเล่า บางวิธีก็ทำให้ลินลี่ย์มีพลังก้าวหน้า แต่ลินลี่ย์รู้ว่าไม่มีวิธีใดที่เป็นวิธีที่ถูกต้อง
“ผิด ผิด” หน้าผากของลินลี่ย์มีเหงื่อเกาะพราว แต่ลินลี่ย์ไม่สังเกตเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด หรือว่าความเป็นไปได้ที่เขาปฏิเสธไปหลายวิธี
ทันใดนั้น...
คิ้วของลินลี่ย์ที่ยังอยู่ในสมาธิกระตุกและจากนั้นลินลี่ย์ลุกขึ้นยืนทันทีแค่เพียงพลิกมือดาบหนักอดาแมนเทียมก็ปรากฏอยู่ในมือของเขา ตาของเขายังหลับ ลินลี่ย์เริ่มกวัดแกว่งดาบหนักอดาแมนเที่ยม แต่เขาไม่ได้ใช้สัจธรรมแห่งธาตุดิน
“ตุ้บ!” การสั่นสะเทือนซึ่งดูเหมือนจะสั่นหัวใจของลินลี่ย์จนถึงแก่น
“ใช่แล้ว เป็นวิธีที่ถูกต้องแล้ว” ลินลี่ย์ลืมตาทันทีดวงตาที่เต็มไปด้วยความยินดี
ในขณะนั้นลินลี่ย์ประสบความสำเร็จผสานสัจธรรมที่แฝงอยู่ในชั้นแรกและชั้นที่สองเข้าเป็นชั้นเดียว “ผสานสองชั้นให้เป็นชั้นเดียว...” ตาของลินลี่ย์เต็มไปด้วยความดีใจแทบคลั่ง “ใช่แล้ว ไปทีละก้าว เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะผสานคลื่น256 ชั้นเข้าเป็นคลื่นชั้นเดียวในรวดเดียว ข้าจะผสานครั้งละสอง ข้าจะผสานคลื่นทั้งหมดได้แน่นอน”
คลื่นชั้นแรกและคลื่นชั้นสองกลายเป็นหนึ่ง
ชั้นที่สามและชั้นที่สี่กลายเป็นหนึ่ง
ชั้นที่255 และ 256 จะกลายเป็นหนึ่ง
ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือเขาจะสามารถเชี่ยวชาญพลังคลื่น256 ชั้นของสัจธรรมแห่งธาตุดินเหลือเพียงคลื่น 128 ชั้น!
การวิเคราะห์และประสานคลื่นเหล่านั้นจะง่ายกว่าเยอะ นอกจากนี้ลินลี่ย์ประสบความสำเร็จประสานคลื่นชั้นที่หนึ่งเข้ากับคลื่นชั้นที่สองแล้ว
“ใช่แล้ว นี่คือทางที่ถูกต้อง” ลินลี่ย์มั่นใจมากในการเลือกเส้นทางของเขา ที่สำคัญ ผลสุดท้ายของ ‘การเต้นชีพจรโลกนี้’ กำลังจะประสานคลื่น 256ชั้นให้เหลือเพียงชั้นเดียว ดังนั้น...คลื่นสองคลื่นควรจะสามารถประสานเข้ากันได้ดี เพียงแต่มันยังยากอยู่
ด้วยการทดสอบการผสานคลื่นที่หนึ่งและที่สองทำได้สำเร็จตอนนี้ลินลี่ย์มั่นใจในวิธีการนี้แล้ว
ในแต่ละคลื่นพลังจะมีความลึกซึ้งลึกลับที่แตกต่างกัน ทุกๆ การประสานคลื่นให้เป็นหนึ่งลินลี่ย์ต้องเวลาและความพยายามมากมายในการคาดเดา ทดสอบและประเมินผล
“ลอร์ดลินลี่ย์!” ขณะที่ลินลี่ย์กำลังไตร่ตรองถึงการเคลื่อนไหวต่อไป เขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยทันที
ลินลี่ย์ลืมตาทันที เป็นบาร์เกอร์ ในห้องชั้นล่าง เดเลียลืมตาขึ้นเช่นกัน นางพุ่งขึ้นมาถึงที่ชั้นกลาง ที่สำคัญระยะห่างระหว่างพวกเขาห่างกันราวๆ สองเมตรเนื่องจากระดับพลังในปัจจุบันของเดเลีย นางสามารถย่นระยะเข้ามาได้ง่าย
“บาร์เกอร์ ทำไมท่านถึงเข้ามาที่นี่?” เดเลียยิ้มให้เขา
ลินลี่ย์ปล่อยใจให้พักชั่วขณะ เขาคิดมาเป็นเวลานานและทดลองมาเป็นเวลานาน ตอนนี้ลินลี่ย์ผสานคลื่นที่สามและที่สี่สำเร็จแล้วสิ่งที่ลินลี่ย์ต้องทำก็คือ ทำต่อไปจนกระทั่งถึงคลื่นที่ 255 และ 256
ขณะนั้นคลื่น 256 ชั้นของวิชาสัจธรรมแห่งธาตุดินถูกย่อเป็นคลื่น 128ชั้นของสัจธรรมแห่งธาตุดิน ลินลี่ย์คาดว่าพลังของเขาคงเพิ่มขึ้นทันทีอีกหลายเท่า
“ยากมากจริงๆ ที่จะผสานคลื่นสองชั้นให้เป็นหนึ่งเมื่อทำตามวิธีการนี้ไปเรื่อยจนถึง 128 ชั้นให้เหลือ 64ชั้นมีแนวโน้มว่าจะยากมากขึ้น
การผสานแบบนี้อธิบายอย่างหยาบๆ ก็เหมือนกับบรรจุของบางอย่างลงในกล่องเดียว ถ้าท่านมีกล่องอยู่สี่ใบ และท่าต้องการบรรจุของในสองกล่องลงในกล่องเดียวให้ได้ แม้ว่าจะยาก แต่ก็สามารถทำได้
ท่านสามารถใส่ของที่บรรจุในกล่องสี่กล่องลงในกล่องเพียงสองใบได้
แต่เมื่อท่านต้องการบีบสิ่งของในกล่องทั้งสองใบให้ลงในกล่องใบเดียวก็จะยากขึ้นกว่าที่ท่านเคยทำในครั้งก่อนถึงสิบเท่า
ลักษณะที่ยากขึ้นอธิบายได้อย่างนี้
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านสามารถทำได้สำเร็จโดยวิธีคิดเท่านั้น จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องการเต้นของชีพจรโลกให้มากขึ้นพยายามทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า
“บาร์เกอร์, เกิดอะไรขึ้น?” ลินลี่ย์ถาม
“ท่านลอร์ดลินลี่ย์ คาสโตรแห่งวิทยาลัยเทพสงครามรออยู่ข้างนอกในตอนนี้ เขารับบัญชาจากเทพสงครามให้มาหาท่าน” บาร์เกอร์รายงานทันที เมื่อได้ยินคำว่า ‘เทพสงคราม’ ลินลี่ย์อดเลิกคิ้วไม่ได้ จากนั้นยืนขึ้นทันที “ไปกันเถอะ ออกไปดูข้างนอกกัน”
ลินลี่ย์โอบไหล่เดเลียและคลุมร่างของเขากับเดเลียด้วยชั้นปราณสีน้ำเงินเข้ม ปราณโคจรไปตามจังหวะที่ไม่เหมือนใคร
“ฉัวะ ฉัวะ..”
ขณะที่พวกเขาเดินออกมาจากประตู ลินลี่ย์หมุนตัวสองสามรอบและจากนั้นก็มาถึงห้องต้อนรับอาคันตุกะใต้ดิน ตอนนี้คาสโตรกำลังหลับตารอเงียบๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของลินลี่ย์ คาสโตรลืมตาลุกขึ้นยืนทันที
ทันทีที่เขาเห็นลินลี่ย์ คาสโตรยิ้มเต็มหน้าทันที ขณะที่เขาลอบตกใจ “ลินลี่ย์ก้าวหน้าไปมากและมีวินัยมากกว่าตอนที่ยังอยู่ในวังหลวงเสียอีก มิน่าเล่าศิษย์พี่อาวุโสถึงได้บอกว่าลินลี่ย์ฝีมือเท่ากับเขาในตอนนี้แล้ว”
“ท่านคาสโตร เราไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว เชิญนั่ง” ลินลี่ย์ยิ้ม ขณะที่เขานั่งลง
คาสโตรยิ้มกว้าง “ไม่ได้เจอกันนานก็จริง แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ข้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่เจ้า,ลินลี่ย์ ไม่เพียงแต่พลังส่วนตัวของเจ้าจะก้าวหน้ามากมายเท่านั้น เจ้ายังแต่งงานมีลูกแล้วข้าพบลูกทั้งสองของเจ้าในนครบาลุคแล้ว โดยเฉพาะเจ้าหนูเทย์เลอร์ น่ารักจริงๆ”
เมื่อได้ยินคนอื่นชื่นชมลูกของเขาลินลี่ย์รู้สึกมีความสุขเป็นธรรมดา
เดเลียหัวเราะเช่นกัน “ท่านคาสโตรมิทราบว่าการเยี่ยมเยือนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ใด?”
คาสโตรหัวเราะเช่นกัน “ครั้งนี้ ข้ามาตามคำสั่งของอาจารย์ ข้ามาส่งข่าวให้ลินลี่ย์”
“ข่าวอะไร?” ลินลี่ย์งง
“วันที่ 3 มีนาคม ปีหน้า ลินลี่ย์! เจ้าต้องรีบไปที่ภูเขาเทพสงคราม” คาสโตรสั่ง
ลินลี่ย์บาร์เกอร์และเดเลียมองหน้ากันเอง พวกเขางุนงงอยู่ในใจ ลินลี่ย์กล่าว “ท่านคาสโตรท่านบอกเหตุผลที่เทพสงครามให้ข้าไปภูเขาเทพสงครามในวันที่ 3 มีนาคมปีหน้าได้ไหม?นี่เกี่ยวกับเรื่องอะไร?”
“อืม...” คาสโตรลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“เกี่ยวข้องกับความลับใช่ไหม?” ลินลี่ย์คาดเดา
คาสโตรพยักหน้า หัวใจของลินลี่ย์ตื่นเต้นทันที เทพสงครามก่อนนี้บอกลินลี่ย์ภายในทวีปยูลานมีบางที่ซึ่งรู้จักกันในชื่อว่าสุสานเทพเจ้า และสุสานเทพเจ้านี้มีสมบัติมีค่าซึ่งเทพผู้สูญสลายทิ้งไว้ อย่างเช่นประกายเทพ!
“ท่านสามารถพูดให้ชัดเจนได้ไหม?” ลินลี่ย์ถาม และจากนั้นเขาอธิบาย “บาร์เกอร์เป็นยอดฝีมือระดับเซียนไปแล้ว ส่วนภรรยาข้าเป็นจอมเวทระดับเก้านางกำลังจะถึงระดับเซียนจอมเวทในอีกไม่ช้านี้ ไม่มีอะไรจำเป็นต้องปิดบัง”
“เอาอย่างนั้น...ก็ได้”
คาสโตรชะงักจากนั้นพยักหน้า “ครั้งนี้,อาจารย์สั่งให้ท่านไปหาเขา แนวโน้มในคำสั่งก็คือให้เตรียมตัวไปสุสานแห่งเทพเจ้าด้วยกัน เหตุผลที่ข้าพูดเรื่องนี้เพราะก่อนที่ข้าจะมาอาจารย์ได้มีการสนทนาเป็นพิเศษกับศิษย์พี่กว่าสิบคนของข้า ซึ่งพวกเขาได้ฝึกฝนกันมามากกว่าสามพันปี”
“สุสานเทพเจ้า?” เดเลียและบาร์เกอร์ส่งเสียงอุทาน
เดเลียเคยได้ยินลินลี่ย์พูดถึงสุสานเทพเจ้ามาก่อน เนื่องจากพวกเขาเป็นสามีภรรยากันลินลี่ย์จึงไม่เคยปิดบังอะไรจากเดเลีย
“ท่านกำลังบอกว่าศิษย์สายตรงทั้งสิบของวิทยาลัยเทพสงครามจะไปสุสานเทพเจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ?” ลินลี่ย์ถาม
“เจ้าจะได้รู้ปีหน้า ดังนั้นไม่จำเป็นที่ข้าจะต้องปิดบังอะไร วิทยาลัยเทพสงครามของเราจะส่งศิษย์ไปเกินกว่าสิบคนแน่นอน” หน้าของคาสโตรเคร่งขรึม “แต่ลินลี่ย์!การเข้าสุสานเทพเจ้ามีอันตรายอย่างที่สุด แค่เพียงเพราะเจ้าแข็งแกร่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะรอดอยู่ได้แน่นอน”
“เหรอ?” ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว งงงวยเล็กน้อย
คาสโตรอธิบาย “อาจารย์เลือกแต่เพียงศิษย์สิบคนที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้าน่าจะคาดเดาเรื่องนี้ออก สุสานเทพเจ้าคือสถานที่ซึ่งฆ่าเซียนที่ไปถึงนั่นได้ง่ายที่สุด ขอเพียงแต่พลังถึงระดับที่แน่นอนจึงจะมีหวังรอดชีวิต”
“แต่ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งแต่โชคร้าย อย่างนั้นเจ้าอาจต้องเสียชีวิต” คาสโตรฝืนหัวเราะ “ในประวัติศาสตร์ของวิทยาลัยเทพสงครามยอดฝีมือหลายคนตายในที่นั้น อย่างเช่นศิษย์พี่คนที่สามของเรา ในอดีตระดับพลังของเขาเท่าๆ กับศิษย์พี่ แต่เขาก็ยังตายในสุสานเทพเจ้า”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
คนของวิทยาลัยเทพสงครามย่อมเข้าสุสานเทพเจ้ามาหลายครั้งอย่างมิต้องสงสัย พวกเขามีประสบการณ์เหลือเฟือ
“อันตรายมากนักหรือ?” เดเลียถาม รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย นางรู้ว่าลินลี่ย์มีแนวโน้มว่าจะเข้าสุสานเทพเจ้าแน่
คาสโตรพยักหน้าจริงจัง “เป็นอาจารย์ที่บอกว่าถ้าใครด่วนใจร้อนบุกเข้าสุสานเทพเจ้า แม้แต่คนอย่างอาจารย์ก็ยังจะพลาดท่าได้ไม่ต่างอะไรจากเซียน ดังนั้นในสุสานเทพเจ้าจำเป็นต้องมีความแข็งแกร่ง ต้องระมัดระวังและแน่นอน... ต้องพึ่งพาโชคเล็กน้อย”
คาสโตรหัวเราะทันที “แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าเพียงแต่ได้ยินเรื่องเหล่านี้จากศิษย์พี่คนอื่น ข้าไม่เคยฟังด้วยตัวเอง บางทีอาจไม่อันตรายนักก็ได้ ที่สำคัญศิษย์พี่เคยไปในสุสานเทพเจ้าถึงสี่ครั้งแล้ว แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ไม่ใช่หรือ?”
เดเลียบีบมือลินลี่ย์แน่นนางเกรงกลัว
ความรู้สึกอบอุ่นส่งผ่านมาจากมือเดเลีย ลินลี่ย์รู้สึกอุ่นใจเช่นกัน เขาปลอบนางทันที “เดเลีย, ไม่เป็นไร,ข้าชำนาญพลังป้องกันและข้าก็ไวมากด้วย นอกจากนี้.. เส้นทางการฝึกฝนย่อมไม่ใช่เส้นทางแห่งการขลาดเขลาเอาแต่หลบซ่อนไม่ใช่หรือ?”
หัวใจของลินลี่ย์เต็มไปด้วยความคาดหวังต่อสุสานเทพเจ้า
ห้าพันปีที่แล้ว เมื่อยอดฝีมือจากพิภพอื่นลงมายังที่นี่ สี่สุดยอดนักรบก็ถือกำเนิดขึ้นทันที...จะมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้หรือไม่?
“เข้าใจแล้ว” เดเลียรับคำอย่างว่าง่าย
“คาสโตร, ข้าไปด้วยได้ไหม?” เสียงของบาร์เกอร์ดังขึ้นมาทันที “นักรบอมตะคนแรก ผู้ก่อตั้งตระกูลอาร์มันด์ ก็มีประสบการณ์เปลี่ยนแปลงเหล่านั้นกะทันหันเมื่อห้าพันปีที่แล้ว ข้าก็เหมือนกัน ต้องการจะเข้าสุสานเทพเจ้าบ้าง”
“นี่.. คงจะเป็นเรื่องยากมาก” คาสโตรส่ายศีรษะ “แต่ละครั้งจะมีการจำกัดจำนวนช่องทางให้คนๆเดียวเข้าสุสานเทพเจ้า อาจารย์มีจำนวนที่จำกัดไว้ ศิษย์สิบคน ยอดฝีมือถือสันโดษอื่นอีกสิบสองคนจะต้องอาศัยอาจารย์นำด้วยเช่นกัน”
ลินลี่ย์พูดปลอบโยนบาร์เกอร์ “บาร์เกอร์! อย่าเพิ่งใจร้อน ข้าจะช่วยพูดให้เมื่อถึงเวลา”
คาสโตรหัวเราะจากนั้นลุกขึ้นยืน “ลินลี่ย์, ข้าได้แจ้งข่าวเสร็จแล้วข้าขอลากลับก่อน” เมื่อลินลี่ย์เตรียมจะโน้มน้าวเขาให้อยู่นานขึ้นคาสโตรรีบกล่าว “ไม่จำเป็น,อาจารย์ยังคงรอให้ข้ากลับไปรายงานภารกิจ”
“อย่างนั้นข้าคงไม่ฝืนใจท่านให้อยู่ เราค่อยพบกันอีกในปีหน้าที่ภูเขาเทพสงคราม” ลินลี่ย์ลุกขึ้นยืนและส่งอาคันตุกะกลับ
หลังจากคาสโตรออกไปแล้วลินลี่ย์ บาร์เกอร์และเดเลียทุกคนเริ่มปรึกษากันเรื่องสุสานเทพเจ้า
“ข้าต้องไปสุสานเทพเจ้าให้ได้ ถ้าข้าได้รับประกายเทพ ต่อให้ข้าไม่ใช้ข้าก็ยังสามารถมอบให้วอร์ตันหรือเดเลียได้ นั่นจะดีมากมายเพียงไหน” ลินลี่ย์หัวเราะอย่างใจเย็น “แม้ว่าข้าจะไม่ได้รับประกายเทพ บางทีข้าอาจได้สมบัติมีค่าอย่างอื่น และข้ามีความรู้สึกแปลกนี้ว่า...สุสานเทพเจ้าคือสถานที่ซึ่งข้าต้องไป”
ลินลี่ย์มีความรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังเรียกหาเขา
“หืม? ในที่สุดบีบีก็กลับมาแล้ว” ลินลี่ย์ตาเป็นประกาย บีบีไปที่ไพรทมิฬเพื่อรับรู้มรดกของเขา แล้วมรดกของเขาคืออะไรกันแน่?