ตอนที่ 328 – ตอนที่ 309 การตัดสินใจของเชี่ยนเชี่ยน
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเสวี่ยอู๋เสียกำลังฝึกฝนอยู่บนผิวทะเลสาบห่างออกไปสิบกิโลเมตร เจ้าเมืองโล่วฮัวกำลังปลูกดอกไม้ในสวนน้อยนอกบ้านของพวกเขา ขณะที่ภายในบ้าน หญิงงามอู๋เหินกำลังคัดลอกอักษรรูนสวรรค์จำนวนหนึ่ง เมื่อเย่ว์หวี่เห็นว่าเย่ว์หยางและคนอื่นๆ กลับมานางต้อนรับพวกเขาอย่างมีความสุข “พวกเจ้าไปพบเต่ามังกรมาแล้วหรือ?”
“ใช่แล้ว!” เย่ว์ปิงพยักหน้าร่าเริง
“เจ้าจำเป็นต้องใช้อะไรรักษามันหรือ? วารีบำบัดใช้ได้หรือเปล่า?” เย่ว์หวี่คิดว่าในที่สุดนางอาจทำประโยชน์ได้บ้าง
แม้ว่านางไม่สามารถต่อสู้ได้ แต่นางสามารถรักษาได้ ไม่มีปัญหา
อี้หนานผงกศีรษะ บอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างนั้น
เย่ว์หวี่ประหลาดใจ เจ้าเมืองโล่วฮัวได้ยินเสียงอึกทึกจากในสวนดอกไม้ของนางจึงวางมือจากงานปลูกดอกไม้และวิ่งกลับเข้ามาในบ้าน จิ้งจอกหิมะสามหางก็ตามนางมาด้วย มันวิ่งเร็วกว่านางมาก
ขณะที่เย่ว์ปิงอธิบายสถานการณ์ให้เย่ว์หวี่ อี้หนานรีบไปแจ้งข่าวองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเสวี่ยอู๋เสียให้กลับมา
อีกด้านหนึ่ง เจ้าเมืองโล่วฮัวกำลังค้นตัวเย่ว์หยาง นางรู้ว่าถ้าเขาพบต้นไม้ที่ดูแปลกประหลาดในการเดินทาง เขาจะต้องเก็บมาให้นางแน่นอน แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อตรวจดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บที่มองไม่เห็น เย่ว์หยางรีบบอกว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บ และยื่นเมล็ดต้นผลไหมพริ้วให้นาง
“เอ๋..นี่อะไรหรือ?” ดูเหมือนจะเป็นเมล็ดต้นผลไหมพลิ้วที่สูญพันธุ์ไปเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ เจ้าเมืองโล่วฮัวประหลาดใจ ยังคงมีเมล็ดพันธุ์ที่นางไม่รู้จักอีกหรือ?
“นี่คือต้นผลไหมพลิ้ว มีประโยชน์ในการใช้สลายพลังมืด” เย่ว์หยางอธิบายให้นางฟัง
“โอ๊วว, มันสูญพันธุ์ไปจากทวีปมังกรทะยาน 2-3 ร้อยปีแล้วใช่ไหมนี่? ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีเลย ข้ายังขาดพันธุ์ไม้ที่เปล่งแสงในยามราตรีในสวนของข้า” เจ้าเมืองโล่วฮัวดีใจแทบคลั่งถึงกับกอดแขนเย่ว์หยางและให้จูบหวานๆ เป็นรางวัล เจ้าเมืองโล่วฮัวมีความปลาบปลื้มมากเกินไป ความจริงความสัมพันธ์ของนางกับเย่ว์หยางก็ยังไม่ถึงระดับที่นางจะจูบเขา เย่ว์ปิงไม่ถือสาแม้แต่น้อย แต่เย่ว์หวี่หน้าแดงเล็กน้อย
ขณะที่ต้นผลไหมพลิ้วความสามารถขจัดพลังมืดเหมือนความสามารถของนางเอง เย่ว์หวี่ก็รู้เรื่องสมุนไพรเช่นกัน
เมื่อพวกเขากำลังศึกษาเรื่องนี้ในสถาบันฉางจิงครั้งก่อน มีพวกลามกในชั้นเรียนของนางหลายคนเรียกนางด้วยฉายาว่า “แสงจันทร์วารีไหมพลิ้ว”
ฉายา “จันทร์วารีไหมพลิ้ว” หมายถึงผิวของนางเรียบเนียนขาวเหมือนน้ำไหลและรูปร่างที่ยั่วยวนของนาง ถ้าทักษะภูตน้ำพุของนางยกระดับจนพัฒนาการสุดท้าย ตามที่ครูของพวกเขาบอก พลังภายในของเย่ว์หวี่จะเป็นเหมือนแสงจันทร์ จะให้ความรู้สึกอบอุ่นและสะดวกสบายแก่ผิวของคนอื่น และเมื่อเย่ว์หวี่ปล่อยพลังภายในเต็มที่ ก็สามารถกำจัดปราณร้ายและผลกระทบในเชิงลบได้
ถ้านางไม่ได้เกิดในตระกูลเย่ว์และมีคู่หมั้นของนางเอง คนที่สมัครขอเป็นคู่นางอาจต้องเข้าแถวยาวเหยียดเป็นกิโลฯ ก็ได้
เสี่ยวซานทรงพลังมากอยู่แล้ว ถ้าเขาดื่มน้ำผลไหมพลิ้วซึ่งมีผลเพิ่มพลังทางเพศ แล้วพี่อู๋เหินจะทนเขาได้อย่างไร?
เมื่อเย่ว์หวี่นึกถึงเรื่องนี้ หน้าของนางก็แดงขึ้น
อย่างไรก็ตาม พอเห็นองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเสวี่ยอู๋เสียวิ่งกลับมาจากในระยะไกล นางก็สงบจิตใจลงได้ ยังคงมีเชี่ยนเชี่ยนและคนอื่น ทำไมนางต้องกังวลเรื่องเขาด้วย? ไม่มีผลกระทบในด้านลบจากการบริโภคผลไหมพลิ้ว บางทีเขานำกลับมาที่นี่เพื่อปลูกเล่นๆ ก็ได้
เย่ว์หวี่รีบเบนความสนใจไปเรื่องอื่นๆ และจับใจความที่เย่ว์ปิงกำลังพูดเรื่องวิหารเทพจักรพรรดิอวี้
วิหารเทพจักรพรรดิอวี้หรือ?
นางไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่แบบนั้นมาก่อน
เมื่อองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเสวี่ยอู๋เสียกลับมา เย่ว์หยางเล่าสถานการณ์ให้พวกนางฟัง สาวๆ เริ่มจะขมวดคิ้ว
“เกี่ยวกับเรื่องสงครามใหญ่กับแดนสวรรค์ที่เกิดขึ้นเมื่อหกพันปีที่แล้ว ไม่มีบันทึกไว้เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ตามที่เต่ามังกรเล่าเรื่องเอาไว้ เราไม่สามารถประมาทได้เลย ที่สำคัญที่สุดมนุษยชาติยังไม่สามารถไปถึงแดนสวรรค์ได้เลยจนเดี๋ยวนี้ สำหรับวิหารเทพจักรพรรดิอวี้ ถ้ามีวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนสวรรค์สองตนถูกผนึกอยู่ข้างใน อย่างนั้นก็ไม่ใช่ที่ๆ เราจะบุกเข้าไปได้ง่ายๆ” เสวี่ยอู๋เสียรู้ว่าภารกิจนี้หนักหนากว่าแผนของเขาที่จะสำรวจแดนล่มสลายแห่งทวยเทพในอนาคตเสียอีก
นอกจากมารดาเย่ว์หยางแล้ว ไม่เคยมีผู้ใดเข้าไปในเขตแดนชั้นในของแดนล่มสลายแห่งทวยเทพมาก่อน นั่นเป็นความท้าทายครั้งใหญ่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม สองดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนสวรรค์นี้ติดอยู่ภายในผนึกในวิหารเทพจักรพรรดิอวี้มานานหกพันปีแล้ว ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่เคยขอร้องคนอื่นในเวลาปกติ แต่จู่ๆ นางก็ให้คำแนะนำเย่ว์หยาง “ทำไมเจ้าไม่ขอให้สุภาพสตรีอกโตนางนั้นช่วยเล่า? นางต้องรู้อะไรอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น นางก็พยายามหาทางใกล้ชิดเจ้าไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้าไม่ให้โอกาสนางล่ะ?”
สุภาพสตรีอกโตที่นางพูดถึงก็คือนางเซียนหงส์ฟ้า หรือมารกฎฟ้านั่นเอง
ถ้าเป็นนางเซียนหงส์ฟ้าเมื่อก่อนนั้น องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนคงจะกังวลเรื่องนางแน่นอน อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านการต่อสู้ที่ปราสาทตระกูลเย่ว์ร่วมกัน เห็นว่านางเซียนหงส์ฟ้าต้องเสี่ยงชีวิตช่วยเย่ว์หยางมากขนาดไหนและต้องสู้กับซุ่นเทียนจักรพรรดิแห่งจื่อเว่ยจนกระทั่งนางหมดสติจากอาการบาดเจ็บหนัก องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนจึงเปลี่ยนทัศนคติต่อนาง แม้ว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนจะไม่ค่อยชอบนางเซียนหงส์ฟ้าผู้ยั่วยวนที่อาจหิ้วเย่ว์หยางขึ้นเตียงเมื่อใดก็ได้ แต่แนวความคิดของนางบอกว่าถ้าอาศัยกำลังของตนเองแล้วไม่เพียงพอ ก็ต้องขอความช่วยเหลือจากนางมารกฎฟ้าให้ช่วยสำรวจวังเทพของจักรพรรดิเรือนจำ
นางคงไม่วางใจง่ายๆ ถ้านางปล่อยให้เย่ว์หยางสู้เพียงลำพัง
และนางทนเรื่องอย่างนี้ไม่ได้
วิธีที่ดีที่สุดก็คือหาคู่หูคนหนึ่งที่จะไม่หักหลังเขา แม้เมื่อพวกเขามีโอกาสที่จะทำเช่นนั้น และคนที่นางเลือกก็คือ มารกฎฟ้า
ขณะที่มารกฎฟ้า หนึ่งในสามผู้นำใหญ่ของวังมาร นางมีทุกอย่างในเงื้อมมือนางแล้ว นางไม่ขาดแคลนสิ่งใด นางเพียงขาดบุรุษคนหนึ่งผู้สามารถเติมเต็มชีวิตที่เงียบเหงาของนาง ตราบใดที่เย่ว์หยางยังแอบใช้วิธีการของหนุ่มน้อยน่ารักและเสียสละตัวสักเล็กน้อย มารกฎฟ้าจะช่วยเหลือเขาแน่ ตัวอย่างเช่น ช่วงระหว่างศึกปราสาทตระกูลเย่ว์ นางต่อสู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกับซุ่นเทียนจักรพรรดิแห่งจื่อเว่ย, และสู้แม้กระทั่งกับจ้าวปีศาจทั้งสามและราชาลิชในแดนอเวจี นางก็ไม่ทอดทิ้งเย่ว์หยางหนีเอาตัวรอดแต่เพียงลำพัง นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าสุภาพสตรีอกโตผู้นี้เป็นสหายที่ควรแก่การไว้วางใจได้
“ข้าเห็นด้วย ข้าคิดว่าคงจะดีที่สุดถ้าเราสามารถสำรวจวิหารเทพจักรพรรดิอวี้พร้อมกับมารกฎฟ้าได้ ข้าคิดว่าเราควรจะกำหนดรางวัลให้นาง” เจ้าเมืองโล่วฮัวมักไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับเรื่องจัดการ แต่นางก็เด็ดขาดจริงจังมาก ถ้านางไม่ใช่ผู้หญิง นางอาจจะนั่งตำแหน่งจักรพรรดิแห่งเทียนหลัวก็ได้ คงไม่ใช่องค์ชายเทียนหลัวแน่
“ข้าคิดว่าเราควรจะฝึกด้วยพลังของเราทั้งหมด ถ้าเรายังไม่เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด แม้ว่าเราจะเข้าไปช่วย เราก็คงจะช่วยได้ไม่มากนัก!” เสวี่ยอู๋เสียพูดช้าๆ
คำพูดเหล่านี้กระตุ้นความรู้สึกในใจสาวๆ
ความหมายโดยทั่วไปก็คือพวกนางทุกคนไร้ประโยชน์ ไม่สามารถช่วยเย่ว์หยางได้ เมื่อเผชิญสถานการณ์ที่ท้าทาย พวกนางต้องขอให้มารกฎฟ้าช่วยเหลือแทน
เสวี่ยอู๋เสียไม่ได้คัดค้านที่จะขอความช่วยเหลือจากมารกฎฟ้า แต่นางรู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะต้องคิดก็คือยกระดับความสามารถของพวกนางด้วย
ที่สำคัญที่สุด ถ้าท่านต้องการจะทำบางสิ่งให้ดี ท่านควรทำด้วยตนเอง!
แม้ว่าพวกนางประสบความสำเร็จในการสำรวจวิหารเทพจักรพรรดิอวี้ในครั้งนี้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นถ้าพวกนางต้องไปแดนสวรรค์ในอนาคต? เต่ามังกรชราบอกว่าประตูแดนสวรรค์จะแค่เพียงร้อยปีต่อครั้ง ปีนี้ประตูสวรรค์ก็จะเปิด ถ้าพวกเขาคลาดไป ก็ต้องรอต่อไปอีกร้อยปี ถ้าเย่ว์หยางต้องการเข้าแดนสวรรค์ จะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาถ้าเขาจับมือกับมารกฎฟ้าและคนอื่นๆ แต่ถ้าสาวๆ ไม่มีทักษะเช่นนั้นเลย อย่างนั้นพวกนางจะไม่สามารถพบเย่ว์หยางนานถึงร้อยปี?
ถึงตอนนั้น มารกฎฟ้าและเย่ว์หยางคงจะอุ้มหลานและไม่มีธุระอะไรเกี่ยวข้องกับใครๆ อีกต่อไป
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนกำหมัดและขบฟันแน่นขณะที่นางประกาศเด็ดเดี่ยว “อีกหนึ่งเดือนให้หลัง ต้องรีบเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดให้ได้!”
อย่างไรก็ตาม ค่อนข้างจะเป็นไปไม่ได้สำหรับนางสำหรับการเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดโดยฝึกด้วยตนเองเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ไม่ว่านางจะมีพรสวรรค์เพียงใดก็ตาม นางคงไม่สามารถเทียบได้กับเย่ว์หยาง ผู้ผิดธรรมดา
อย่างไรก็ตาม ถ้านางละวางการสงวนตัวทั้งหมดและยอมฝึกผสานร่างกับเย่ว์หยางเหมือนคนรักหรือเหมือนกับคู่แต่งงาน อย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้
ตราบใดที่นางสามารถเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด นางก็จะไม่ถูกทอดทิ้ง.. แม้ว่าดูจากภายนอกนางจะแสดงอาการดุร้ายกับเย่ว์หยางและแนะนำให้ร่วมมือกับมารกฎฟ้าอย่างช่วยไม่ได้ แต่นางก็รู้สึกแอบเสียใจอยู่ในใจ การกระทำของนางก็เท่ากับยกเขาใส่พานถวายให้คนอื่น
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนสามารถวาดภาพได้เลยว่าความสามารถของเย่ว์หยางจะก้าวหน้ายิ่งใหญ่อีกครั้งหลังจากต่อสู้ในวิหารเทพจักรพรรดิอวี้ ถึงตอนนั้น ก็คงมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าไปสำรวจดินแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ หรือแม้แต่อาจเข้าไปดินแดนสวรรค์ก็เป็นได้ ถ้าเขาไปดินแดนสวรรค์ ร้อยปีต่อมา เขายังจะเรียกนางว่าแม่เสือสาวอย่างวันนี้หรือ? อย่าว่าแต่มารกฎฟ้า, จักรพรรดินีราตรีและจื่อจุนเลย อาจจะมีสาวงามที่มีความโดดเด่นในดินแดนสวรรค์มากมายก็ได้ ยากจะบอกได้ว่าเขาจะไม่พบสาวงามอีก ถึงตอนนั้น พวกนางอาจแทนที่นางไปแล้วก็ได้
อะไรๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาร้อยปี
ภายใต้ความกดดันเช่นนั้น องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนหักใจลืมทุกอย่าง และมุ่งหน้ากับการเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด
ถ้านางต้องการจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป นางก็ไม่ควรเป็นเหมือนสาวอื่นที่อ่อนแอ ผู้หญิงที่ต้องพึ่งพาบุรุษของนาง นางต้องเปลี่ยนแปลงตัวนางเองและกลายเป็นคนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อที่ว่าจะได้อยู่เคียงข้างเขาโดยไม่มีผู้ใดมาแทนที่ได้
“ข้าก็จะฝึกด้วย!!” เย่ว์ปิงมีกำลังใจมากขึ้น
“เรามาฝึกกันให้หนักเถอะ!” เมื่อได้รับอิทธิพลจากความกระตือรือร้นของเย่ว์ปิงและการที่จู่ๆ กระบวนความสัมพันธ์ระหว่างนางและเย่ว์หยางมีความก้าวหน้า อี้หนานไม่ต่อต้านการฝึกผสานร่างเหมือนกับครั้งก่อนๆ นั้น
เจ้าเมืองโล่วฮัวและเสวี่ยอู๋เสียจ้องหน้ากันและกันครู่หนึ่ง พวกนางก็ตัดสินใจฝึกและกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดเช่นกัน โดยมิต้องพูดออกมา เสวี่ยอู๋เสียคิดว่านางสามารถถึงระดับปราณก่อกำเนิดได้เร็วกว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนมากนัก ก็เพราะนางฝึกผสานร่างกับเย่ว์หยางสม่ำเสมอ นางเพียงแต่จำเป็นต้องฝึกเพิ่มขึ้นอีกนิด เจ้าเมืองโล่วฮัวอาจจะช้ากว่าบ้าง ดูเหมือนว่าถ้านางทุ่มเทฝึกเต็มที่ นางอาจกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดอย่างน้อยภายในหนึ่งเดือน อย่างมากก็สองเดือน
หญิงงามอู๋เหินค่อนข้างมีพลังมากแล้ว เนื่องจากนางไม่เชี่ยวชาญทักษะต่อสู้ นางจึงมีพลังโจมตีอ่อนด้อย
เมื่อนางเป็นภรรยาของเย่ว์หยาง เส้นชีพจรของนางเชื่อมถึงกันหมด ทว่านางไม่ได้พูดถึง เพื่อไม่ให้คนอื่นตกใจ
ถ้านางต้องการ นางสามารถเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้ทุกเมื่อ
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและคนอื่นๆ รู้ความจริงเรื่องนี้มานานแล้ว
ผู้ที่ตะขิดตะขวงใจที่สุดก็คือเย่ว์หวี่ นางไม่สะดวกกับการฝึกผสานกายกับเย่ว์หยาง แม้ว่าพวกเขาจะฝึกด้วยกัน นางก็ไม่สามารถยอมรับเขาได้สนิทใจเหมือนกับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน เพราะนางมีสถานะเป็นพี่ของเย่ว์หยาง นอกจากบิดานางเป็นตัวปลอมจริงๆ และเป็นปีศาจจริง เป็นไปไม่ได้ที่นางจะแต่งกับเย่ว์หยาง
เย่ว์หวี่ไม่ต้องการให้บิดานางเป็นปีศาจและไม่ยินดีให้มีหยดเลือดปีศาจอยู่ในสายเลือดของนาง แต่สถานะของนางเป็นพี่สาวของเย่ว์หยางทำให้นางรู้สึกคับอกคับใจจริงๆ
คนที่มักปกป้องนางทุกครั้ง ทำไมถึงต้องเป็นเสี่ยวซาน?
เขาเป็นน้องชายนาง
ถ้าเขาไม่ได้เป็นน้องชาย ก็คงจะดีกว่านี้มาก พี่น้องชายพี่น้องสาวไม่มีทางอยู่ร่วมกันในอนาคต เย่ว์หวี่ถอนหายใจ นางไม่เหมือนเย่ว์ปิงผู้ประกาศว่าจะเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดด้วยความมั่นใจ
เย่ว์ปิงยังอายุน้อยและไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษกับสตรี เมื่อนางโตขึ้นอีกนิด นางจะเข้าใจได้ดีตามธรรมชาติเอง
“พี่หวี่, เราทุกคนมาฝึกฝนเพื่อเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดและไปแดนสวรรค์ด้วยกันนะ เราจะได้นำสิ่งดีๆ จากแดนสวรรค์กลับมาเป็นของระลึกให้ท่านแม่” เย่ว์ปิงกอดเย่ว์หวี่อย่างร่าเริง เหมือนกับว่าพวกนางจะไปแดนสวรรค์ในวันพรุ่งนี้ สำหรับสาวน้อยผู้นี้ แดนสวรรค์ที่ลึกลับที่มีกล่าวไว้แต่เพียงในตำนานเต็มไปด้วยความฝันและความหวัง เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่นางจะต้องหาทางไปที่นั่นให้ได้
“จ้ะ, จ้ะ” เย่ว์หวี่สัญญากับนางอย่างขอไปที แต่หัวเราะอย่างขมขื่นในใจ เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดหรือ? ฝึกผสานกายกับเสี่ยวซานน่ะหรือ? จะเป็นไปได้หรือ?
สำหรับแดนสวรรค์ มันง่ายนักที่จะเข้าไปได้หรือ? บางทีแดนสวรรค์อาจจะรุนแรงและโหดร้ายกว่าทวีปมังกรทะยานที่ซึ่งผู้แข็งแกร่งล่าคนอ่อนแอก็ได้ แน่นอน นางไม่ต้องการกดกำลังใจเย่ว์ปิงน้องสาวของนาง ดังนั้นนางจึงเห็นด้วยกับเย่ว์ปิง
เย่ว์หวี่รู้ว่าน้องเจ็ดจะประสบความสำเร็จมากกว่านาง
นางไม่ใช่อัจฉริยะ นางต้องมีความตั้งใจมาก เมื่อนางฝึก นางถึงจะก้าวหน้าเร็ว เมื่อก่อนนางเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษกับสตรี นางจึงไม่สามารถไปถึงขอบเขตที่สูงขึ้นด้วยความช่วยเหลือของน้องสามของนาง
“ถ้าเป็นไปได้ เราน่าจะถามปิงหยินถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ นางคงมีความคิดดีๆ แน่นอน” หญิงงามอู๋เหินจู่ๆ ก็สรุปออกมา
“เอ๋? ใครเหรอปิงหยิน?” เย่ว์หยางสับสน เขาไม่เคยได้ยินชื่อนั้นมาก่อน เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นชื่อของจักรพรรดินีราตรีหรือจื่อจุน?
“ใครเรียกข้า?” สาวกิเลนกระโจนออกมาทันที ขณะที่นางมองดูหญิงงามอู๋เหินตอนกระโดดออกมา นางไม่เห็นอู๋เหินและกระแทกเย่ว์หยางลงไปจ้ำเบ้ากับพื้น นางยั้งเท้าไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งใจหรือเป็นเพราะนิสัยสาวน้อยสมองกลวงก็มิมีใครทราบได้*************