ตอนที่ 10-33 ระดมทัพระดมพล
ในแดนอนารยชนเขตปกครองศาสนจักรเจิดจรัส บนถนนสาธารณะ กองทัพไม่มีที่สุดเคลื่อนพลเดินหน้ามีนายทหารขับขี่อสูรเวทที่ทรงพลัง หรือทหารม้าที่แข็งแกร่งซึ่งมีจำนวนมาก เป็นแถวยาวเหยียด
“ไปเร็วๆ!” เสียงหวดแส้แหวกอากาศดังขึ้น นายทหารมีสีหน้าเคร่งขรึม
เดินขบวนทัพ!
พวกเขาจำคำสั่งที่พวกเขาได้รับมอบมาย พวกเขาต้องรีบไปเมืองเชอรี่ให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้นอกเขตเมืองเชอรี่ออกไปเป็นที่ตั้งซึ่งอาณาจักรบาลุคและศาสนจักรเจิดจรัสกำลังสู้รบ นี่ยังเป็นพื้นที่ใกล้เหมืองอัญมณีเวทมากที่สุดที่ศาสนจักรเจิดจรัสจะเข้าถึงได้
การระดมทัพครั้งใหญ่นี้ไม่สามารถปิดซ่อนจากอาณาจักรบาลุคได้ พวกเขาจึงต้องเคลื่อนไหวให้เร็วขึ้นเป็นธรรมดา
ตอนนี้ที่ชายแดนเมืองเชอรี่มีทหารสองหมื่นคนชุมนุมพลกันแล้ว เหล่าทหารที่รีบเร่งรวมพลกันคราวนี้ได้รับอนุญาตให้พักหนึ่งหรือสองวันหลังจากรีบเร่งมาถึงที่นี่ จากนั้นพวกเขาจะถูกส่งเข้าทำศึก
“เรากำลังจะเข้าทำศึกกับอาณาจักรบาลุคเต็มรูปแบบ”
ภายในคฤหาสน์ที่เงียบสงัดคาร์ดินัลกิลเยโมกำลังมองท้องฟ้าด้านเหนือ คนที่รับผิดชอบศึกครั้งนี้ไม่ใช่อาร์ฟาน แต่เป็นกิลเยโม ที่สำคัญในเรื่องอิทธิพลในกลุ่มผู้คนคาร์ดินัลกิลเยโมมีมากกว่า
และ...
พวกเซียนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาพัวพันในศึกครั้งนี้ อาร์ฟานคงจะงดเว้น แต่กิลเยโมในฐานะเป็นจอมเวทระดับเก้าสามารถส่งผลใหญ่ได้
“น่าเสียดายจริงๆ บุรุษหนุ่มผู้เคยเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ต่อศาสนจักรเจิดจรัสต้องกลายมาเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา” กิลเยโมลอบถอนหายใจ เขาได้เห็นกับตาถึงการเติบโตของลินลี่ย์และเติบโตจากการเป็นจอมเวทอัจฉริยะระดับเจ็ดไปเป็นยอดฝีมือผู้สามารถฆ่าเคลย์ นักรบระดับเก้าได้
หลังจากนิ่งเงียบมาหลายปี?
เขาฆ่าเทวทูตระดับเก้าไปหกคนและจากนั้นกลายเป็นผู้สั่นสะท้านโลกในจักรวรรดิโอเบรียน แล้วจากนั้น...เขาก่อตั้งราชอาณาจักรบาลุคในแดนอนารยชน
“ยี่สิบปีผ่านไป ลินลี่ย์ผู้นี้ตอนนี้ทรงพลังมากจนแม้แต่ตุลาการและคนอื่นๆที่เหลือต้องพากันหลบซ่อนตัวอยู่ที่เกาะศักดิ์สิทธิ์กลัวที่จะออกมา” กิลเยโมรำพึงกับตนเอง
“ใต้เท้า?” อัศวินคนหนึ่งทักทายเขาด้วยความเคารพเรียกชื่อเขาอย่างมีมารยาท
กิลเยโมตื่นจากความคิดคำนึงมองดูอัศวินผู้นั้นและกล่าว “ไปกันเถอะมากับข้า ไปดูชายแดนเมืองเชอรี่ ไปดูคาร์ดินัลเงาแห่งลัทธิเงา และดูกันว่าคาร์ดินัลเงาเวส พอร์ตเตอร์มีความก้าวหน้าอะไรบ้างในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมานี้”
……
ในวังหลวงนครบาลุค
วอร์ตันลินลี่ย์ บาร์เกอร์และคนอื่นๆ ยืนเข้าแถวอยู่ในหอประชุมใหญ่มีแผนที่ทหารแผ่นใหญ่อยู่กลางหอประชุม และบุรุษวัยกลางคนที่ตอนนี้กำลังชี้ไปที่ด้านบนของแผนที่ “ใต้เท้าทั้งหลาย,เหมืองอัญมณีเวทอยู่ตรงนี้ ถ้าเพียงแต่ศาสนจักรเจิดจรัสจะโจมตีเรา... เราก็ควรจะสู้กันที่เมืองเชอรี่”
ลินลี่ย์และคนอื่นพยักหน้ากันทุกคน
“อย่างไรก็ตาม...” บุรุษวัยกลางคนส่ายศีรษะ “เว้นแต่ผู้บัญชาการของศาสนจักรเจิดจรัสจะโง่พวกเขาจะไม่เลือกโจมตีที่นี่”
“เหรอ?” บาร์เกอร์เลิกคิ้ว
บุรุษวัยกลางคนพูดต่อ “เหมืองอัญมณีเวทอยู่ห่างจากเมืองหลวงเกินสามร้อยกิโลเมตร ขณะที่เมืองเชอรี่อยู่ห่างจากเมืองหลวงสี่หรือห้าร้อยกิโลเมตรนี่เป็นแนวเส้นตรง! ถ้าพวกเขาต้องสู้เดินทางจากหัวเมืองเชอรี่ไปยังเหมืองอัญมณีเวทก็จะต้องเดินทางเกือบพันกิโลเมตร ถ้าพวกเขาไปตามถนน บนถนนมุ่งสู่เหมืองจะมีเมืองใหญ่เมืองน้อยเกินกว่าสิบเมือง ศาสนจักรเจิดจรัสจะต้องรบกับเราเป็นระยะทางพันกิโลเมตรลึกเข้ามาในดินแดนของเราน่ะหรือ? กองกำลังเกือบครึ่งหนึ่งของพวกเขาจะต้องคงเอาไว้เพื่อรักษาชายแดนกับจักรวรรดิโอเบรียนและจักรวรรดิโรฮอลท์ มีเพียงครึ่งเดียวที่สามารถส่งมาโจมตีเราได้”
“ดังนั้น ความเข้มแข็งทางทหารของเราจึงอยู่ในระดับที่เสมอกัน”
บุรุษวัยกลางคนชี้ไปที่เมืองเชอรี่ “เมื่อมีระดับพลังที่เท่ากัน ถ้าเราป้องกันภายในกำแพงของเราขณะที่พวกเขาโจมตี...และพวกเขาถูกบังคับให้สู้ในดินแดนของเราเป็นระยะทางพันกิโลเมตร.. พวกเขามีแต่จะหาที่ตาย”
“ดังนั้น,ถ้าศาสนจักรเจิดจรัสต้องการจะโจมตีเรา พวกเขามีเพียงทางเลือกเดียว คือร่วมทัพกับพวกลัทธิเงา พวกเขาไม่มีตัวเลือกอื่น!” บุรุษวัยกลางคนสูดหายใจลึก ไม้สำหรับชี้ในมือเขาฟันลงด้านข้าง “พวกลัทธิเงาใช้เขตแดนเกินกว่าพันกิโลเมตรร่วมกับเรา สถานที่ใกล้เหมืองแร่อัญมณีเวทมากที่สุด ต้องเป็นที่นี่อย่างมิต้องสงสัย
“เมืองค็อด!” บุรุษวัยกลางคนชี้ไปที่จุดหนึ่ง
“เหมืองอัญมณีเวทตั้งอยู่ด้านนอกเมืองไนฟ์ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆในความควบคุมของหัวเมืองค็อด จากเมืองค็อดไปเหมืองเป็นระยะทางร้อยกิโลเมตร” บุรุษวัยกลางคนมีสีหน้าเคร่งเครียด “ถ้าพวกเขาบุกผ่านแนวป้องกันของเราที่นี่ก็จะบุกเข้าใส่เหมืองอัญมณีเวทได้อย่างราบรื่น!”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
ผู้บัญชาการท่านนี้อธิบายหลายอย่างได้ชัดเจน
“ว็อทซ์” วอร์ตันพูดทันที “ถ้าข้ามอบอำนาจเต็มในการรบให้เจ้าเจ้ามั่นใจไหมว่าด้วยความสามารถของเจ้า จะเอาชนะศึกครั้งนี้ได้?”
บาร์เกอร์กล่าวขึ้นบ้าง“นอกจากนี้ ข้ายังสามารถเสริมปืนใหญ่พลังมณีเวทให้เจ้าได้ถึงสามสิบกระบอก ข้าจะรับผิดชอบปัญหาการส่งมอบอัญมณีเวทให้เจ้าเอง” บาร์เกอร์มีสถานะสูงส่งในอาณาจักรบาลุคอยู่แล้ว เขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของอาณาจักรและพลังส่วนตัวของเขาก็ยังสูงล้ำน่ากลัวมาก
ไม่นานหลังจากลินลี่ย์บรรลุชั้นเซียนในร่างมนุษย์ บาร์เกอร์ก็ทำได้เช่นกัน เมื่อเขาแปลงร่าง...เขาจะกลายเป็นเซียนนักรบอมตะชั้นสูง ผู้เชี่ยวชาญพลังระดับ ‘กำหนด’ ไม่เป็นรองโอเซนโนแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะได้ปืนใหญ่พลังมณีเวทถึงสามสิบกระบอก ว็อทซ์นัยน์ตาเป็นประกาย
ว็อทซ์เอามือแตะอกพูดรับรองหนักแน่น “ฝ่าบาท,ตราบใดที่พระองค์ให้ข้าพระบาทมีอำนาจสั่งการทหารของเราห้าพันคน ข้ามั่นใจเต็มที่ว่าด้วยความสามารถของข้าพระบาทเราจะสามารถรักษาเมืองค็อดและขับไล่ศัตรูออกไปได้พะยะค่ะ”
“ดีมาก” วอร์ตันมีรอยยิ้มบนใบหน้า
อาณาจักรบาลุคความจริงมีนักรบเกินล้านคน ยังไม่นับทหารรักษาเมืองธรรมดา
“ฝ่าบาท” ว็อทซ์พูดอย่างจริงจัง “ข้าพระบาทกังวล..ว่าศัตรูจะมาพร้อมด้วยกองกำลังที่น่ากลัวและทรงพลังมากกว่าที่เราคาดไว้ ถ้ามีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น และกองกำลังยากต้านทานมาจริงๆการยืนปกป้องพื้นที่ของเราจะตกอยู่ในอันตราย”
“กองกำลังที่น่ากลัว?” วอร์ตันงงงวย
“ถูกแล้ว, ตัวอย่างเช่นถ้ามีเซียนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น หรือว่ากลุ่มพวกระดับตำนานอย่างกลุ่มจอมเวทที่ทรงพลังของศาสนจักรเจิดจรัสถูกส่งมาที่นี่ เราจะตกอยู่ในอันตรายยิ่งใหญ่ได้” ว็อทซ์พูดอย่างจริงจัง
ทั้งศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาต่างก็ใช้เวลาและความเพียรพยายามมากมายเพื่อสร้างกลุ่มจอมเวทของพวกเขา กลุ่มจอมเวทของทั้งสองฝ่ายนี้ทรงพลังมาก และสมาชิกที่อ่อนแอที่สุดของกลุ่มพวกเขาจะอยู่ในระดับเจ็ด ขณะที่คนที่เข้มแข็งที่สุดจะเป็นจอมเวทระดับเก้า
กลุ่มจอมเวทที่มีพลังเกินกว่าพันคนมีจอมเวทระดับเก้าหลายคนคอยสั่งการพวกเขาก็สามารถสร้างเวทที่มีพลังน่ากลัวออกมาได้
พลังของกลุ่มคนเช่นนั้นไม่ด้อยไปกว่าเวทต้องห้ามของเซียนจอมเวทเลย
นี่ยังเป็นเหตุผลที่ปกติจักรวรรดิทั้งหลายไม่อนุญาตให้เซียนเข้ามาเกี่ยวข้องในการสู้รบ กลุ่มจอมเวทกลายเป็นกองกำลังที่ทรงพลังน่ากลัว
“เซียนฝ่ายศัตรูจะไม่ปรากฏ”
ลินลี่ย์พูดบ้าง
ว็อทซ์มองลินลี่ย์ทันที เมื่อเห็นว่าเป็นลินลี่ย์ที่พูดเอง เขาแสดงความเคารพทันที ลินลี่ย์หัวเราะอย่างใจเย็น “ไม่ต้องกังวลไม่ว่าจะเป็นศาสนจักรเจิดจรัสหรือลัทธิเงาก็ตามจะไม่ส่งเซียนเข้าร่วมรบเป็นอย่างน้อย สำหรับกลุ่มจอมเวทที่น่ากลัวซึ่งเจ้าพูดออกมานั้น...”
“ถ้าพวกเขาต้องการสร้างเวทต้องห้ามออกมาโจมตี...ไม่ต้องห่วงเลย พวกเขาไม่สามารถทำได้” ลินลี่ย์พูดอย่างใจเย็น
แม้ว่าพวกเขาจะได้ทำข้อตกลงกันไว้ก่อนนี้แล้วว่าพวกเซียนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามายุ่งกับการสู้รบ ลินลี่ย์รู้แน่ว่าคาถาต้องห้ามนั้น ทรงพลังมากมายเพียงไหน แค่เพียงเวทบทเดียวอาจทำลายเมืองค็อดได้ทั้งเมืองและจำนวนคนที่ตายจะมากมายอย่างน่ากลัว ลินลี่ย์จะไม่ถือรั้นและดื้อดึงเกินไปยอมปล่อยให้ประชาชนผู้มีค่าของทั้งเมืองเกินกว่าล้านชีวิตต้องตายไปเพราะข้อตกลงแน่
ชีวิตของคนเป็นล้านมีค่าน้อยกว่าสนธิสัญญาฉบับหนึ่งหรือ?
นอกจากนี้
สนธิสัญญาระหว่างประเทศเหล่านี้เพียงผูกพันและส่งผลเมื่อประเทศมีระดับความแข็งแกร่งเท่ากัน ถ้าฝ่ายหนึ่งมีพลังพอครอบงำอีกฝ่าย ต่อให้พวกเขาฉีกข้อตกลงและโจมตีทันทีแล้วไงเล่า? นี่เป็นสิ่งที่พบเห็นได้โดยทั่วไปในทวีปยูลานอยู่แล้ว
แต่แน่นอนว่าลินลี่ย์จะทำเช่นนั้นต่อเมื่อกลุ่มจอมเวทฝ่ายศัตรูร่วมกันร่ายเวทซึ่งมีผลเท่ากับเวทต้องห้าม
….
ในฐานะผู้บัญชาการรบ ข้อมูลได้เข้ามาที่ว็อทซ์อย่างต่อเนื่องและเขาจะออกคำสั่งตามหลังผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
ข่าวว่ากองกำลังของศาสนจักรเจิดจรัสมาถึงชานเมืองเชอรี่แพร่กระจายมาถึงเขาอย่างรวดเร็ว
เป็นไปได้ไหมว่า..ศาสนจักรเจิดจรัสกำลังจะโจมตีเมืองเชอรี่?
“เมืองเชอรี่มีทหารประจำการอยู่ที่นั่นแล้ว ส่งทหารอีกกองทัพหนึ่งไปที่นั่น สองกองพลจะมีทหารรวมสองแสนคน ยืนเฝ้าประจำการในพื้นที่ในเมืองของตน และทำลายต้นไม้รอบเมืองเชอรี่ให้หมด อย่าให้ศัตรูใช้อำพรางและซุ่มทำร้ายเรา”
“เมืองเชอรี่ไม่ใช่สถานที่ซึ่งศัตรูจะลงมือโจมตีจริงๆ พวกเขาแค่พยายามตรึงกำลังของเรา ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือยืนประจำในพื้นที่ของเรา”
ลัทธิเงาลงมือตามที่ว็อทซ์คาดการณ์ไว้แน่นอน ความจริงพวกเขาเข้าร่วมสู้แทบจะทันที
“สะพานข้างหน้าของเมืองเอกค็อดจะต้องถูกทำลาย นอกจากนี้ถนนรอบเมืองเมืองเอกค็อดต้องถูกทำลายเช่นกัน อย่าให้เส้นทางใดๆกับกองกำลังข้าศึกเข้ามาถึงพวกเราได้ง่าย ต้องบีบบังคับให้พวกเขาโจมตีเมืองค็อดโดยตรง” คำสั่งนี้ทำให้เกิดความยุ่งยากกับศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาเล็กน้อย
“ภายในเมืองค็อดเองพลเรือนทั้งหมดต้องโยกย้าย เมืองเอกค็อดต้องกลายเป็นป้อมปราการทหาร และต้องปรับเปลี่ยนเพื่อการทำสงคราม”
คำสั่งครั้งแล้วครั้งเล่าออกมาจากกองบัญชาการทหารและพวกเขาต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังโดยผู้บังคับการในแต่ละตำแหน่งคำสั่งตกมาถึงเหมืองแร่อัญมณีเวทด้วยเช่นกัน “ให้เพิ่มระดับการผลิต เร่งกำลังทำเหมืองเต็มกำลังไม่ต้องพยายามทำอย่างอื่นตบตา”
ในช่วงสิบสองปีมหาอำนาจใหญ่ในแดนอนารยชนทั้งสามมีแต่เพียงการสู้รบขนาดเล็ก พวกเขาไม่ไม่เคยเกี่ยวข้องในการสู้รบอย่างที่ทำกันในวันนี้ แม้แต่ก่อนสงครามจะเริ่ม การเรียกระดมทัพก็มีจำนวนมหาศาลน่ากลัวแล้ว เห็นได้ชัดว่า...
สงครามครั้งนี้ไม่ใช่เล่นๆเสียแล้ว แต่เป็นสงครามจริงๆ
ในท้องฟ้ากว้างไกลลินลี่ย์ในชุดสีฟ้าบินเหนืออากาศด้วยความเร็วสูงไปมุ่งไปที่เขตลัทธิเงา ลินลี่ย์รู้จักสถานที่ซึ่งโอคาซี่ย์อยู่ ศูนย์บัญชาการใหญ่ลัทธิเงาในดินแดนอนารยชนดูเหมือนว่าจะเป็นวิหารเงา
สายตาของลินลี่ย์เย็นชา
“โอคาซี่ย์ยอมร่วมมือให้ความสนับสนุนศาสนจักรเจิดจรัสจริงฮึ!”
ลินลี่ย์ไม่เข้าใจเรื่องนี้ แต่ลัทธิเงาไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าพวกเขาช่วยลินลี่ย์ อย่างนั้นอำนาจของศาสนจักรเจิดจรัสที่ดินแดนอนารยชนจะถูกทำลายถึงแก่น พวกเขากลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นลินลี่ย์จะหันกลับมาเล่นพวกเขาทันที
ต้องเข้าใจไว้...
ฝ่ายลินลี่ย์ตอนนี้นับเอาลินลี่ย์ บีบีและพี่น้องบาร์เกอร์ และบาร์เกอร์ก็เข้าถึงระดับเซียนในร่างมนุษย์ได้แล้ว กลุ่มเซียนนี้ทรงพลังมากเกินไป ลัทธิเงาจะไม่สามารถสู้กับพวกเขาได้
ถ้าลินลี่ย์กลับลำไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญา ทางลัทธิเงาจะทำอะไรได้?
พวกเขารู้ว่าเดลี่ค่อนข้างลำเอียงไปทางลินลี่ย์
เซียนฝ่ายลินลี่ย์ก็แข็งแกร่งทรงพลังมาก ถ้าทั้งศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาแสดงท่าทีให้ลินลี่ย์ระแวง เมื่อหนึ่งในสองฝ่ายถูกทำลาย อย่างนั้นมีแนวโน้มว่าทั้งสองอาจจะถูกลินลี่ย์จัดการก็เป็นได้
“ยอดฝีมือระดับเซียนไม่สามารถเข้าร่วมสู้ศึกหรือฆ่าคนธรรมดาได้ แต่ข้าสามารถฆ่าเซียนด้วยตัวเองได้” ลินลี่ย์จ้องมองวิหารเงาแต่ไกล “ข้าจะใช้ความตายคุกคามโอคาซี่ย์ บางทีนั่นอาจช่วยให้เขาตื่นขึ้น”
ลินลี่ย์ใช้พลังจิตตรวจสอบทั่วทั้งวิหารเงา
“หืม.. ไม่มีใครอยู่ที่นั่น?”
ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว พลังงานรอบตัวเขาเริ่มสั่นสะเทือนและเหมือนประกายไฟ ลินลี่ย์กระแทกหน้าต่างแตกเป็นผุยผง จากนั้นเข้าไปในห้อง
“โอคาซี่ย์อยู่ไหน?” ลินลี่ย์มองดูชายชราผมทองข้างหน้าเขาอย่างใจเย็น
ชายชราผมทองเป็นหนึ่งในสมาชิกที่ทรงพลังที่สุดของวิหารเงาเป็นเซียนคนหนึ่ง แต่เขาเป็นเพียงเซียนระดับกลาง ยังอ่อนแอกว่าโอคาซี่ย์มากมายนัก
“ลินลี่ย์?” ชายชรายิ้ม “ใต้เท้าโอคาซี่ย์สั่งข้าให้รอท่านอยู่ที่นี่ ใต้เท้าลินลี่ย์ ข้าขอแนะนำตัว ข้าคือเทวทูตสี่ปีกแห่งลัทธิเงา”
ลินลี่ย์มองดูชายชราอย่างใจเย็น
ทัศนคติของชายชรานอบน้อมถ่อมตัวมาก “ใต้เท้าโอคาซี่ย์สั่งข้าให้แจ้งท่านว่าศึกครั้งนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับตัวใต้เท้าโอคาซี่ย์เองได้กลับฐานทัพใหญ่ของลัทธิเงาไปแล้ว ข้าเป็นเซียนของลัทธิเงาเพียงคนเดียวที่ยังรั้งอยู่ที่นี่”
ลินลี่ย์หงุดหงิด
โอคาซี่ย์หนีกลับบ้านไปจริงๆหรือ
“ท่านไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าท่านหรือ?” ลินลี่ย์จ้องมองชายชรา เทวทูตสี่ปีก