ตอนที่ 311 ขุนพลวิญญาณทหารผู้แข็งแกร่ง
กระแสพลังไหลเวียนรูปกรวยสว่างไสว ครอบคลุมสนามรบทั้งหมด
คนที่อยู่หลังจอนับไม่ถ้วนลุกขึ้นยืนกันหมดหน้าของพวกเขาแตกตื่นตกใจ พวกเขาตกตะลึงกับฉากภาพที่ปรากฏอยู่ข้างหน้าพวกเขาและเหล่าผู้นำทหารพากันจ้องดูร่างที่ปรากฏในจออย่างเหลือเชื่อ ราวกับว่าเห็นผี
นั่น... นั่นมันพลังอะไร.....
เมื่อรังสีแสงสว่างกระจายตัวออก ร่างของทั้งสามคนก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน
ตาของผู้เฒ่าฟงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่มีสภาพดีเหลืออยู่ในตัว ทุกพื้นที่ในร่างกายเต็มไปด้วยรูพรุนและรอยแตกเหมือนกับรังผึ้งน่าสยดสยอง เขายืนอยู่กับที่ไม่ขยับเหมือนกับเป็นรูปปั้น
ร่างผลึกใสของจื่อจิง (สตรีผมม่วง) มีเสียงแตกเบาๆ หน้าผากนางเริ่มมีรอยแตกรอยหนึ่งซึ่งเริ่มขยายกว้าง เสียงแตกยังคงดังต่อเนื่อง และในพริบตา หน้าของนางก็หายไปทั้งแถบรอยแตกนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นเหมือนใยแมงมุม
แขนทั้งสองของหมั่นจู้บังหน้าเขาไว้ได้ ทั่วทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลถูกฟันหลั่งเลือดทั่วตัว แต่พลังสายเลือดหมีม่วงอำมหิต ทำให้เขามีพลังชีวิตที่ไม่จำกัดและทรงพลังนอกจากนี้พลังป้องกันของเขายังมีมากน่าประหลาดใจทำให้เขารอดชีวิตจากพลังโจมตี บาดแผลบนร่างกายของเขาจะกลายเป็นแผลเป็น แต่ความจริงแผลเหล่านั้นเป็นเพียงอาการฉีกขาดเท่านั้น
“ข้าจะฆ่าเจ้า,จงตายกันหมดทุกคน!”
หมั่นจู้ปลดปล่อยปราณในร่างจนดูป่าเถื่อนดุร้าย แขนของเขาคอยป้องกันจุดสำคัญของเขาเขาตวาดและวิ่งเข้าหาปิง
ตราบใดที่เขาฆ่าเจ้าขุนพลวิญญาณผู้ชั่วร้ายนี้ได้ เขาจะสามารถทำลายฝูงมดอื่นให้แตกกระจาย
“ฆ่า”
น้ำเสียงไม่แยแสดุร้ายกึกก้องดังเข้าหูเขาทันที
รังสีดาบเยือกเย็นถึงกระดูกปรากฏอยู่ต่อหน้าของเขา
ความรู้สึกถึงอันตรายครอบคลุมทั่วร่างของหมั่นจู้ ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังพลังสายเลือดในตัวเขาถูกเร่งเร้าทันที ภาพเลือนรางของกลุ่มดาวหมีใหญ่ปรากฏในท้องฟ้าและแสงรัศมีสีน้ำตาลฉายลงมาจากท้องฟ้า
บนหลังของหมั่นจู้ปรากฏลายดูคล้ายลายสักรูปหมีน้ำตาลดูโหดเหี้ยมดุร้าย
พลังอัญเชิญสายเลือดดวงดาว!
พลังที่ไร้ขีดจำกัดระเบิดออกจากร่างของเขาทันที หมั่นจู้รู้สึกว่าร่างของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ผมขนทุกเส้นในร่างกายเปล่งแสงสีเงินทันที หมั่นจู้แอบปลาบปลื้มยินดี “สวรรค์ไม่ต้องการให้ข้าตาย ข้าจึงผ่านจุดวิกฤติเช่นนั้นมาได้”
เมื่อออกมาจากสนามรบ ถังอี้เปลี่ยนตำแหน่งทันที ปิงควบกลั่นบอลแสงและรอคอยเล็กน้อยก็เพื่อให้ถังอี้มีเวลา
และเมื่อปิงเคลื่อนไหว ถังอี้ก็นำกองกำลังของเขาเข้าร่วมตอบโต้กลับ
ดังนั้นเมื่อรังสีกระจายออกไป ถังอี้ก็เข้ามาถึงข้างตัวหมั่นจู้แล้ว และเวลาที่เขาใช้ปล่อยพลังดาบกล่าวได้ว่าไร้ที่ติ อย่างไรก็ตามผลของการใช้ดาบยังไกลเกินไปสำหรับถังอี้
พลังของรังสีดาบที่ทรงพลังไม่เพียงแต่คุกคามขู่ขวัญคนอื่นเท่านั้น แม้แต่นักสู้ของกองกำลังถังอี้เองก็ได้รับผลกระทบของพลังโจมตี มีเพียงสามสิบห้าคนสามารถปลดปล่อยพลังดาบจากมือพวกเขาได้ และนอกจากถังอี้แล้ว มีเพียงยี่สิบคนที่สามารถปลดปล่อยพลังได้เต็มที่
ถ้าเป็นกองทัพดาวกางเขนใต้ ด้วยประสิทธิภาพที่น่ากลัวเช่นนั้น พวกจ่าสิบเอกคงขายหน้าแทบตายอาจถูกกักขังก็เป็นได้
แต่ช่วงเวลานี้ แค่นั้นก็ถือว่าพอแล้ว
การควบคุมรังสีดาบของถังอี้ ยังไม่ทรงพลังเท่ากับปิง แต่วิชาดาบชั้นปรมาจารย์ของเขาและการควบคุมกองกำลังที่มีจำนวนน้อยกว่าเขาจึงสามารถใช้พลังรังสีดาบได้อย่างน่าทึ่ง
รังสีดาบที่ถังอี้ปลดปล่อยสั่นสะเทือนเงียบๆและรังสีดาบอีกกว่าสามสิบสายที่ไล่หลังตามมากลืนรวมเข้ากับรังสีดาบนี้
สำหรับสายตาคนอื่นรังสีดาบทั้งหมดเหล่านี้ผสานรวมกับรังสีดาบใหญ่ของถังอี้ แต่ในความเป็นจริง มันแนบอยู่กับรังสีดาบของถังอี้โดยมีช่องว่างห่างที่เล็กมากและสั่นด้วยความถี่สูง
เมื่อรังสีดาบสัมผัสกับแขนหมั่นจู้ ขนสีเงินบนแขนของเขาบังเกิดเสียงโลหะเสียดสีรุนแรงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนหมั่นจู้ร้องลั่น
รังสีดาบตัดแขนหมั่นจู้ลึกลงไปถึงครึ่งหนึ่งโลหิตฉีดพุ่งกระจายไปทั่ว
ความเจ็บปวดทำให้หมั่นจู้ร้องเหมือนสัตว์ได้รับความเจ็บปวด แต่ฉากภาพที่แข็งแกร่งที่สุดเกิดขึ้นเลือดที่ฉีดพุ่งได้หยุดอย่างรวดเร็ว และแผลเริ่มสมานตัว
น่าเสียดาย ถ้ากองกำลังมีเวลาฝึกฝนนานขึ้น แค่ดาบเดียวก็คงเผด็จศึกได้
ถึงเวลานี้ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป มือสมัครเล่นเหล่านี้คงไม่สามารถปล่อยพลังดาบครั้งที่สองได้แน่นอน และนั่นคือเวลาที่ผู้นำทหารจะแสดงทักษะส่วนตัวของเขา นั่นคือเหตุผลที่ผู้นำทหารระดับต่ำมักจะต้องการพลังของนักสู้ผู้มีฝีมือสูงส่ง ในการเผชิญหน้าในการรบ พลังที่โดดเด่นคืออาวุธสำหรับผ่าทางตัน
หน้าของถังอี้เฉยชา เขายังอยู่บนหลังม้าโน้มตัวมาข้างหน้าและราวกับว่าดาบฟันขาม้าเบาราวกับขนนก เขายกดาบกวัดแกว่ง
รังสีดาบบางสายหนึ่งปรากฏ
วิชาดาบระดับปรมาจารย์ทำให้เขาปลดปล่อยพลังดาบยี่สิบสองใบเหมือนกับประกายไฟ
รังสีดาบทั้งยี่สิบสองมีความแม่นยำมาก ทั้งหมดฟันเข้าใส่มือของหมั่นจู้ที่บาดเจ็บโอกาสเบี่ยงเบนพลาดเป้าเป็นศูนย์
ถังอี้เหมือนกับสายลม และมาปรากฏตัวข้างหมั่นจู้ทันที
ที่ด้านหลังเขา แขนทั้งสองลอยขึ้นไปในอากาศ หมั่นจู้มีสีหน้าหวาดหวั่นขวัญผวา แต่ไม่สามารถเปล่งเสียงได้เนื่องจากบาดแผลปรากฏอยู่บนลำคอของเขา
ถังอี้หยุด และเปลี่ยนทิศทางการเดินของม้า เขากระตุ้นเบาๆให้ม้าย่างเหยาะ
ถังอี้นั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าสีหน้าเคร่งขรึมไม่เปลี่ยนแปรท่าทางดูสง่างามมาก
ชี่....
ขณะนั้นเองรอยแผลที่คอของหมั่นจู้เปิด โลหิตฉีดพุ่งกระจายและร่างของเขาล้มทันที
ถึงตอนนี้เอง ผู้เฒ่าฟงเพิ่งจะล้มลงปราณของเขาหายเกลี้ยง ร่างทั้งหมดของจื่อจิงเต็มไปด้วยรอยแตกก็แหลกสลายเป็นชิ้น
ทั้งสามคนถูกทำลาย
ซือหม่าเซี่ยวไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป เขาจ้องมองดูจอ สีหน้าหมองเขาสามารถบอกได้ว่าทหารกองนี้เป็นหน่วยทะลวงฟันที่ไม่ได้รับการฝึกฝนพื้นฐานอย่างที่ถูกที่ควร แต่หน่วยทะลวงฟันนี้ทรงพลังมาก และที่สำคัญคือพวกเขาฆ่านักสู้ในทำเนียบสวรรค์วิถีมาถึงสี่คนและบาดเจ็บหนักอีกหนึ่งคน
จากผลเช่นนั้น พวกเขาไม่ใช่แค่ทหารหน่วยกล้าตายอย่างเห็นได้ชัด
สายตาของซือหม่าเซี่ยวมองดูที่ขุนพลวิญญาณทั้งสองที่เป็นผู้นำทหาร เหตุผลหลักที่ได้รับชัยชนะก็มาจากขุนพลวิญญาณทั้งสองนี้ รายงานครั้งก่อนมีแต่ขุนพลวิญญาณผู้นำทหารที่มีแต่ดาบฟันขาม้า ซือหม่าเซี่ยวไม่คิดเลยว่าถังเทียนยังมีไม้ตายอื่นอยู่ในมือ ขุนพลวิญญาณหน้าไพ่อาจจะมีใบหน้าที่ดูตลกขบขัน แต่ขณะเดียวกันความคิดเกี่ยวกับการแสดงภาวะผู้นำที่ประหลาดของเขาทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าหัวเราะ เป็นครั้งแรกที่ซือหม่าเซี่ยวเห็นผู้นำทหารที่สามารถต่อสู้ในแนวนั้น
สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องตะโกนร้องสรรเสริญก็คือการวางกลยุทธ์อย่างถูกต้อง ตลอดการรบตั้งแต่เริ่มจนจบทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของผู้นำทหารทั้งสองซึ่งคือส่วนที่น่ากลัวที่สุด
ขุนพลวิญญาณผู้นำทหารที่มีพลังสั่งการสูงยังไม่น่ากลัว ขุนพลวิญญาณผู้นำทหารที่มีพลังแข็งแกร่งควบคุมรังสีดาบยังไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวที่สุดก็คือขุนพลวิญญาณผู้นำทหารผู้ฉลาด
นั่นไม่ใช่แค่ฉลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นสุดยอดขุนพลวิญญาณผู้นำทหารที่ฉลาดเหมือนกับเทพเจ้า
ทุกช่วงเวลา ทุกช่วงปฏิกิริยาทั้งหมดอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา ทุกการเคลื่อนไหวและการตอบโต้ ทั้งสามคนไม่ได้ตายอย่างอยุติธรรม แม้แต่ซือหม่าเซี่ยวผู้ทะเยอทะยานและไร้ความปราณีก็ยังรู้สึกตึงเครียดในใจ ถ้าเขาอยู่ในรองเท้าของทั้งสามคน เขาก็คงไม่สามารถทำได้ดีกว่าเช่นกัน
เขาเองก็มีผู้นำทหารอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขา แต่เมื่อเทียบกับปิงและถังอี้แล้วมาตรฐานของพวกเขาถือว่าต่ำ
ถ้ากองทหารนั่นฝึกฝนเพิ่มอีกเล็กน้อย...
ซือหม่าเซี่ยวเชื่อว่า หลายๆคนคงไม่สามารถหลับกลางคืนได้เพราะสงคราม
ซือหม่าเซี่ยวชำเลืองมองดูศิษย์พี่ของเขา และต้องสะดุ้งอย่างช่วยไม่ได้ สายตาของศิษย์พี่ของเขาจับจ้องอยู่ที่ถังเทียนที่มีเปลวเพลิงดำคลุมทั้งตัว
สีหน้าของถูหรูไห่เปลี่ยนแปรอีกครั้ง เขาคาดไม่ถึงเลยว่าการรบจะลงเอยแบบนั้น เขารู้สึกว่าเหมิงเว่ยจะได้รับชัยชนะแน่นอนแต่นางติดอยู่กับการต่อสู้ที่ยากลำบากและทั้งสามคนที่รับมือหน่วยทหารกล้าตายน่าจะเสร็จงานของพวกเขาได้แล้ว แต่ผลก็คือพวกเขาถูกฆ่าตาย
เหมิงเว่ย....
ความหวังทั้งมวลของเขาฝากไว้ที่เหมิงเว่ย ตราบใดที่เหมิงเว่ยชนะ อย่างนั้นเขายังมีโอกาสกลับมา
เขาเบนสายตากลับไปมองเหมิงเว่ย
ปิงนั่งอยู่บนหลังม้าไม่ได้รู้สึกดีใจ ชัยชนะสำหรับเขาไม่มีอะไรควรแก่การคุยโว สิ่งเดียวที่ควรแก่การสังเกตและดีใจก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้นำกองทัพ
ถูกแล้ว พวกเขาถือได้ว่าเป็นกองทัพ
สายตาของปิงมองไปที่ถังเทียนผู้มีเปลวเพลิงดำครอบคลุมในท้องฟ้า
พลังสายเลือดของถังเทียนไม่ใช่ธรรมดา นั่นคือสิ่งที่เขารู้ ในจุดพื้นที่ต่อสู้ที่อ่อนถังเทียนได้ดูดซับสายเลือดเทพและสายเลือดแคระ และนั่นถือว่าไม่ใช่กระบวนการธรรมดา
เขาสงสัยเรื่องพลังสายเลือดของถังเทียนมาก จนกระทั่งบัดนี้เขาก็ยังเข้าใจว่าทำไมป้ายบรอนซ์ถึงได้ตกไปอยู่ในมือของถังเทียน ป้ายบรอนซ์มาจากบิดาของถังเทียน ดังนั้นอะไรคือจุดเชื่อมโยงของบิดาถังเทียนกับกองทัพ?
เรื่องลึกลับชวนพิศวงทั้งหมดเหล่านี้เกี่ยวข้องกับพลังสายเลือดของถังเทียนจะค่อยเผยเบาะแสได้เล็กน้อย
เพลิงดำ...
เดี๋ยวก่อน...
ม่านตาของปิงขยายทันที ร่างที่มีเปลวเพลิงดำคลุมในท้องฟ้า ให้ความรู้แปลกกับเขามาก
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
ปิงอยู่กับถังเทียนมานานมาก นอกจากว่าเขาจะดูแลให้การฝึกฝนอบรมเขาเสมอแล้ว เขายังคุ้นเคยกับปราณของถังเทียนมาก เมื่อถังเทียนใช้เนตรราชันย์มยุรากลิ่นอายเขาเปลี่ยนไปก็จริง แต่ปราณของเขาไม่เปลี่ยน
แต่คนที่อยู่ในเปลวเพลิงดำยืนอยู่ในท้องฟ้า ปราณของเขาแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่....
ขณะที่ปิงตกตะลึง ถังเทียนที่อยู่ในอากาศก็เคลื่อนไหว
กระบี่ในมือของเหมิงเว่ยสว่างขึ้นด้วยรัศมีที่มีหมอกคลุม พลังที่ได้รับมอบจากกลุ่มดาวยังหลั่งไหลเข้าไปในตัวนาง พลังอัญเชิญสายเลือดดวงดาวจะทำอันตรายต่อนักสู้เป็นอย่างมาก กล่าวกันว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนักสู้จะไม่มีทางยอมใช้ออกมาเลย สถานการณ์เหมิงเว่ยพิเศษมาก นางสามารถใช้พลังอัญเชิญสายเลือดดวงดาวได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลย แต่จะสามารถใช้ได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น
ในการต่อสู้ทั้งหมดของนาง นางเพียงแต่ทำให้พลังสายเลือดของนางเดือดพล่านเท่านั้น
การต่อสู้กับถังเทียน นับเป็นครั้งที่สอง พลังของกลุ่มดาววาฬมากมายและละเอียดอ่อนไหลเข้ามาในตัวกระบี่ พลังสายเลือดในร่างนางดูเหมือนจะมีผลตอบรับบางอย่าง นางสามารถรู้สึกได้ถึงพลังราวกับว่าในใต้ท้องฟ้านี้นางสามารถตัดได้ทุกอย่าง
ยกเว้นถังเทียนผู้อยู่ต่อหน้านาง
พลังของกลุ่มดาววาฬในตัวกระบี่ของนางดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอันตรายและเริ่มสั่นถี่ พลังของกลุ่มดาวยังคงบีบคั้นต่อเนื่องและดูเหมือนว่าภาพของกลุ่มดาววาฬจะรู้สึกถึงอันตรายอีกด้วย
สถานการณ์ที่แปลกประหลาดทำให้เหมิงเว่ยรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
ชั่วขณะนั้นถังเทียนที่อยู่ในเปลวเพลิงดำก็กางแขนทั้งสองออก และลดมือซ้ายลงทันใด
นั่นคือ...
ม่านตาของเหมิงเหว่ยหดแคบ
แขนขวาของถังเทียนเหยียดตรง และกำมือหลวมๆคลื่นเพลิงดำเข้าไปในฝ่ามือของเขาและก่อตัวเป็นรูปฝักกระบี่อยู่ในมือของเขา
เขาถือฝักกระบี่เปลวเพลิงดำในมือแล้วค่อยๆทำมือดึงแยกจากกัน
เหมิงเว่ยคุ้นเคยกับท่วงท่าเช่นนั้นมาก
นั่นคือ..ท่าชักกระบี่ออกจากฝัก
เว้นแต่.....
สีหน้าของเหมิงเว่ยเปลี่ยน หัวใจนางเต้นรัวแรง ทันใดนั้นม่านตาของนางหดลีบจนเหลือแค่ปลายเข็ม นางเกิดอาการตกตะลึงทันที
กระบี่เพลิงดำไหลออกมาจากฝักกระบี่อยู่ในมือของถังเทียนเหมือนกับว่าเขาดึงออกมาจากอากาศ