ตอนที่แล้วตอนที่ 10-32 ร่วมกองกำลัง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 10-34 ภาระของอสูรร้าย?

ตอนที่ 10-33 ระดมทัพระดมพล


ในแดนอนารยชนเขตปกครองศาสนจักรเจิดจรัส บนถนนสาธารณะ กองทัพไม่มีที่สุดเคลื่อนพลเดินหน้ามีนายทหารขับขี่อสูรเวทที่ทรงพลัง หรือทหารม้าที่แข็งแกร่งซึ่งมีจำนวนมาก เป็นแถวยาวเหยียด

“ไปเร็วๆ!”  เสียงหวดแส้แหวกอากาศดังขึ้น  นายทหารมีสีหน้าเคร่งขรึม

เดินขบวนทัพ!

พวกเขาจำคำสั่งที่พวกเขาได้รับมอบมาย  พวกเขาต้องรีบไปเมืองเชอรี่ให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้นอกเขตเมืองเชอรี่ออกไปเป็นที่ตั้งซึ่งอาณาจักรบาลุคและศาสนจักรเจิดจรัสกำลังสู้รบ  นี่ยังเป็นพื้นที่ใกล้เหมืองอัญมณีเวทมากที่สุดที่ศาสนจักรเจิดจรัสจะเข้าถึงได้

การระดมทัพครั้งใหญ่นี้ไม่สามารถปิดซ่อนจากอาณาจักรบาลุคได้  พวกเขาจึงต้องเคลื่อนไหวให้เร็วขึ้นเป็นธรรมดา

ตอนนี้ที่ชายแดนเมืองเชอรี่มีทหารสองหมื่นคนชุมนุมพลกันแล้ว เหล่าทหารที่รีบเร่งรวมพลกันคราวนี้ได้รับอนุญาตให้พักหนึ่งหรือสองวันหลังจากรีบเร่งมาถึงที่นี่  จากนั้นพวกเขาจะถูกส่งเข้าทำศึก

“เรากำลังจะเข้าทำศึกกับอาณาจักรบาลุคเต็มรูปแบบ”

ภายในคฤหาสน์ที่เงียบสงัดคาร์ดินัลกิลเยโมกำลังมองท้องฟ้าด้านเหนือ คนที่รับผิดชอบศึกครั้งนี้ไม่ใช่อาร์ฟาน แต่เป็นกิลเยโม  ที่สำคัญในเรื่องอิทธิพลในกลุ่มผู้คนคาร์ดินัลกิลเยโมมีมากกว่า

และ...

พวกเซียนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาพัวพันในศึกครั้งนี้  อาร์ฟานคงจะงดเว้น แต่กิลเยโมในฐานะเป็นจอมเวทระดับเก้าสามารถส่งผลใหญ่ได้

“น่าเสียดายจริงๆ บุรุษหนุ่มผู้เคยเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ต่อศาสนจักรเจิดจรัสต้องกลายมาเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา”  กิลเยโมลอบถอนหายใจ  เขาได้เห็นกับตาถึงการเติบโตของลินลี่ย์และเติบโตจากการเป็นจอมเวทอัจฉริยะระดับเจ็ดไปเป็นยอดฝีมือผู้สามารถฆ่าเคลย์ นักรบระดับเก้าได้

หลังจากนิ่งเงียบมาหลายปี?

เขาฆ่าเทวทูตระดับเก้าไปหกคนและจากนั้นกลายเป็นผู้สั่นสะท้านโลกในจักรวรรดิโอเบรียน  แล้วจากนั้น...เขาก่อตั้งราชอาณาจักรบาลุคในแดนอนารยชน

“ยี่สิบปีผ่านไป ลินลี่ย์ผู้นี้ตอนนี้ทรงพลังมากจนแม้แต่ตุลาการและคนอื่นๆที่เหลือต้องพากันหลบซ่อนตัวอยู่ที่เกาะศักดิ์สิทธิ์กลัวที่จะออกมา”  กิลเยโมรำพึงกับตนเอง

“ใต้เท้า?” อัศวินคนหนึ่งทักทายเขาด้วยความเคารพเรียกชื่อเขาอย่างมีมารยาท

กิลเยโมตื่นจากความคิดคำนึงมองดูอัศวินผู้นั้นและกล่าว  “ไปกันเถอะมากับข้า ไปดูชายแดนเมืองเชอรี่ ไปดูคาร์ดินัลเงาแห่งลัทธิเงา และดูกันว่าคาร์ดินัลเงาเวส พอร์ตเตอร์มีความก้าวหน้าอะไรบ้างในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมานี้”

……

ในวังหลวงนครบาลุค

วอร์ตันลินลี่ย์ บาร์เกอร์และคนอื่นๆ ยืนเข้าแถวอยู่ในหอประชุมใหญ่มีแผนที่ทหารแผ่นใหญ่อยู่กลางหอประชุม และบุรุษวัยกลางคนที่ตอนนี้กำลังชี้ไปที่ด้านบนของแผนที่ “ใต้เท้าทั้งหลาย,เหมืองอัญมณีเวทอยู่ตรงนี้ ถ้าเพียงแต่ศาสนจักรเจิดจรัสจะโจมตีเรา... เราก็ควรจะสู้กันที่เมืองเชอรี่”

ลินลี่ย์และคนอื่นพยักหน้ากันทุกคน

“อย่างไรก็ตาม...”  บุรุษวัยกลางคนส่ายศีรษะ  “เว้นแต่ผู้บัญชาการของศาสนจักรเจิดจรัสจะโง่พวกเขาจะไม่เลือกโจมตีที่นี่”

“เหรอ?” บาร์เกอร์เลิกคิ้ว

บุรุษวัยกลางคนพูดต่อ “เหมืองอัญมณีเวทอยู่ห่างจากเมืองหลวงเกินสามร้อยกิโลเมตร  ขณะที่เมืองเชอรี่อยู่ห่างจากเมืองหลวงสี่หรือห้าร้อยกิโลเมตรนี่เป็นแนวเส้นตรง! ถ้าพวกเขาต้องสู้เดินทางจากหัวเมืองเชอรี่ไปยังเหมืองอัญมณีเวทก็จะต้องเดินทางเกือบพันกิโลเมตร  ถ้าพวกเขาไปตามถนน บนถนนมุ่งสู่เหมืองจะมีเมืองใหญ่เมืองน้อยเกินกว่าสิบเมือง ศาสนจักรเจิดจรัสจะต้องรบกับเราเป็นระยะทางพันกิโลเมตรลึกเข้ามาในดินแดนของเราน่ะหรือ? กองกำลังเกือบครึ่งหนึ่งของพวกเขาจะต้องคงเอาไว้เพื่อรักษาชายแดนกับจักรวรรดิโอเบรียนและจักรวรรดิโรฮอลท์  มีเพียงครึ่งเดียวที่สามารถส่งมาโจมตีเราได้”

“ดังนั้น ความเข้มแข็งทางทหารของเราจึงอยู่ในระดับที่เสมอกัน”

บุรุษวัยกลางคนชี้ไปที่เมืองเชอรี่  “เมื่อมีระดับพลังที่เท่ากัน ถ้าเราป้องกันภายในกำแพงของเราขณะที่พวกเขาโจมตี...และพวกเขาถูกบังคับให้สู้ในดินแดนของเราเป็นระยะทางพันกิโลเมตร.. พวกเขามีแต่จะหาที่ตาย”

“ดังนั้น,ถ้าศาสนจักรเจิดจรัสต้องการจะโจมตีเรา พวกเขามีเพียงทางเลือกเดียว คือร่วมทัพกับพวกลัทธิเงา พวกเขาไม่มีตัวเลือกอื่น!”  บุรุษวัยกลางคนสูดหายใจลึก  ไม้สำหรับชี้ในมือเขาฟันลงด้านข้าง “พวกลัทธิเงาใช้เขตแดนเกินกว่าพันกิโลเมตรร่วมกับเรา  สถานที่ใกล้เหมืองแร่อัญมณีเวทมากที่สุด  ต้องเป็นที่นี่อย่างมิต้องสงสัย

“เมืองค็อด!”  บุรุษวัยกลางคนชี้ไปที่จุดหนึ่ง

“เหมืองอัญมณีเวทตั้งอยู่ด้านนอกเมืองไนฟ์ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆในความควบคุมของหัวเมืองค็อด จากเมืองค็อดไปเหมืองเป็นระยะทางร้อยกิโลเมตร”  บุรุษวัยกลางคนมีสีหน้าเคร่งเครียด  “ถ้าพวกเขาบุกผ่านแนวป้องกันของเราที่นี่ก็จะบุกเข้าใส่เหมืองอัญมณีเวทได้อย่างราบรื่น!”

ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย

ผู้บัญชาการท่านนี้อธิบายหลายอย่างได้ชัดเจน

“ว็อทซ์” วอร์ตันพูดทันที  “ถ้าข้ามอบอำนาจเต็มในการรบให้เจ้าเจ้ามั่นใจไหมว่าด้วยความสามารถของเจ้า จะเอาชนะศึกครั้งนี้ได้?”

บาร์เกอร์กล่าวขึ้นบ้าง“นอกจากนี้ ข้ายังสามารถเสริมปืนใหญ่พลังมณีเวทให้เจ้าได้ถึงสามสิบกระบอก  ข้าจะรับผิดชอบปัญหาการส่งมอบอัญมณีเวทให้เจ้าเอง” บาร์เกอร์มีสถานะสูงส่งในอาณาจักรบาลุคอยู่แล้ว  เขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของอาณาจักรและพลังส่วนตัวของเขาก็ยังสูงล้ำน่ากลัวมาก

ไม่นานหลังจากลินลี่ย์บรรลุชั้นเซียนในร่างมนุษย์  บาร์เกอร์ก็ทำได้เช่นกัน  เมื่อเขาแปลงร่าง...เขาจะกลายเป็นเซียนนักรบอมตะชั้นสูง ผู้เชี่ยวชาญพลังระดับ ‘กำหนด’ ไม่เป็นรองโอเซนโนแม้แต่น้อย

เมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะได้ปืนใหญ่พลังมณีเวทถึงสามสิบกระบอก  ว็อทซ์นัยน์ตาเป็นประกาย

ว็อทซ์เอามือแตะอกพูดรับรองหนักแน่น  “ฝ่าบาท,ตราบใดที่พระองค์ให้ข้าพระบาทมีอำนาจสั่งการทหารของเราห้าพันคน  ข้ามั่นใจเต็มที่ว่าด้วยความสามารถของข้าพระบาทเราจะสามารถรักษาเมืองค็อดและขับไล่ศัตรูออกไปได้พะยะค่ะ”

“ดีมาก” วอร์ตันมีรอยยิ้มบนใบหน้า

อาณาจักรบาลุคความจริงมีนักรบเกินล้านคน  ยังไม่นับทหารรักษาเมืองธรรมดา

“ฝ่าบาท” ว็อทซ์พูดอย่างจริงจัง “ข้าพระบาทกังวล..ว่าศัตรูจะมาพร้อมด้วยกองกำลังที่น่ากลัวและทรงพลังมากกว่าที่เราคาดไว้  ถ้ามีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น  และกองกำลังยากต้านทานมาจริงๆการยืนปกป้องพื้นที่ของเราจะตกอยู่ในอันตราย”

“กองกำลังที่น่ากลัว?”  วอร์ตันงงงวย

“ถูกแล้ว, ตัวอย่างเช่นถ้ามีเซียนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น หรือว่ากลุ่มพวกระดับตำนานอย่างกลุ่มจอมเวทที่ทรงพลังของศาสนจักรเจิดจรัสถูกส่งมาที่นี่  เราจะตกอยู่ในอันตรายยิ่งใหญ่ได้”  ว็อทซ์พูดอย่างจริงจัง

ทั้งศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาต่างก็ใช้เวลาและความเพียรพยายามมากมายเพื่อสร้างกลุ่มจอมเวทของพวกเขา  กลุ่มจอมเวทของทั้งสองฝ่ายนี้ทรงพลังมาก  และสมาชิกที่อ่อนแอที่สุดของกลุ่มพวกเขาจะอยู่ในระดับเจ็ด ขณะที่คนที่เข้มแข็งที่สุดจะเป็นจอมเวทระดับเก้า

กลุ่มจอมเวทที่มีพลังเกินกว่าพันคนมีจอมเวทระดับเก้าหลายคนคอยสั่งการพวกเขาก็สามารถสร้างเวทที่มีพลังน่ากลัวออกมาได้

พลังของกลุ่มคนเช่นนั้นไม่ด้อยไปกว่าเวทต้องห้ามของเซียนจอมเวทเลย

นี่ยังเป็นเหตุผลที่ปกติจักรวรรดิทั้งหลายไม่อนุญาตให้เซียนเข้ามาเกี่ยวข้องในการสู้รบ  กลุ่มจอมเวทกลายเป็นกองกำลังที่ทรงพลังน่ากลัว

“เซียนฝ่ายศัตรูจะไม่ปรากฏ”

ลินลี่ย์พูดบ้าง

ว็อทซ์มองลินลี่ย์ทันที  เมื่อเห็นว่าเป็นลินลี่ย์ที่พูดเอง  เขาแสดงความเคารพทันที  ลินลี่ย์หัวเราะอย่างใจเย็น  “ไม่ต้องกังวลไม่ว่าจะเป็นศาสนจักรเจิดจรัสหรือลัทธิเงาก็ตามจะไม่ส่งเซียนเข้าร่วมรบเป็นอย่างน้อย  สำหรับกลุ่มจอมเวทที่น่ากลัวซึ่งเจ้าพูดออกมานั้น...”

“ถ้าพวกเขาต้องการสร้างเวทต้องห้ามออกมาโจมตี...ไม่ต้องห่วงเลย พวกเขาไม่สามารถทำได้” ลินลี่ย์พูดอย่างใจเย็น

แม้ว่าพวกเขาจะได้ทำข้อตกลงกันไว้ก่อนนี้แล้วว่าพวกเซียนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามายุ่งกับการสู้รบ ลินลี่ย์รู้แน่ว่าคาถาต้องห้ามนั้น ทรงพลังมากมายเพียงไหน  แค่เพียงเวทบทเดียวอาจทำลายเมืองค็อดได้ทั้งเมืองและจำนวนคนที่ตายจะมากมายอย่างน่ากลัว ลินลี่ย์จะไม่ถือรั้นและดื้อดึงเกินไปยอมปล่อยให้ประชาชนผู้มีค่าของทั้งเมืองเกินกว่าล้านชีวิตต้องตายไปเพราะข้อตกลงแน่

ชีวิตของคนเป็นล้านมีค่าน้อยกว่าสนธิสัญญาฉบับหนึ่งหรือ?

นอกจากนี้

สนธิสัญญาระหว่างประเทศเหล่านี้เพียงผูกพันและส่งผลเมื่อประเทศมีระดับความแข็งแกร่งเท่ากัน  ถ้าฝ่ายหนึ่งมีพลังพอครอบงำอีกฝ่าย  ต่อให้พวกเขาฉีกข้อตกลงและโจมตีทันทีแล้วไงเล่า? นี่เป็นสิ่งที่พบเห็นได้โดยทั่วไปในทวีปยูลานอยู่แล้ว

แต่แน่นอนว่าลินลี่ย์จะทำเช่นนั้นต่อเมื่อกลุ่มจอมเวทฝ่ายศัตรูร่วมกันร่ายเวทซึ่งมีผลเท่ากับเวทต้องห้าม

….

ในฐานะผู้บัญชาการรบ  ข้อมูลได้เข้ามาที่ว็อทซ์อย่างต่อเนื่องและเขาจะออกคำสั่งตามหลังผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา

ข่าวว่ากองกำลังของศาสนจักรเจิดจรัสมาถึงชานเมืองเชอรี่แพร่กระจายมาถึงเขาอย่างรวดเร็ว

เป็นไปได้ไหมว่า..ศาสนจักรเจิดจรัสกำลังจะโจมตีเมืองเชอรี่?

“เมืองเชอรี่มีทหารประจำการอยู่ที่นั่นแล้ว  ส่งทหารอีกกองทัพหนึ่งไปที่นั่น  สองกองพลจะมีทหารรวมสองแสนคน  ยืนเฝ้าประจำการในพื้นที่ในเมืองของตน  และทำลายต้นไม้รอบเมืองเชอรี่ให้หมด  อย่าให้ศัตรูใช้อำพรางและซุ่มทำร้ายเรา”

“เมืองเชอรี่ไม่ใช่สถานที่ซึ่งศัตรูจะลงมือโจมตีจริงๆ  พวกเขาแค่พยายามตรึงกำลังของเรา  ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือยืนประจำในพื้นที่ของเรา”

ลัทธิเงาลงมือตามที่ว็อทซ์คาดการณ์ไว้แน่นอน  ความจริงพวกเขาเข้าร่วมสู้แทบจะทันที

“สะพานข้างหน้าของเมืองเอกค็อดจะต้องถูกทำลาย นอกจากนี้ถนนรอบเมืองเมืองเอกค็อดต้องถูกทำลายเช่นกัน  อย่าให้เส้นทางใดๆกับกองกำลังข้าศึกเข้ามาถึงพวกเราได้ง่าย ต้องบีบบังคับให้พวกเขาโจมตีเมืองค็อดโดยตรง” คำสั่งนี้ทำให้เกิดความยุ่งยากกับศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาเล็กน้อย

“ภายในเมืองค็อดเองพลเรือนทั้งหมดต้องโยกย้าย เมืองเอกค็อดต้องกลายเป็นป้อมปราการทหาร และต้องปรับเปลี่ยนเพื่อการทำสงคราม”

คำสั่งครั้งแล้วครั้งเล่าออกมาจากกองบัญชาการทหารและพวกเขาต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังโดยผู้บังคับการในแต่ละตำแหน่งคำสั่งตกมาถึงเหมืองแร่อัญมณีเวทด้วยเช่นกัน “ให้เพิ่มระดับการผลิต เร่งกำลังทำเหมืองเต็มกำลังไม่ต้องพยายามทำอย่างอื่นตบตา”

ในช่วงสิบสองปีมหาอำนาจใหญ่ในแดนอนารยชนทั้งสามมีแต่เพียงการสู้รบขนาดเล็ก พวกเขาไม่ไม่เคยเกี่ยวข้องในการสู้รบอย่างที่ทำกันในวันนี้  แม้แต่ก่อนสงครามจะเริ่ม การเรียกระดมทัพก็มีจำนวนมหาศาลน่ากลัวแล้ว  เห็นได้ชัดว่า...

สงครามครั้งนี้ไม่ใช่เล่นๆเสียแล้ว  แต่เป็นสงครามจริงๆ

ในท้องฟ้ากว้างไกลลินลี่ย์ในชุดสีฟ้าบินเหนืออากาศด้วยความเร็วสูงไปมุ่งไปที่เขตลัทธิเงา  ลินลี่ย์รู้จักสถานที่ซึ่งโอคาซี่ย์อยู่ ศูนย์บัญชาการใหญ่ลัทธิเงาในดินแดนอนารยชนดูเหมือนว่าจะเป็นวิหารเงา

สายตาของลินลี่ย์เย็นชา

“โอคาซี่ย์ยอมร่วมมือให้ความสนับสนุนศาสนจักรเจิดจรัสจริงฮึ!”

ลินลี่ย์ไม่เข้าใจเรื่องนี้  แต่ลัทธิเงาไม่มีทางเลือกอื่น  ถ้าพวกเขาช่วยลินลี่ย์ อย่างนั้นอำนาจของศาสนจักรเจิดจรัสที่ดินแดนอนารยชนจะถูกทำลายถึงแก่น  พวกเขากลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นลินลี่ย์จะหันกลับมาเล่นพวกเขาทันที

ต้องเข้าใจไว้...

ฝ่ายลินลี่ย์ตอนนี้นับเอาลินลี่ย์ บีบีและพี่น้องบาร์เกอร์ และบาร์เกอร์ก็เข้าถึงระดับเซียนในร่างมนุษย์ได้แล้ว  กลุ่มเซียนนี้ทรงพลังมากเกินไป  ลัทธิเงาจะไม่สามารถสู้กับพวกเขาได้

ถ้าลินลี่ย์กลับลำไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญา  ทางลัทธิเงาจะทำอะไรได้?

พวกเขารู้ว่าเดลี่ค่อนข้างลำเอียงไปทางลินลี่ย์

เซียนฝ่ายลินลี่ย์ก็แข็งแกร่งทรงพลังมาก  ถ้าทั้งศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาแสดงท่าทีให้ลินลี่ย์ระแวง  เมื่อหนึ่งในสองฝ่ายถูกทำลาย อย่างนั้นมีแนวโน้มว่าทั้งสองอาจจะถูกลินลี่ย์จัดการก็เป็นได้

“ยอดฝีมือระดับเซียนไม่สามารถเข้าร่วมสู้ศึกหรือฆ่าคนธรรมดาได้  แต่ข้าสามารถฆ่าเซียนด้วยตัวเองได้”  ลินลี่ย์จ้องมองวิหารเงาแต่ไกล  “ข้าจะใช้ความตายคุกคามโอคาซี่ย์  บางทีนั่นอาจช่วยให้เขาตื่นขึ้น”

ลินลี่ย์ใช้พลังจิตตรวจสอบทั่วทั้งวิหารเงา

“หืม.. ไม่มีใครอยู่ที่นั่น?”

ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว  พลังงานรอบตัวเขาเริ่มสั่นสะเทือนและเหมือนประกายไฟ ลินลี่ย์กระแทกหน้าต่างแตกเป็นผุยผง จากนั้นเข้าไปในห้อง

“โอคาซี่ย์อยู่ไหน?” ลินลี่ย์มองดูชายชราผมทองข้างหน้าเขาอย่างใจเย็น

ชายชราผมทองเป็นหนึ่งในสมาชิกที่ทรงพลังที่สุดของวิหารเงาเป็นเซียนคนหนึ่ง แต่เขาเป็นเพียงเซียนระดับกลาง ยังอ่อนแอกว่าโอคาซี่ย์มากมายนัก

“ลินลี่ย์?” ชายชรายิ้ม “ใต้เท้าโอคาซี่ย์สั่งข้าให้รอท่านอยู่ที่นี่  ใต้เท้าลินลี่ย์  ข้าขอแนะนำตัว ข้าคือเทวทูตสี่ปีกแห่งลัทธิเงา”

ลินลี่ย์มองดูชายชราอย่างใจเย็น

ทัศนคติของชายชรานอบน้อมถ่อมตัวมาก “ใต้เท้าโอคาซี่ย์สั่งข้าให้แจ้งท่านว่าศึกครั้งนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้  สำหรับตัวใต้เท้าโอคาซี่ย์เองได้กลับฐานทัพใหญ่ของลัทธิเงาไปแล้ว ข้าเป็นเซียนของลัทธิเงาเพียงคนเดียวที่ยังรั้งอยู่ที่นี่”

ลินลี่ย์หงุดหงิด

โอคาซี่ย์หนีกลับบ้านไปจริงๆหรือ

“ท่านไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าท่านหรือ?”  ลินลี่ย์จ้องมองชายชรา เทวทูตสี่ปีก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด