ตอนที่ 10-36 ประตู
การล่าอสูรเวทระดับแปดและเก้าเป็นงานที่ยากเย็นแสนเข็น ทุกคนสามารถคิดได้เลยว่าแก่นเวทของอสูรเวทมีค่ามากเพียงไหน อย่างไรก็ตามอัญมณีในเหมืองอัญมณีเวทเหล่านี้มีคุณภาพเทียบเท่าแก่นอสูรเวทระดับเจ็ดและแปด และมีบางส่วนที่เทียบเท่ากับแก่นอสูรเวทระดับเก้า
ภายใต้แสงคบเพลิงอัญมณีเวทกึ่งโปร่งใสสร้างเงาแสงวูบวาบดูน่ามึนงง
และนอกจากนี้ที่ท้ายอุโมงค์ของเหมืองมีประตูบานหนึ่ง
ประตูที่ไม่ควรจะมีอยู่
“ข้าไม่สามารถหาประตูนี้พบด้วยพลังจิตของข้าได้ เหมือนกับว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่มีอยู่นี่มันประตูอะไรกัน?” ลินลี่ย์ประหลาดใจและงงงวย พลังจิตของเขาไม่สามารถเจาะผ่านประตูนี้ได้ทันที เขาจะกล้าบุกเข้าไปข้างในนี้ได้ยังไง?
ลินลี่ย์หันไปมองบาร์เกอร์ “บาร์เกอร์, ท่านเคยเข้าไปดูหรือยัง?”
บาร์เกอร์พยักหน้า “ข้าไปมาแล้ว บอกตามตรงเลยข้าเข้าไปแล้วรู้สึกตกใจ”
“แต่ใต้เท้า, จะดีที่สุดท่านควรเข้าไปหลังจากแปลงร่างแล้ว เมื่อท่านก้าวเข้าไปในประตู ท่านจะถูกคลื่นพลังงานโจมตีใส่ ถ้าพลังป้องกันของท่านไม่เพียงพอ...ลำพังประตูเท่านั้นก็สามารถฆ่าผู้บุกรุกได้” บาร์เกอร์พูดอย่างจริงจัง
ลินลี่ย์ลอบตกใจ
บาร์เกอร์คือนักรบอมตะระดับเซียน เป็นสุดยอดนักรบที่มีพลังป้องกันสูงที่สุด เมื่อเขายังพูดอย่างนั้น...ทุกคนคงคิดได้ว่าพลังโจมตีนั้นจะรุนแรงมากเพียงไหน
หลังจากถอดเสื้อและเครื่องแต่งกายร่างช่วงบนแล้ว ลินลี่ย์แปลงร่างเป็นมังกรทันใดนั้นร่างของเขาคลุมไปด้วยเกล็ดมังกรสีน้ำเงิน เขาจ้องไปที่ประตูลึกลับด้วยดวงตาสีทองเข้ม ก่อนจะเดินเข้าไป
“ซี่............”
คลื่นพลังงานที่คล้ายกับมีดฟันใส่ลินลี่ย์อย่างดุเดือดทันทีที่เขาเดินเข้าไปในประตู แรงฟันนับล้านครั้งที่ฟันใส่เขาเกิดเป็นประกายไฟอยู่เหนือเกล็ดสีน้ำเงินของลินลี่ย์
“นี่คือ...” แทบจะทันทีที่ลินลี่ย์เข้าไป เขารู้สึกตกใจ ฉากภาพภายในประตูตรงข้ามกับที่ลินลี่ย์คาดไว้ เบื้องหลังประตู... เป็นพื้นที่มิติที่เหมือนฟองสบู่ที่โปร่งแสงพื้นที่มิตินี้จะเป็นมิติทรงกลมยาวสิบเมตร
พื้นที่ทรงกลมยาวสิบเมตร
และมิติทรงกลมนี้ถูกจัดไว้เหมือนเป็นห้องฝึกมีเพียงแค่โต๊ะ เตียงและเก้าอี้เท่านั้น มันถูกปกป้องจากม่านพลังด้านนอกป้องกันคนนอกไม่ให้เข้ามาข้างในได้ง่าย
เขาเงยหน้าขึ้นจ้องดูเหนืออากาศ จากนั้นมองรอบๆ เขาเห็นว่าด้านนอกเยื่อใสเป็นอวกาศยุ่งเหยิง
พื้นที่มิติปั่นป่วนหลากสีสันเป็นริ้วละลอกปรากฏแล้วก็หายไปอย่างต่อเนื่อง ลินลี่ย์รู้สึกทึ่งเมื่อได้เห็นพลังงานที่น่ากลัวนั้น
“ใต้เท้าลินลี่ย์” บาร์เกอร์ก็เข้ามาด้วยเช่นกัน “เมื่อข้าเข้ามาที่นี่ ข้าเองยังรู้สึกว่ายากจะเชื่อ บอกข้าทีว่าท่านคิดกับเรื่องนี้ยังไง?”
ลินลี่ย์สูดหายใจลึก “จากสิ่งที่ข้ารู้มีพิภพนับไม่ถ้วนคงอยู่ในมิติที่ปั่นป่วนนี้ ตัวอย่างเช่น ในทวีปยูลาน ถ้าท่านยังคงมุ่งหน้าไปจนถึงที่สุด..ท่านจะสามารถเห็นพื้นที่ปั่นป่วนนี้ เมื่อความแข็งแกร่งของท่านถึงระดับที่แน่นอน ท่านอาจเปิดห้องมิติได้ด้วยตัวเองในอวกาศปั่นป่วนนี้ได้”
ลินลี่ย์ตรวจสอบห้องมิติทรงกลมนี้อย่างระมัดระวัง
“และห้องมิติทรงกลมนี้ดูเหมือนจะเป็นห้องฝึกฝนเป็นไปได้ว่าคือสิ่งที่ยอดฝีมือที่ทรงพลานุภาพสร้างขึ้นมาเพื่อฝึกฝน ยอดฝีมือผู้นี้อาจเป็นชาวทวีปยูลานหรือบางทีถ้าจะพูดให้ถูกมากกว่าก็คือ... เขาเคยเป็น”
ลินลี่ย์ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าใดนัก แต่เขาชื่นชมยอดฝีมือผู้ที่สร้างห้องมิตินี้
“ห้องมิติที่ถูกสร้างน่ะหรือ?” บาร์เกอร์ถอนหายใจอย่างทึ่งเช่นกัน
“สี่จอมเทพสร้างสร้างพิภพระดับสูงทั้งสี่ไม่ใช่หรือ? ส่วนมหาเทพทั้งเจ็ดสร้างเจ็ดแดนศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?” ลินลี่ย์หัวเราะ “มียอดฝีมือที่สามารถเปิดห้องมิติเป็นของตนเองได้”
ลินลี่ย์เข้าใจว่าแม้แต่เทพระดับต้นก็มีเพียงแต่วิชา‘แดนเทพ’ ระดับพื้นฐานสุด
ใครบางคนที่สามารถสร้างห้องมิติในท่ามกลางมิติปั่นป่วนต้องเป็นบุคคลที่พิเศษอย่างมิต้องสงสัย
บาร์เกอร์ตาเป็นประกาย “ใต้เท้าลินลี่ย์ ตอนนี้ข้ารู้แล้วทำไมถึงมีแหล่งอัญมณีเวทขนาดใหญ่ที่นี่ ดูสิ แก่นธาตุที่นี่มีความหนาแน่นสูงจนน่ากลัว แม้แต่คนอย่างข้าที่มีระดับสัมพันธ์ธาตุต่ำก็สามารถรู้สึกได้ถึงธาตุต่างๆที่นี่ได้ และนอกจากแก่นธาตุแล้ว ยังมีพลังงานที่เป็นเอกลักษณ์ที่นี่เช่นกัน”
ลินลี่ย์เองก็สามารถรู้สึกได้ถึงพลังหนาแน่นของธาตุที่นี่
ดินไฟ น้ำ ลม สายฟ้า แสง ความมืด ความหนาแน่นของธาตุทั้งหมดที่นี่สูงส่งเหลือเชื่อนอกจากธาตุทั้งเจ็ดนี้แล้วลินลี่ย์ยังสามารถรู้สึกได้ถึงพลังงานรูปแบบอื่นด้วยเช่นกัน มีพลังรูปแบบหนึ่งที่คล้ายกับพลังของซาสเลอร์,พลังงานทำลายล้างที่น่ากลัว และพลังงานที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต..
“นี่ควรจะเป็นพลังงานที่เป็นของสี่จอมเทพ” ลินลี่ย์รู้ว่านอกจากเจ็ดพลังงานของธาตุทั้งเจ็ดแล้วยังมีพลังงานเฉพาะอีกสี่รูปแบบ พลังงานที่ลึกซึ้ง
ลินลี่ย์มองดูบาร์เกอร์ “ประตูนั่นควรจะเชื่อมระหว่างทวีปยูลานและมิตินี้ เป็นไปได้ว่าห้องลับนี้จะดึงดูดพลังงานธาตุมามากมายซึ่งสามารถสร้างเป็นแหล่งอัญมณีเวทรายรอบประตู”
“อย่างไรก็ตาม...”
“ยอดฝีมือลึกลับผู้ฝึกฝนอยู่ที่นี่น่าจะจากไปนานแล้วนานมากทีเดียว” ลินลี่ย์มั่นใจกับเรื่องนี้
“โอว?” บาร์เกอร์มองดูลินลี่ย์อย่างคลางแคลงใจ
“ไม่มียอดฝีมือลึกลับนี้ฝึกฝนที่นี่ ก็ไม่มีทางที่แก่นธาตุมหาศาลขนาดนั้นจะมารวมกันอยู่ที่นี่ขณะนี้เราอยู่ในดินแดนอนารยชน ถ้าเราไม่มาที่เหมืองนี่ใครเล่าจะค้นพบอัญมณีเวททั้งหมดนี้เล่า?”
ลินลี่ย์หัวเราะ “พูดตามเหตุผลการสร้างที่เก็บพลังเวทขนาดมหึมาอย่างนั้น จะต้องมีแก่นธาตุมหาศาลที่นี่ และมีในปริมาณที่น่ากลัวอีกด้วย เป็นไปได้ว่ายอดฝีมือทั่วทั้งทวีปยูลานคงจะรู้สึกถึงได้”
“แต่ไม่มีใครในประวัติศาสตร์ของเราที่เคยพูดถึงเจ้าสิ่งนั้นเลย ดังนั้นพลังงานธาตุปริมาณมหาศาลที่ตกค้างอยู่ที่นี่น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมายาวนานมากแล้ว”
ขณะที่เขาพูดลินลี่ย์หลับตาและนั่งลงทันที
“ใต้เท้าลินลี่ย์?” บาร์เกอร์เรียกเบาๆ
แต่ดูเหมือนเหมือนลินลี่ย์จะไม่สังเกตถึงตัวเขาแม้แต่น้อย ขณะที่เขานั่งนิ่งอยู่กับที่ทำสมาธิอย่างเงียบงัน
ชีพจรโลกและความใหญ่โตของมัน...
ลมที่กราดเกรี้ยวรุนแรงและความคล่องแคล่วอ่อนโยนของมัน...
ความร้อนที่แผดเผาของเพลิงและอำนาจระเบิดของมัน
สายน้ำที่อ่อนโยนเหมือนทุ่งฝ้ายปุยนุ่นกว้างไม่มีที่สิ้นสุด
ภายในห้องมิตินี้ลินลี่ย์รู้สึกถึงธรรมชาติได้ชัดเจนกว่าที่เคยรู้สึกมาก่อน ตอนนี้ เขายังรู้สึกถึงการเต้นของชีพจรแผ่นดินได้ชัดเจนกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าและจังหวะเฉพาะตนในสายลม เขาสามารถรู้สึกถึงเส้นทางที่เขาควรเลือกต่อไป
แม้ว่าจะมีสัมพันธ์ธาตุต่อแก่นธาตุไฟในระดับทั่วไปก็ยังมีความรู้สึกเพิ่มขึ้นมาก ลินลี่ย์สามารถรู้สึกถึงแก่นธาตุไฟในระดับสูงและรุนแรงขนาดนั้นได้ พอๆกับความสัมพันธ์กับธาตุดินตามปกติของเขาตอนที่อยู่นอกห้องมิตินี้
แม้ว่าแก่นธาตุน้ำจะยังไม่รู้สึกชัดนัก แต่ลินลี่ย์ก็ยังรู้สึกถึงจังหวะและการไหลที่เป็นเอกลักษณ์ได้
และเขายังสามารถรู้สึกได้ถึงพลังงานที่เป็นเอกลักษณ์จากจอมเทพทั้งสี่
“อย่างนั้นนี่ก็คือรูปแบบการเต้นของชีพจรโลกสินะ” ลินลี่ย์รู้สึกได้ถึงคลื่นความยินดีในหัวใจของเขา เขารู้สึกเหมือนกับว่าการฝึกฝนของเขาก่อนหน้านี้คล้ายกับการฟังเสียงนาฬิกาที่อยู่ห่างออกไปเป็นพันๆกิโลกเมตร เสียงของนาฬิกาไม่ชัดเจน แต่ตอนนี้ เขาเหมือนอยู่ใกล้โคตรนาฬิกาฟังเสียงที่ดัง เขาสามารถรู้สึกและได้ยินชัดเจนถึงจังหวะของนาฬิกาในตอนนี้
ความลึกลับของการเต้นชีพจรโลกปรากฏชัดแจ้งแก่เขาทันใด
“คลื่นสั่นสะเทือน 256 ชั้น? ฮะฮะ..นั่นจะใช้ได้ยังไงกัน ที่นี่ในทวีปยูลาน รู้สึกเหมือนกับมีชั้นชีพจรโลกนับไม่ถ้วนเต้นอยู่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจังหวะเต้นของชีพจรโลกจะมีชั้นแล้วชั้นเล่า ในชั้นหนึ่งๆ มีความลึบลับแฝงอยู่นับไม่ถ้วนเป็นความลึกลับที่ไร้ขีดจำกัด ครอบคลุมทั้ง 256 ชั้นไว้ทั้งหมด”
ลินลี่ย์เข้าใจได้ทันทีว่าการฝึกฝนของเขาควรจะเป็นเส้นทางใด
ในอดีตการฝึกฝนของลินลี่ย์คล้ายกับการอ่านหนังสือและทำหนังสือที่หนาขึ้น แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือทำให้หนังสือบาง และหนังสือนี้ก็คือจังหวะเต้นของชีพจรโลก หนึ่งในเคล็ดวิชาสัจธรรมแห่งธาตุดิน
“เมื่อถึงระดับคลื่น 256 ชั้น ข้าแค่มาถึงครึ่งทางของความลึกลับจังหวะชีพจรโลก ตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำคือ...ลดสัจธรรมแห่งธาตุดินให้เหลือเพียงคลื่นชั้นเดียว”
เดิมทีเขาสร้างจากคลื่นชั้นเดียวจนถึง 256 ชั้น แต่ตอนนี้.. เขาต้องการกลับมาที่ชั้นเดียว
เมื่อใดก็ตามที่ลินลี่ย์สามารถบรรจุสัจธรรมแห่งธาตุทั้งหมดได้ในคลื่นสั่นสะเทือนทีเดียวและสามารถใช้พลังชีพจรของโลกได้เต็มที่ในคลื่นสั่นสะเทือนนั้น ถึงตอนนั้นเขาจะอยู่ในระดับเชี่ยวชาญและเป็นไปได้ว่าด้วยพลังจากการฟันดาบของเขาเพียงครั้งเดียว เขาจะสามารถสั่นสะเทือนคู่ต่อสู้ของเขาจนเหลือแต่กองเหลวๆ
“เป็นพื้นที่ฝึกฝนที่ล้ำค่า” ลินลี่ย์ลืมตาของเขา ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความสุขใจ
“ใต้เท้าลินลี่ย์?”บาร์เกอร์เห็นว่าลินลี่ย์ตื่นขึ้นแล้ว เขาผ่อนคลายในที่สุด “ใต้เท้า! ท่านนั่งอยู่กับที่ถึงสามวัน”
“สามวัน?” ลินลี่ย์รู้ว่าเมื่อจมอยู่กับความรู้สึกในกฎธรรมชาติแทบจะไม่รู้สึกถึงเรื่องเวลาเลย อย่างไรก็ตาม นับว่าคุ้มค่านัก..การฝึกฝนของเขาติดเป็นคอขวดอยู่ที่คลื่น 256 ชั้นมาเกินกว่าปีแล้ว
หากปราศจากห้องฝึกลึกลับ...
บางทีเขาคงจะเป็นเหมือนยอดฝีมืออื่นอีกหลายคนติดอยู่ในสภาพคอขวดเป็นสิบๆปี หรือบางทีอาจเป็นร้อยปี รอคอยช่วงเวลารู้แจ้งในพริบตา เพียงแค่นั้นเขาถึงจะรู้วิธีดำเนินการฝึกฝนต่อ
“มิน่าเล่ายอดฝีมือลึกลับนั้นถึงได้สร้างพื้นที่มิติเป็นห้องฝึกฝนของตนเอง แน่นอน.. การฝึกฝนในห้องมิติในท่ามกลางอวกาศที่ปั่นป่วนสับสนจะทำให้ผู้ฝึกรู้สึกได้ถึงกฎธรรมชาติต่างๆได้ชัดเจนมากขึ้น” ลินลี่ย์ได้รับรู้แล้วถึงคุณประโยชน์ของสถานที่นี้
แม้ว่าจะไม่มีสมบัติหรือเครื่องมือเทพในห้องนี้แต่เพื่อเชี่ยวชาญการฝึกฝนในเรื่องกฎธรรมชาติต่างๆห้องนี้ก็คือสมบัติที่ล้ำค่าในตัวมันเอง
“ขอบคุณสำหรับของขวัญของท่าน,ท่านผู้อาวุโส” ลินลี่ย์คำนับห้องฝึกนั้น
เมื่อเขาหันหน้าไปมองบาร์เกอร์ที่ทำท่างงงวย เขากล่าว “บาร์เกอร์ ตอนนี้ออกไปก่อนเถอะ มีแนวโน้มว่าในสองสามวันนี่จะเกิดการสู้รบในเมืองค็อด” ขณะที่เขาพูด ลินลี่ย์เดินออกมาจากห้องมิติ
บาร์เกอร์ยังคงงงอยู่ดี ทำไมลินลี่ย์ถึงได้คำนับต่อยอดฝีมือนั้นทั้งที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน?
เขาไม่เข้าใจว่าลินลี่ย์รู้สึกยินดีขนาดไหน
เขาทำสมาธิและใคร่ครวญมากเกินกว่าปีแต่ไม่มีความก้าวหน้าเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นความรู้สึกที่ทำให้อึดอัดมากขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าติดอยู่ที่คอขวดการฝึกฝนอยู่นานเท่าใด แต่ต้องขอบคุณห้องลับนี่เส้นทางการฝึกฝนในเรื่องกฎธรรมชาติของเขาง่ายขึ้นมาบ้าง
“ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปในอุโมงค์นี้ ต่อไปในอนาคตจะไม่มีการอนุญาตให้ทำเหมืองตรงนี้เช่นกัน” ขณะที่เขาเดินออกมาจากอุโมงค์เขาออกคำสั่งนายทหารที่อยู่ใกล้ๆ ห้องมิตินี้คือสิ่งที่ทุกคนได้แต่ฝันเท่านั้น
มันมีค่ามากยิ่งกว่าสมบัติเทพใดๆเสียอีก
บางทีแม้แต่เทพสงครามหรือมหานักพรตก็คงอิจฉาและอยากได้ถ้าพวกเขาพบเจอมัน
“เทพชั้นต้นไม่น่าจะมีความสามารถสร้างห้องมิตินี้ได้” ลินลี่ย์คิดในใจตนเอง เขามีความรู้สึกว่าความสามารถที่จะสร้างห้องมิติได้อย่างมั่นคงในท่ามกลางอวกาศที่ปั่นป่วนนี้แม้จะเป็นพื้นที่เล็กๆ แต่ก็ต้องเป็นยอดฝีมือที่มีพลังน่ากลัวจึงจะทำได้
ลินลี่ย์และบาร์เกอร์บินเคียงข้างกันไปที่เมืองค็อด
ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปที่ศูนย์บัญชาการทหาร ภายในชั้นสามของโรงแรมนั้นว็อทส์และผู้ช่วยของเขากำลังโต้เถียงกันอย่างหนัก แต่เมื่อเห็นว่าลินลี่ย์และบาร์เกอร์เข้ามาข้างใน ทุกคนยืนทำความเคารพ
“ว็อทซ์! สถานการณ์ปัจจุบันนี้เป็นยังไงบ้าง?” ลินลี่ย์ถาม
ว็อทซ์รีบรายงาน “ท่านลอร์ดลินลี่ย์ ตามที่เราได้สืบทราบมาศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงายังคงส่งคนข้ามแม่น้ำมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามจำนวนของพวกเขามีมากมายและพวกเขาทุกคนมีอาวุธล้อมตีเมือง มีแนวโน้มว่าจนถึงค่ำพวกเขาก็ยังจะข้ามแม่น้ำได้ไม่หมด”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
“ข้าได้ยินการโต้เถียงแล้ว พวกเจ้ากำลังโต้เถียงกันด้วยเรื่องอะไร?” บาร์เกอร์ถามด้วยความสงสัย
ว็อทซ์กล่าว“คืออย่างนี้, กองทัพเกินกว่าหกหมื่นถึงเจ็ดหมื่นข้ามแม่น้ำมาได้แล้ว กองกำลังของพวกเขาค่อนข้างจะยุ่งเหยิง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่ตามมาหลังจากข้ามแม่น้ำ ผู้ช่วยของข้าเสนอให้เราฉวยโอกาสออกไปโจมตีพวกเขา”
“อย่างไรก็ตาม ข้าเสนอความคิดเห็นอีกอย่างหนึ่ง”ว็อทซ์กล่าว