ตอนที่ 10-35 เรียกประชุม
หัวเมืองค็อดเป็นเมืองที่มีประชากรอยู่หลายแสนคนและกินพื้นที่กว้างใหญ่ เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ท้องที่และการทำลายที่เกิดจากทำลายโดยกองทัพอาณาจักรบาลุค ฝ่ายศาสนจักรเจิดจรัสถูกบังคับให้โจมตีจากประตูทิศใต้และทิศตะวันออก
ประตูทิศเหนือเปิดออก เนื่องจากพวกเขาไม่กลัวศัตรูโจมตีจากด้านนั้น
กลางวันค่อยๆสว่างขึ้นและทหารหลายคนที่ทำหน้าที่ป้องกันตอนกลางคืนผลัดเปลี่ยนเวรพูดตามเหตุผลควรจะมีทหารน้อยกว่าในตอนเช้า แต่ชุดที่เข้ามาผลัดเวรก็ต้องประหลาดใจ มีคนนอกมากมาย และดูเหมือนว่าทหารที่อยู่รับหน้าที่ไม่ได้เหนื่อยแม้แต่น้อยแต่กลับตื่นเต้น
“สหาย, ได้เวลาผลัดเวรกันแล้ว พวกเจ้ามีอะไรจะบอกหรือเปล่า?”
ทหารหลายคนวิ่งมาสลับตำแหน่งกัน
“มังกรตัวเบ้อเริ่ม มันตัวใหญ่จริงๆไม่มีปีกแต่ว่าบินได้ ต้องเป็นมังกรยักษ์ระดับเซียนแน่นอน โอว.. มันใหญ่โตมากจริงๆ ตัวอย่างกะภูเขา” ทหารผลัดกลางคืนพูดกันในกลุ่มอย่างตื่นเต้น
“มังกรอะไร?” ทหารที่เพิ่งมาถึงตกใจ
ทหารผลัดกลางคืนอธิบายให้ฟังอย่างตื่นเต้น “เมื่อคืนนี้ มีมังกรตัวใหญ่มหึมาบินมาที่นี่และมีทหารอยู่มากมายรอเคลื่อนย้ายของ ดูสิ.. พวกเขายังคงขนของอยู่เลยเจ้ากล่องเหล็กใหญ่นั่นถูกขนส่งโดยมังกรบิน”
ทหารที่มาใหม่มองดู
เขาเห็นกล่องขนาดมหึมาอย่างน้อยยาวห้าสิบเมตร ถึงกับสูดลมหายใจหนาวเหน็บเป็นไปได้ยังไงที่คนจะขนย้ายกล่องใหญ่ขนาดนี้? บางทีอาจจะเป็นมังกรยักษ์ที่นำมาที่นี่จริงๆ
ทหารกลุ่มใหญ่ตอนนี้ยืนอยู่ตรงกลางกล่องเหล็กคอยลำเลียงกระสอบที่เต็ม
ข่าวเรื่องมังกรยักษ์แพร่กระจายไปทั่วค่ายอย่างรวดเร็ว ทำให้กำลังใจของทหารเมืองค็อดเพิ่มมากขึ้น ฝ่ายของพวกเขามีมังกรยักษ์คอยช่วยสนับสนุนและเป็นมังกรระดับเซียนที่บินได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเขาจะต้องทำได้สำเร็จแน่นอน
แต่กองกำลังของศัตรูกลับตรงกันข้าม
แม่น้ำลิวยันเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ แม้ว่าจะไม่ใช่หนึ่งในสามแม่น้ำใหญ่สุดของแดนอนารยชน แต่ก็ยังมีความกว้าง 50-60เมตรและทำให้กองกำลังฝ่ายศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาต้องปวดหัว
สะพานที่สร้างขึ้นด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาลถูกอาณาจักรบาลุคทำลายเอง
อาคารที่แข็งแรงแต่ก็ยังถูกทำลายได้ง่าย
กิลเยโมคาร์ดินัลแห่งศาสนจักรเจิดจรัสและเวสพอร์ตเตอร์คาร์ดินัลมืดแห่งลัทธิเงาขมวดคิ้ว การสร้างสะพานลอยทำได้ได้ง่าย แต่ทหารเป็นล้านจะข้ามสะพานลอยนั้นได้ยังไง?
นอกจากนี้เครื่องจักรสงครามบางอย่างก็ใหญ่มาก พวกเขาจะขนข้ามไปได้ยังไง?
“เราต้องสร้างสะพานลอยขนาดใหญ่เพื่อให้ทหารของเราข้ามทันที” กิลเยโมขมวดคิ้วกล่าวกระตุ้น
“อย่างนั้นจะทำยังไงกับเครื่องจักรสงคราม?” ใครบางคนถาม
การโจมตีเมืองต้องใช้เครื่องจักรสงครามอย่างเช่นรถปีนกำแพงซึ่งกว้างหลายสิบเมตร ของใหญ่และหนักขนาดนั้นจะเข็นข้ามไปยังไง? แต่การสร้างสะพานใหญ่จะต้องใช้เวลานานมาก ทั้งต้องใช้ปูนสร้างกว่าปูนจะแข็งตัวก็ยิ่งใช้เวลานาน
ไม่มีเวลาเพียงพอ
“เมื่อเวลามาถึงเวทจะช่วยเปลี่ยนน้ำให้เป็นน้ำแข็ง” กิลเยโมขมวดคิ้ว
ตอนนี้เป็นเดือนสิงหาคมช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของปี นอกจากนี้นี่ยังเป็นแม่น้ำที่ใหญ่มาก จะแช่แข็งแม่น้ำให้แข็งพอให้เครื่องจักรขนาดใหญ่ข้ามไปได้อย่างน้อยต้องได้จอมเวทระดับเก้า
……
เมืองค็อดได้รับการบูรณะอย่างต่อเนื่องและเตรียมเครื่องจักรสงครามฝ่ายตนเอง ศาสนจักรเจิดจรัสและวิหารเงายังคงวางแผนทำทางให้กองพลเป็นล้านข้ามไปได้ ในแดนอนารยชนสงครามพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
เวลานี้...
ที่จักรวรรดิโอเบรียน ภูเขาเทพสงคราม
“วูบบบ”
ทันใดนั้นเทพสงครามโอเบรียนปรากฏตัวที่หน้าถ้ำของเขา เทพสงครามโอเบรียนยืนอยู่กับที่ตัวตรงเหมือนคันทวน อากาศรอบตัวผันผวนรุนแรง ผมสีแดงเพลิงของเขาโบกสะบัดอย่างอิสระและหน้าของเขามีรอยยิ้ม
เขาไม่ได้ออกมาจากถ้ำนานแล้ว
ประกายแสงวูบหนึ่งปรากฏอยู่ต่อหน้าของเขา เป็นเฟนนั่นเอง
“อาจารย์” เฟนยืนอยู่ต่อหน้าเทพสงครามโอเบรียนด้วยความเคารพ ทันทีที่เทพสงครามก้าวออกมาข้างนอกก็เรียกเฟนทันที
เทพสงครามมองดูศิษย์ของเขา “เฟน,จงใช้ช่วงเวลาฝึกฝนครั้งต่อไปให้ดีและเตรียมพร้อมไว้...” เสียงของเทพสงครามจางหายไป แต่ตาของเฟนเป็นประกาย เขามองดูอาจารย์ของเขา “อาจารย์.. ท่านกำลังบอกว่า....?”
“ใช่แล้ว มันจะเริ่มต้นในไม่ช้านี้..เพราะว่าคนในไพรทมิฬสั่งให้ข้าไปหาเขา” คำพูดของเทพสงครามโอเบรียนทำให้ใจของเฟนเริ่มสั่นสะท้าน
เฟนรู้ว่าเทพในไพรทมิฬยากจะข้องเกี่ยวกับเรื่องใดๆ เพราะเขา.ทำเช่นนี้ต่อเทพสงคราม..ก็หมายความว่าได้เวลาเปิดสุสานเทพเจ้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว
เทพสงครามโอเบรียนเปลี่ยนสภาพเป็นแนวแสงทันทีพุ่งข้ามท้องฟ้าหายไปทางขอบฟ้าตะวันออกอย่างรวดเร็ว ความเร็วของเขาน่าทึ่งมากห่างจากลินลี่ย์และคนอื่นๆอีกมาก
บนยอดเขาในเทือกเขาอสูรวิเศษ
บุรุษหนุ่มแววตาชั่วร้ายสีทองเข้มอยู่ในชุดยาวยืนอยู่บนยอดเขากำลังจ้องไปทางทิศตะวันออก มีรอยแผลเป็นจากคมมีดอยู่บนหน้าผากของเขา แต่คนที่รู้จักเขาจะรู้ดีว่านั่นไม่ใช่รอยแผลมีด แต่เป็นอาวุธที่ทรงพลังของราชันย์แห่งเทือกเขาอสูรศักดิ์สิทธิ์
ไดลินราชันย์แห่งเทือกเขาอสูรศักดิ์สิทธิ์
“ฮึ่ม... เจ้าแก่บัดซบนั่น” ไดลินจ้องไปทางทิศตะวันออก เขาได้รับคำเชิญจากคนในไพรทมิฬเช่นกัน แม้ว่าไดลินจะไม่ชอบเขาแต่เขาก็ไม่กล้าขัดขืนเช่นกัน “เขายังเป็นเหมือนเมื่อห้าพันปีที่แล้ว และตอนนี้เขายังเป็นแบบนี้ ทวีปยูลาน..เจ้าแก่บัดซบนั่นอยู่ที่นี่อย่างสบายที่สุด”
“ควั่บ”
ร่างไดลินกระพริบวูบและแสงสีทองเข้มพุ่งวาบไปทางขอบฟ้าตะวันออก จากนั้นก็หายไป ความเร็ว..ดูเหมือนจะเร็วกว่าเทพสงครามโอเบรียนอยู่เล็กน้อย
บนยอดเขาเทียบเมฆใกล้กับเมืองหลวงจักรวรรดิยูลาน
ผมสีเงินสยายถูกลมพัดโบกสะบัดอย่างอิสระ หน้ากากหยกสะท้อนประกายบุรุษในชุดสีเหลืองนวลเหมือนกับเทพบุตรดูตัดขาดจากโลกภายนอกหรืออาจเป็นภูตพรายแต่จากรูปร่างของคนผู้นี้มองดูเฉื่อยชาบางทีก็ดูคล้ายสตรี
แต่นี่คือเทพมนุษย์ที่อายุมากที่สุดในทวีปยูลาน เสาหลักค้ำยันจักรวรรดิยูลาน... มหานักพรต
“จะเริ่มแล้วหรือ?” มหานักพรตจ้องไปทางทิศพายัพ หน้ากากหยกเรืองแสงปิดบังหน้าของเขา “ใครจะรู้ว่าคราวนี้จะมีคนตายไปเท่าใด” มหานักพรตถอนหายใจ และนั้นมีสายลมพัดวูบหนึ่ง
เมื่อสายลมสงบลงมหาพรตก็หายไปเช่นกัน
ภายในย่านบันเทิงสุดหรูในจักรวรรดิโรฮอลท์
“มาเถอะน่า มาให้ข้าจุ๊บหนึ่งที” ซีซาร์ยังคงอยู่ในชุดหลวมสบายและใบหน้าประดับรอยยิ้มเกียจคร้าน เขากำลังโอบกอดหญิงงามคนหนึ่งหยอกล้อดื่มกินกับนาง แต่ขณะที่พวกเขากำลังเพลิดเพลินหน้าของเขาชะงักค้างทันที “กลับไปได้แล้ว” ซีซาร์โบกมือของเขา
สตรีงดงามสับสนอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าบอกให้เจ้าไปไงเล่า” ซีซาร์หงุดหงิด รัศมีที่เขาเปล่งออกมาตอนนี้ทำให้สตรีนางนั้นใจสั่น และนางออกไปทันทีไม่กล้าท้วงติง
ซีซาร์ขมวดคิ้วและแสดงความไม่พอใจ “ไพรทมิฬ..โอว.. ให้ตายเหอะคนอย่างเจ้าไม่ต้องให้ความสนใจข้าก็ได้.. ข้าเพิ่งจะได้เป็นเทพมาไม่นานนี้เองทำไมต้องให้ข้าไปกับเจ้าด้วย”
แม้ว่าเขาจะหงุดหงิดรำคาญ แต่ซีซาร์ก็ไม่กล้าขัดขืน
ชีวิตห้าพันปีทำให้ซีซาร์ค่อยรู้เบื้องหลังประวัติศาสตร์ทวีปยูลาน
เงาดำสายหนึ่งกระพริบวูบและซีซาร์หายวับขณะที่เขาเทเลพอร์ต ถ้าบีบีและโอเซนโนเห็นเช่นนี้...พวกเขาคงได้ตกใจเป็นแน่ เพราะคนที่สามารถถึงระดับวิชาร่างเงาได้นับว่าน่ากลัวมาก
ในอากาศเหนือไพรทมิฬสี่เทพผู้ยิ่งใหญ่เหาะมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอยู่เคียงข้างกัน เสียงระเบิดทะลุกำแพงเสียงได้ยินดังต่อเนื่อง สายตาของเทพสงครามโอเบรียนมั่นคง มหานักพรตจะเงียบสงบเป็นปกติอยู่แล้ว ไดลินเย็นชาชั่วร้าย และซีซาร์ที่ดูเฉื่อยชาเกียจคร้านมีท่าทางไม่สบายใจบินอยู่ห่างๆ จากคนอื่น
“ซีซาร์, ทำไมทำหน้าไม่สบายใจเล่า? ตอนนี้เจ้าเป็นเทพไปแล้วก็น่าจะมีความสุขได้แล้ว” เสียงสุภาพนุ่มนวลของมหานักพรตดังขึ้น
ซีซาร์ฝืนยิ้ม “ท่านแคทเธอรีน,ข้าเพิ่งจะเป็นเทพเมื่อไม่นานนี่เอง เมื่อเราพบกับอันตรายอย่างใดอย่งหนึ่ง หวังว่าท่านจะช่วยข้านะ ท่านแคทเธอรีน ไม่อย่างนั้นชีวิตน้อยๆ ของข้าอาจต้องจบสิ้น”
“ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าจะจบสิ้นน่ะหรือ?” เสียงหนักแน่นของเทพสงครามดังขึ้น เขากวาดสายตามาที่ซีซาร์ “เจ้าเข้าสู่ระดับเทพแล้ว และเจ้าก็ฝึกฝนทักษะลอบฆ่าและหลบหนีในสายธาตุมืดบรรดาพวกเราทั้งสี่คน ทักษะหนีของเจ้าน่าจะยิ่งใหญ่สุดแล้ว”
ซีซาร์ได้แต่หัวเราะหึหึ
ขณะที่ราชันย์เทือกเขาอสูรวิเศษไดลินได้แต่เหาะอย่างเงียบงัน
“ไดลิน” มหาพรตมองดูเขาและพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “ขอแสดงความยินดีด้วยที่เจ้าหนีออกมาจากคุกเกบาโดสได้ ข้าต้องขอบอกว่าเจ้าโชคดีจริงๆ”
ไดลินจ้องมองมหานักพรต “แคทเธอรีน โชคของข้ายังไม่ดีเท่าเจ้า”
ขณะที่คนเหล่านี้กำลังสนทนากัน...
“พอเถอะ ยังมีเวลาคุยกันทีหลังอีกเยอะ เร็วๆ เข้า” เสียงชราภาพแหบแห้งดังขึ้นในหูของเทพทั้งสี่ เทพทั้งสี่เร่งความเร็วทันทีกลายเป็นแสงรัศมีสว่างพุ่งเข้าส่วนลึกของไพรทมิฬ
ตลอดทั่วทั้งทวีปยูลานเซียนส่วนใหญ่อย่างเช่นลินลี่ย์และเดลี่ไม่รู้ว่าห้าเทพมาประชุมกันที่ไพรทมิฬ ความจริงลินลี่ย์อยู่ในเมืองค็อด สงครามที่กำลังมาถึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
แทบจะทันทีที่ลินลี่ย์มาถึงเมืองค็อด...
“ใต้เท้าลินลี่ย์” บาร์เกอร์วิ่งเข้ามาหาทันที
“มีอะไร, บาร์เกอร์?” ลินลี่ย์ยิ้มให้บาร์เกอร์ เขารีบกล่าวทันที“ใต้เท้าลินลี่ย์ช่วยมาดูกับข้าเถอะ มีบางคนบอกข้าว่ามีเหตุเปลี่ยนแปลงที่เหมืองอัญมณีเวท ข้ามองดูแล้วก็พบว่ามีบางอย่างที่เหลือเชื่อ”
“โอว?” ลินลี่ย์สงสัยขึ้นมาทันที “มาเถอะ,, เราไปดูกัน”
ลินลี่ย์ติดตามบาร์เกอร์ไปทันทีขณะที่พวกเขาบินไปที่เหมืองด้วยความเร็วสูง ตอนนี้หลายส่วนของเหมืองอัญมณีเวทถูกปิดไว้ไม่ยอมให้ใครสำรวจลึกเข้าไป เมื่อบาร์เกอร์และลินลี่ย์มาถึง ทหารเหล่านั้นก็ถอยทันที
“ตรงนี้” บาร์เกอร์พาลินลี่ย์เข้าไปข้างใน
พวกเขาเดินลึกเข้าไปในเหมืองซึ่งสว่างด้วยคบเพลิง บาร์เกอร์อธิบาย“มีบางคนบอกข้าว่าเมื่อเราขุดทางลึกเข้าไปในใจกลางเหมือง เราพบว่าคุณภาพของอัญมณีเวทเพิ่มขึ้นถึงระดับที่น่ากลัว มันดีกว่าอัญมณีเวทมาตรฐานชั้นเลิศในประวัติศาสตร์ แต่กลับแข็งอย่างน่ากลัว นั่นคือสาเหตุที่ข้ามา”
ลินลี่ย์แผ่พลังจิตตรวจสอบทันที
ลินลี่ย์ตรวจพบทันที..ว่าที่ท้ายแนวขุดเจาะมีพื้นที่ใจกลางรูปทรงกลม นี่คือใจกลางของเหมือง
“ท่านบอกว่าคุณภาพของอัญมณีเวทดีจนถึงระดับที่น่ากลัวใช่ไหม?”
“ถูกแล้ว จากที่ข้าสามารถบอกได้คุณภาพของอัญมณีเวทที่นี่ เทียบเท่ากับแก่นอสูรเวทระดับเจ็ด และยิ่งลึกเข้าไปก็เทียบเท่าได้กับอสูรเวทระดับแปด และมีจำนวนน้อยมากที่เทียบได้กับแก่นอสูรเวทระดับเก้า” บาร์เกอร์ถอนหายใจอย่างอัศจรรย์
ใจของลินลี่ย์สั่นสะท้านด้วยความตกใจ
“ท่านลินลี่ย์,ท่านรู้ไหมว่าใจกลางของเหมือนเป็นยังไง?” บาร์เกอร์ถาม
ลินลี่ย์ส่ายศีรษะ เขาพึ่งพบกลุ่มอัญมณีเวทหลายก้อนบริเวณนี้เมื่อเขาใช้พลังจิตตรวจดู เขาไม่สามารถพบอะไรเลย
“เราถึงตรงนี้แล้ว” บาร์เกอร์ชี้ไปข้างหน้า
ด้านข้างของพื้นที่ขุดเจาะเต็มไปด้วยอัญมณีกึ่งโปร่งใสที่บรรจุพลังงานน่ากลัว ไม่ว่ามณีเวทดวงไหนก็เทียบได้กับแก่นอสูรเวทระดับเจ็ด ลินลี่ย์มองดูข้างหน้า บาร์เกอร์ชี้ไปที่ตำแหน่งประตู
ประตูนี้แผ่ระลอกคลื่นแปลกประหลาดอยู่ข้างหน้า
แต่ก่อนนั้นเมื่อลินลี่ย์ใช้พลังจิตตรวจสอบ เขาไม่สามารถค้นหาพบประตูนี้เลย