ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0122
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0124

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0123


บทที่ 38 เอลเดอร์ลิช พ่อพระของคนตาย (5)

* * *

มนุษย์พาทุกคนเดินกลับหอคอย นักบุญหญิงก็ตามมาด้วย

ถึงจะมีม้า แต่เขาก็ไม่ได้ขี่

คังซอนฮูเดินมาพร้อมกับทุกคน ระหว่างทางครุ่นคิดบางสิ่งสลับกับพูดคุยกับคนอื่นอย่างสนุกสนาน

“เหตุผลที่ดินและหินแถวนี้เป็นสีดำล้วน จะเกี่ยวกับพลังธรรมชาติไหมนะ? ฉันเคยไปที่ที่รากภูเขาถูกปิดกั้น หินและดินมีลักษณะคล้ายแบบนี้มาก”

“นั่นก็อาจมีส่วน แต่ข้าคิดว่าเกิดจากหลายสาเหตุประกอบกัน เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่ได้รับแสงแดดเป็นเวลานาน ก็เลย…”

เป็นคำตอบจากเทลาเทอรี ทั้งสองคุยกันอย่างกระตือรือร้น

นักบุญหญิงมองภาพดังกล่าวพลางครุ่นคิด ดูเหมือนว่ามนุษย์คนนี้จะมีบางแง่มุมคล้ายกับปราชญ์ธรรมชาติ

ขณะเดียวกันก็เหมือนตุ่นไร้เดียงสาที่มักโผล่หัวขึ้นจากดิน

“มองไปรอบๆ สิ ฉันบอกเธอแล้ว ที่นี่ไม่เหมาะกับชื่อดินแดนแห่งความตาย”

“…ถ้าตอนนี้ก็ใช่ แต่เมื่อก่อนมันคือดินแดนของปีศาจแห่งความตาย”

“ไม่เห็นมีอะไรตายเลย ไหนความตาย? ก็แค่มีสีดำเอง ไม่ได้แปลว่าตายสักหน่อย”

ภาพที่ชายหนุ่มทำมือไม้ทำราวกับตุ่นเพิ่งขุดขึ้นจากดิน ทำเอาแวมไพร์ถึงกับกลั้นขำ

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะตั้งชื่อมันว่าอะไร”

“หืม… ก็คง… ดินแดนสีดำ?”

“ข้าคิดมาสักพักแล้วว่า เซนส์การตั้งชื่อของเจ้าห่วยแตกชะมัด”

“ฉันไม่คิดจะหาเลี้ยงชีพด้วยการตั้งชื่อสักหน่อย”

“เจ้าไม่คิดจะหาเลี้ยงชีพเลยต่างหาก”

“ลูกขุนนางแวมไพร์ก็ไม่ต่างกันหรอกนะ”

“ฮึ!”

นักบุญหญิงมองไปยังผู้คนรอบตัว

บรรพชนนัคชารอนเดินตามหลังมาด้วยย่างก้าวอ่อนโยน

เทลาเทอรีเดินตามบรรพชนด้วยสายตายินดีเจือสงสัย

“เอ่อ… ท่านบรรพชน”

ฮาวาหันหลังกลับ ดวงตาปราศจากอารมณ์

หากไม่นับผิวพรรณสีอมม่วง รูปลักษณ์ของเธอดูเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ

ต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์นัคชารอนทั้งหมด ซึ่งแทบไม่เคยถูกพรรณนารูปลักษณ์ไว้ในหนังสือเล่มใด กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

เทลาเทอรีตื่นเต้นจนพูดไม่ออก

ฮาวายิ้มให้

“คิดได้หรือยังว่าจะพูดอะไร”

“ห…หือ? ข…ขอโทษ! มีหลายสิ่งเกิดขึ้นจนข้าไม่มีเวลาจัดระเบียบความคิด…”

“พวกเรายังมีเวลาสนทนากันอีกมาก”

ฮาวายิ้มขณะจ้องหน้าเทลาเทอรี เมื่อเห็นอีกฝ่ายทวีความกังวล เธอตัดสินใจพูดต่อ

“ข้าดีใจที่เจ้ายังไม่สูญเสียความกระตือรือร้นในยุคสมัยเช่นนี้ ลูกสาว”

ฮาวาหันกลับไปมองทางเดินอีกครั้ง เทลาเทอรีมองแผ่นหลังพลางอมยิ้ม

เธอได้แต่ถามกับตัวเองว่า บรรดารุ่นน้องคนอื่นจะมองบรรพชนแบบเดียวกับที่เธอมองหรือไม่

นักบุญหญิงกวาดสายตามองทุกคน

คนกลุ่มนี้เพิ่งเผชิญหน้ากับปีศาจแห่งความตายมาจริงหรือ?

นี่คือบทสนทนาของกลุ่มคนที่เพิ่งได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์นามว่าเอลเดอร์ลิช?

ทุกคนพูดคุยอย่างเป็นกันเอง เหมือนกับนักเดินทางหน้าใหม่ที่เพิ่งรวมกลุ่มกัน

“น่าทึ่งจริงๆ”

รีเบคก้าข้างๆ นักบุญหญิงพูดขึ้น

นักบุญหญิงเงยหน้าและหันไปมองอีกฝ่าย

ผิวพรรณขาวซีดของแวมไพร์สาว ถูกปกคลุมด้วยคราบขี้เถ้าจนกลายเป็นสีเทา

“จำครั้งก่อนได้ไหม? เขาจัดการปรสิตตัวใหญ่ขนาดนั้นได้ด้วยร่างกายมนุษย์”

นักบุญหญิงพยักหน้ารับ รีเบคก้าหันมาประสานสายตา

“จำได้สิ”

“น่ายินดีเหลือเกินที่ได้ฟังเสียงของท่านอีกครั้ง”

รีเบคก้าพูดพลางยิ้ม

นักบุญหญิงนำกลีบดอกไม้แห้งออกจากเสื้อและเพ่งมอง

รีเบคก้านำกลีบดอกไม้แบบเดียวกันออกมา

ถึงตอนนี้จะแห้งแล้ว แต่รูปลักษณ์ยังคงงดงามไม่แปรเปลี่ยน เป็นกลีบดอกไม้แทนคำขอบคุณของป่าเห็ดใต้ดิน ที่พวกเธอได้รับหลังจากโค่นปรสิตยักษ์ลงได้

รีเบคก้าและนักบุญหญิงยังไม่ลืมช่วงเวลาดังกล่าว

“ในตอนนั้น เขาไม่สนใจสิ่งที่ตัวเองได้รับ ถึงกับยอมทำลายสมบัติมีค่าเพื่อช่วยให้ป่ารอด และยังเสี่ยงอันตรายนอนกลางแจ้งเพื่อให้ป่ามีเวลาฟื้นฟูตัวเอง”

นักบุญหญิงเองก็ไม่ลืม

ลำพังการปราบสัตว์ประหลาดขนาดมหึมา ก็นับว่าน่ายกย่องมากแล้ว หากเขาโอ้อวดสักนิด ก็คงกลายเป็นวีรบุรุษที่ถูกนับหน้าถือตาไปตลอดชีวิต

แต่มนุษย์คนนี้ไม่ได้ทำ

“ตอนนี้ก็เหมือนกัน ความสำเร็จในฐานะผู้ปราบปีศาจและบิดเบือนคำพยากรณ์ เกรงว่าแม้แต่สมญานามวีรบุรุษก็คงไม่เพียงพอ… แต่เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ราวกับเป้าหมายในชีวิตมีเพียงการได้เห็นและสัมผัสธรรมชาติ สิ่งอื่นไม่เคยอยู่ในสายตา”

นักบุญหญิงมองแผ่นหลังมนุษย์ตรงหน้า อีกฝ่ายย่างเท้าด้วยฝีก้าวเชื่องช้า

แม้จะมีม้า แต่ก็ไม่ขี่ เลือกจะจูงบังเหียนเดินแทน

ราวกับเป็นห่วงคนที่กำลังอ่อนเพลีย

“ทุกคนหลงใหลเขาที่เป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่มีใครพูดออกมา… เขาไม่ได้ถือตัวเยี่ยงวีรบุรุษ เพียงมองว่าทุกคนคือเพื่อนร่วมทาง”

รีเบคก้าจ้องหลังมนุษย์เป็นเวลานาน จากนั้นก็หันมาทางนักบุญหญิง

“ท่านนักบุญ ท่านคือผู้สืบทอดโฉมนักพยากรณ์ หมายความว่าท่านเองก็มีสิทธิ์ชิงบัลลังก์”

นักบุญหญิงพยักหน้า

“แต่ท่านนักบุญคงไม่ต้องการ…”

รีเบคก้าเว้นวรรคเล็กน้อย นักบุญหญิงเข้าใจความนัยของเธอ

“เขาเหมาะกับตำแหน่งนั้นมากกว่าใคร”

นักบุญหญิงพยักหน้ารับ

หลังจากกลับมาถึงหอคอย บรรดารุ่นน้องที่ได้ฟังเรื่องราว ต่างต้อนรับเอลเดอร์ลิช พวกพ้อง และรุ่นพี่ใฝ่เรียนด้วยความเคารพ มื้ออาหารหรูหราถูกจัดเตรียมโดยชาวหอคอย

อันที่จริง พวกเขาคิดจะแจ้งให้จักรวรรดิทราบเพื่อจัดงานเลี้ยงให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม แต่คังซอนฮูปฏิเสธ

อาหารบนโต๊ะไม่ได้หรูหราเลิศเลอ แต่วีรบุรุษและพวกพ้องต่างก็พึงพอใจ

“จำไม่ได้แล้วว่ากินอาหารครั้งสุดท้ายเมื่อไร”

ฮาวาพูด

อดามายิ้มให้ฮาวาที่กำลังยกช้อน

“ท…ท่านบรรพชน”

ชาวี รุ่นน้องของเทลาเทอรี มองไปยังบรรพชนรุ่นเก่าแก่ด้วยสายตาสุดทึ่ง

“อ…อาหารถูกปากไหม?”

ฮาวามองชาวี ผมยาวสีขาวของเธอสะบัดแผ่วเบา

ชาวีเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความกระวนกระวาย รู้ตัวอีกที นัคชารอนทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างใช้ดวงตาสีฟ้ามองมาทางฮาวา

ฮาวายิ้ม

“จะมีแม่คนไหนไม่ชอบอาหารที่ลูกๆ เตรียมไว้ให้บ้างล่ะ”

“…”

ชาวีไม่ใช่คนเดียวที่ประทับใจกับคำตอบ

คังซอนฮูหัวเราะคิกคักเมื่อได้เห็นท่าทีของชาวนัคชารอน ลิลี่รีบใช้ศอกแยงเป็นนัยว่านั่นไม่สุภาพ

นักบุญหญิงก้มมองอาหารในจาน

เธอเพิ่งอาบน้ำและซักชุดคลุมจนแห้ง

เส้นผมยาวสลวยสีแดงตกลงไปบนจาน จนรีเบคก้าต้องช่วยปัดออก

คังซอนฮูถาม

“นักบุญหญิง”

นักบุญหญิงจ้องหน้าคังซอนฮู

“ลูกหลานดวงดาวกินอาหารได้ไหม”

“อื้…อุ๊บ!”

นักบุญหญิงที่เตรียมตอบคำถาม รีบยกมือขึ้นมาปิดปาก

จากนั้นก็นึกขึ้นได้ ในปากเธอไม่ได้คาบมีด ดูเหมือนว่าจะยังไม่ชิน

หญิงสาวค่อยๆ ลดมือลงอย่างเคอะเขิน

“กินเถอะ ไม่ใช่เพื่ออยู่รอด แต่เพื่อความสุข”

แต่ไหนแต่ไร ความรู้สึกที่นักบวชต้องเลี่ยงให้ไกลที่สุด คือความเพลิดเพลิน

คังซอนฮูพยักหน้าพลางยกช้อน

นักบุญหญิงก้มมองจานของตัวเองเงียบงัน

จากนั้นก็ยกช้อนขึ้น

ความรู้สึกที่ห่างหายไปนานจนลืมไปแล้ว ถาโถมซอกลิ้นและช่องปาก

“เป็นยังไงบ้าง”

“…ไม่รู้สิ”

รีเบคก้ารู้ว่านักบุญหญิงเป็นพวกอ่อนไหวง่าย และอีกฝ่ายมักกลบเกลื่อนไม่ให้เธอเห็น

“ร้องไห้อีกแล้วหรือ วันนี้ร้องไปกี่รอบแล้ว?”

“เงียบน่า…”

เป็นอีกครั้งที่ลิลี่ใช้ศอกแยงคังซอนฮู ผู้เอาแต่หัวเราะคิกคัก

พระอาทิตย์ตกดินแล้ว อุนเดราฉายแสงลงบนทุกซอกมุมโลก

เหล่าดารากรทยอยปรากฏตัวบนท้องฟ้า กลายเป็นผืนนภายามราตรีครั้งแรก บนชายแดนใต้ที่เคยมีเพียงความตายปกคลุม

ที่นี่ไม่เหมาะแก่การศึกษาศาสตร์แห่งความตายอีกต่อไป

ดินแดนแห่งความตายยังมีอยู่ทั่วทุกมุมทวีป หากต้องการ นัคชารอนสามารถอพยพไปอยู่ที่นั่นได้

แต่ท้ายที่สุด ไม่มีใครอยากไปไหน

พวกเขาต้องการรวบรวมพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมทวีปไว้ในจุดเดียว เพื่อป่าวประกาศสง่าราศีของเอลเดอร์ลิช ผู้หวนกลับมาพร้อมกับต้นตระกูลทั้งสอง

“พวกเรายังมีเวลาอีกมาก”

ฮาวาพูดขึ้น

อดามาที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลังพยักหน้าเป็นนัยเห็นด้วย

เทลาเทอรีเข้าใจความหมาย

ยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้พูดคุย และพวกเรามีเวลาเหลือเฟือ

“เราจะไม่ทิ้งพวกเจ้าไปอีกแล้ว”

เทลาเทอรีซาบซึ้งในความห่วงใยของบรรพชน ไฟแห่งการเรียนรู้กลับมาลุกโชนร้อนแรง

ค่ำคืนสั้นๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พระอาทิตย์ลอยสูงอีกครั้ง

ถึงเวลาแห่งการจากลา

“เจ้าจะไปจริงๆ หรือ…”

เทลาเทอรีจ้องคังซอนฮูด้วยสายตาเปล่งประกาย

ชายหนุ่มค่อนข้างอึดอัดกับสีหน้าทำนองว่า ‘ได้โปรดอย่าไปเลยนะ’

แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้เขาเปลี่ยนความคิด

“ฉันต้องกลับบ้าน”

พูดจบ คังซอนฮูมองไปทางเหนือ

ถัดไปไม่ไกล รีเบคก้ากับนักบุญหญิงกำลังเก็บสัมภาระ

มองดูพวกเธอสักพัก คังซอนฮูเดินเข้าไปใกล้และถาม

“จะกลับเหมือนกันหรือ”

นักบุญหญิงพยักหน้า ดูเหมือนจะยังไม่ชินกับการเปล่งเสียง

จ้องหน้านักบุญหญิงสักพัก คังซอนฮูยื่นมีดสั้นและหัวใจปีศาจให้อีกฝ่าย

“เอ้า”

“…มันเป็นของเจ้า”

“มีดสั้นไม่มีประโยชน์กับฉัน แต่จะมีความหมายกับเธอ”

นักบุญหญิงจ้องมีดสั้น

“ฉันได้ฟังจากรีเบคก้าแล้ว ที่เธอต้องคาบมีดเพราะคนของศาสนจักรบังคับให้พยากรณ์ แถมยังสร้างสถานการณ์ที่ถ้าไม่เปิดปากก็จะออกมาไม่ได้ด้วยใช่ไหม”

“…ใช่”

“ถ้าอย่างนั้น เธอยังจำเป็นต้องใช้มัน… ไม่ว่าจะเพื่อระลึกถึงความสำเร็จของตัวเอง หรือเพื่อเล่นละครต่อไป”

ไม่มีใครล่วงรู้ความจริงที่ว่า โคล์บ’ รานเดอจูถูกชำระล้างแล้ว

หากยังคาบมีด ก็คงเลี่ยงจากสถานการณ์ที่ถูกบังคับให้พยากรณ์ไปได้สักพัก

“และหัวใจปีศาจคือเครื่องยืนยันความสำเร็จของเธอที่นี่ มันจะช่วยให้เธอไม่ตกที่นั่งลำบากแม้จะพยากรณ์ไม่ได้… เหนืออื่นใด สิ่งที่ฉันต้องการจากหัวใจดวงนี้มีแค่รูนที่สลักอยู่”

นั่นคือความตั้งใจของคังซอนฮู

“แต่ทางเลือกเป็นของเธอ”

นักบุญหญิงรับหัวใจไปก่อน หลังจากยื่นให้รีเบคก้าอย่างระมัดระวัง เธอบรรจงหยิบมีด

และเหมือนกับครั้งแรกที่เธอเตรียมจะคาบมัน หญิงสาวเลื่อนมีดขึ้นมาใกล้กับใบหน้า ดวงตาจักรวาลสะท้อนบนส่วนมันวาวของมีด

ที่นักบุญหญิงเตรียมใจตาย เพราะชะตากรรมของตนถูกเขียนไว้บนคำพยากรณ์

ดังนั้นเธอจึงไม่ถือสาเวลาที่ใครบางคนในวิหาร ปฏิบัติต่อเธอเยี่ยงคนตาย

มีหลายครั้งที่วีว่าซิสซิโม่เริ่มไม่แน่ใจว่า ตนยังมีชีวิตอยู่จริงหรือ

แต่ตอนนี้ เธอกำลังมีชีวิตชีวายิ่งกว่าที่ผ่านมา

ต้องขอบคุณมนุษย์ตรงหน้า

“…ในการเดินทางของแวมไพร์กับมนุษย์”

นักบุญหญิงเปิดปาก

“เหล่าเก้าเทวราชาจะคอยอวยพร ดารากรทั้งปวงจะคอยจับจ้อง และไม่ว่าจะเผชิญอุปสรรคแบบใด พวกเขาก็จะฝ่าฟันไปได้ด้วยปัญญาและความแข็งแกร่ง”

รีเบคก้าจ้องนักบุญหญิงด้วยใบหน้าตกตะลึง

“เมื่อพวกเขาเผชิญกำแพงที่เกินกำลัง ผู้ช่วยที่เหมาะสมจะให้หยิบยืมสง่าราศี จนกระทั่งพวกเขาได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ”

ลิลี่มองสลับระหว่างนักบุญหญิงกับคังซอนฮูด้วยสายตาไม่เข้าใจ

คังซอนฮูทำหน้าคล้ายกำลังกลั้นยิ้ม มุมปากยกโค้งเล็กน้อย

“นี่ไม่ใช่คำพยากรณ์สินะ”

“…”

นักบุญหญิงเงยหน้ามองเข้าไปในดวงตาคังซอนฮู

หงับ!

เธอคาบมีด

ทุกคนเห็นชัดเจน ใบหน้านักบุญหญิงกำลังแดงระเรื่อ คล้ายกับเขินอายเล็กน้อย

เมื่อประสานสายตากับอีกฝ่าย คังซอนฮูกลั้นยิ้มไม่อยู่

นักบุญหญิงที่ไม่ค่อยได้พูดกับใคร อวยพรชายหนุ่มตามแบบฉบับของตัวเอง

คังซอนฮูนำเข็มชี้ทองคำออกมาและสอดอัญมณีสีครามลงไป

กริ๊ก!

อัญมณีถูกดูดเข้าไปราวกับมีแม่เหล็ก เข็มชี้สีทองเริ่มหันไปยังทิศทางของสมบัติชิ้นถัดไป

คังซอนฮูกดเปิดฝาเพื่อดูเข็มบนหน้าปัด

“…หือ?”

นักบุญหญิง ลิลี่ และรีเบคก้าที่มองมาทางเข็ม ส่งเสียงอุทานพร้อมกัน

กิกิกิก กิกิกิก—!

เข็มชี้ส่งเสียงประหลาดและไม่หมุนตามปกติ

คังซอนฮูเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน

ขณะอยู่ในทะเลทราย หากวางเข็มชี้ในแนวราบ ปลายเข็มจะมิอาจเล็งไปทางดาบของอัศวินแห่งท้องฟ้าได้อย่างถูกต้อง

นึกทบทวนความทรงจำเก่าสักพัก คังซอนฮูถือเข็มชี้ตั้งฉากกับพื้น

ทันนั้น เข็มชี้กระดิกขึ้นด้านบน

แต่ว่า

“…ยังสั่นอยู่?”

คังซอนฮูใช้มือตบเข็มชี้แผ่วเบา

ปลายเข็มไม่อยู่นิ่ง เอาแต่ส่ายซ้ายขวาแผ่วเบา

ถึงจะเล็กน้อยจนไม่ควรนำมาใส่ใจ แต่คังซอนฮูทราบดีว่านี่ไม่ปกติ

อาจตีความได้ว่า สมบัติทองคำกำลังเปลี่ยนตำแหน่งตลอดเวลา

ทันใดนั้น

วี๊ด——!

เสียงร้องลากยาวดังขึ้น

เสียงคล้ายนกหวีด — นกหวีดกระดูก

บางมุมก็อาจฟังดูคล้ายเสียง ‘ศรแตรเขาสัตว์’ ที่คังซอนฮูยิงเป็นครั้งคราว

แต่คำเปรียบเปรยดังกล่าวล้วนไร้ประโยชน์

เพราะไม่มีใครไม่รู้จักเสียงนี้

“เหยี่ยว?”

ทุกคนแหงนมองท้องฟ้าพร้อมกับคำถามที่ผุดในหัว

ไม่มีใครเคยเห็นนกสักตัวแถวนี้

แม้ดินแดนแห่งความตายจะถูกยกเลิก แต่นี่ไม่เร็วไปหน่อยหรือ?

อย่างไรก็ดี บนท้องฟ้าไม่มีนกแม้แต่ตัวเดียว อย่าว่าแต่เหยี่ยว

ทันใดนั้น

เสียงดังขึ้นอีกครั้ง

วี๊ด——!

เสียงเหยี่ยวครั้งที่สอง

คราวนี้ทุกคนตระหนักได้

เสียงดังกล่าวสั่นสะเทือนไปทั่วท้องฟ้า

เสียงร้องของเหยี่ยว กำลังก้องกังวานไปทั่วโลก

ลิลี่และนักบุญหญิงตระหนักถึงความหมายได้ทันที

“นี่มัน…”

ลิลี่พูดแทนนักบุญหญิง

“เหยี่ยวที่จะบินทุกพันปี… จากห้วงความมืดมิดอันไร้สิ้นสุด”

หนึ่งในเก้าเทวราชา ผู้แวะมาเยี่ยมเยียนหลังจากได้ยินระฆังร็อกเบลล่า

และนี่คือสัญญาณว่า มันใกล้ถึงพื้นดินแล้ว

“…เรลิกซิน่า”

“กรร—!”

คังซอนฮูขึ้นหลังม้าที่รีบวิ่งมาราวกับจะเหาะ ลิลี่ก็เช่นกัน

นักบุญหญิงกับรีเบคก้าเงยหน้ามองคนทั้งสอง อดามากับฮาวาเดินเข้ามาใกล้ และเทลาเทอรีเดินออกจากหอคอย

“จะกลับเลยหรือ?”

“ได้ยินเสียงไหมล่ะ”

แน่นอนว่าทุกคนได้ยิน

“…ฉันต้องรีบเตรียมตัวก่อนที่จะสายเกินไป ไว้เจอกันใหม่นะทุกคน”

“เราจะได้พบกันอีกไหม?”

“พวกเธออยู่ที่นี่ต่อไม่ใช่หรือ? ฉันจะแวะมาแน่ถ้ามีเวลา”

“ขอให้องค์เทวราชาอวยพรท่านพ่อ”

อดามาและฮาวาทำความเคารพในท่ากำปั้นทุบอก เช่นเดียวกันกับเทลาเทอรีและนัคชารอนคนอื่น

นักบุญหญิงทำเพียงเงยหน้ามองคังซอนฮู

คังซอนฮูหันหัวม้ากลับหลัง

ก่อนจะควบออกไป ชายหนุ่มบิดตัวกลับมาพูดกับนักบุญหญิง

“เธอชื่ออะไร”

นักบุญหญิงยังคงยืนเหม่อมองคังซอนฮู

เมื่อเห็นว่าเธอไม่คิดจะคายมีดจากปาก คังซอนฮูบิดตัวกลับและเตรียมออกเดินทาง

“เบลล่า”

เสียงดังมาจากด้านหลัง

“เบลล่า·วีว่าซิสซิโม่”

หันกลับไปมอง นักบุญหญิงยังคงคาบมีดพลางตีหน้าซื่อ

คังซอนฮูยิ้มพร้อมกับโบกมือให้เธอ

“ไว้เจอกันใหม่ เบลล่า”

เบลล่าโบกมือตอบ

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (4/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด