ตอนที่ 10-25 สิบสองปีในพริบตา
ชั้นที่เก้าวิหารเจิดจรัสเกาะศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรเจิดจรัส
ขณะมองไปที่ด้านนอกหน้าต่างแววกังวลปรากฏอยู่บนสีหน้าของไฮเดนส์ ก่อนนี้ลินลี่ย์ได้ทำข้อตกลงกับศาสนจักรเจิดจรัสทำให้ศาสนจักรเจิดจรัสได้ผ่อนคลาย ที่สำคัญเมื่อไม่มีความช่วยเหลือจากสุดยอดนักรบและอสูรเวทประเภทหนูลินลี่ย์เองไม่ใช่ภัยคุกคามอะไรมากนัก
แต่พวกเขาโล่งใจมาได้เพียงเก้าปี
เพราะปีที่เก้าศาสนจักรเจิดจรัสพบความลับที่น่ากลัว
ลินลี่ย์ในร่างมนุษย์เข้าถึงระดับเซียนแล้ว
“ไฮเดนส์” เสียงเยือกเย็นดังขึ้น โอเซนโนมีผมสีม่วงโบกสะบัดตามสายลมปรากฏตัวที่ชั้นเก้า
ไฮเดนส์ไม่ได้หันหน้ามา เขาพูดอย่างใจเย็น “โอเซนโน, มีอะไร?”
โอเซนโนพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบายใจ “ไฮเดนส์,ยอดฝีมือมากมายของศาสนจักรได้รับการฝึกฝนอยู่ในเกาะศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาสามปีเต็ม ในระหว่างสามปีนี้ท่านสั่งไม่ให้เราออกไปข้างนอกเกาะศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต ไฮเดนส์..เป็นไปได้หรือว่าเพียงเพราะลินลี่ย์ เราจึงต้องใช้ชีวิตกันแบบนี้?”
“และไฮเดนส์, ท่านต้องเข้าใจ ข้อมูลที่เราได้รับด่วนนี้มาจากตัวแทนที่ได้ยินการสนทนาที่บุตรของลินลี่ย์คุยกับบุตรของวอร์ตัน นั่นเป็นเพียงข้อมูลที่เรามีซึ่งระบุว่าลินลี่ย์บรรลุระดับเซียนในร่างมนุษย์แล้ว คำพูดของเด็กไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงเสมอไป” โอเซนโนพูดอย่างไม่สบายใจ
เพราะข่าวนี้ที่ว่าลินลี่ย์บรรลุระดับเซียนในร่างมนุษย์แล้ว ไฮเดนส์ขอให้โอเซนโนและคนอื่นๆ อย่าออกไปจากเกาะศักดิ์สิทธิ์
ไฮเดนส์ยังคงหันหลังให้โอเซนโน เขาพูดอย่างใจเย็น “โอเซนโนตอนแรกเลยซีน่าบุตรของวอร์ตันเป็นคนที่น่าเชื่อถือและละเอียดมาก คำพูดของเขาน่าจะเป็นความจริง และประการที่สอง..เมื่อลินลี่ย์ซ่อนตัวอยู่ในจักรวรรดิโอเบรียน เขาก็บรรลุระดับเก้าแล้ว ตอนนี้ผ่านไปเกินสิบแล้ว เนื่องจากระดับความเติบโตของนักรบเลือดมังกร การที่ลินลี่ย์จะบรรลุระดับเซียนในร่างมนุษย์เป็นเรื่องของเวลา
ไฮเดนส์หันมาจ้องมาโอเซนโนทันที
“เจ้าควรจะเข้าใจชัดนะว่าลินลี่ย์ทรงพลังเพียงไหน สิบสองปีที่แล้วเขาฝีมือด้อยกว่าเจ้าเพียงเล็กน้อย ตอนนี้ในร่างมนุษย์เขาเข้าถึงระดับเซียนแล้ว...พลังของเขาน่าจะมากกว่าแต่ก่อนถึงสิบเท่า ต่อให้เขาไม่ได้มีการรู้แจ้งเพิ่มเติมเลย เขาก็เอาชนะเจ้าได้ แต่เจ้าเชื่อหรือว่าสิบสองปีมานี้ลินลี่ย์จะไม่มีระดับความรู้แจ้งเพิ่มขึ้นเลย?” ไฮเดนส์ถามโอเซนโน
โอเซนโนเงียบ
เขารู้ดีว่าลินลี่ย์ฝึกได้ดีแค่ไหน
สิบสองปีมีหรือจะไม่บรรลุความก้าวหน้าอะไร? ใครจะเชื่อ?
บรรพบุรุษตระกูลบาลุคแค่ถึงระดับ‘กำหนด’ เมื่อถึงระดับเซียนในร่างมนุษย์นักรบเลือดมังกรไม่ต้องทำอะไรมาก แค่อาศัยพลังป้องกันของเซียนระดับสูงก็สามารถสู้กับอสูรเวทระดับเซียนชั้นสูงได้
แล้วลินลี่ย์ล่ะ?
ในแง่ความแข็งแกร่งของปราณยุทธเขาไม่ด้อยไปกว่าบรรพบุรุษ อย่างไรก็ตามเขามีความเข้าใจกฎธรรมชาติในระดับที่ลึกซึ้งมาก เขายังน่ากลัวยิ่งกว่าบรรพบุรุษตระกูลบาลุคของเขา
“ไฮเดนส์! เกาะศักดิ์สิทธิ์ไม่จำเป็นต้องเอาแต่ตั้งรับอย่างเดียวใช่ไหม?” โอเซนโนถาม
“โอเซนโน, ถ้าเจ้าต้องการจะออกไปนอกเกาะศักดิ์สิทธิ์.. ข้าจะไม่พยายามห้ามเจ้า” ไฮเดนส์พูดอย่างใจเย็น “แต่เมื่อออกไปจากเกาะศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็หมายความว่าเจ้าต้องเสี่ยงดวงเอาเองว่าลินลี่ย์จะไม่ตามหาเจ้าและฆ่าเสีย! แน่นอนว่าความสามารถในการรับรู้ของเจ้านั้นสุดยอด แต่ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าจะสามารถหนีพ้นมือลินลี่ย์ได้”
โอเซนโนมีวิชาร่างมายาและมีความรวดเร็ว
แต่บางทีเขาอาจมีโอกาสครึ่งต่อครึ่งที่จะหนีรอดชีวิตได้ ถ้าลินลี่ย์เผชิญหน้ากับเขา
“ฮึ่ม..ก็ได้ ข้าจะรอจนกว่าวิชาร่างมายาของข้าจะถึงระดับสูงสุดก่อนจึงค่อยท้าทายลินลี่ย์” โอเซนโนแค่นเสียงเย็นชา และจากนั้นร่างของเขากระพริบวูบหายไปจากชั้นเก้า แต่แม้ว่าคำพูดของเขายังดื้อดึงอยู่บ้าง แต่เห็นได้ชัดว่าเขายอมรับแล้ว
รอยยิ้มจนใจปรากฏอยู่บนใบหน้าของไฮเดนส์
เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะไล่ตามให้ทันคนระดับลินลี่ย์ ตอนนี้ ความเร็วในการบินของลินลี่ย์เร็วมากกว่าในอดีต เพียงใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งวันเขาก็บินข้ามทวีปยูลานได้แล้ว ความเร็วระดับนี้ ถ้าจะไล่ฆ่าใครสักคน เขามีแต่ต้องมั่นใจว่าคู่ต่อสู้ของเขาไม่มีเวลาเรียกขอความช่วยเหลือ
เดือนพฤษภาคมศักราชยูลานที่ 10022 พื้นที่นอกนครบาลุคมีดอกไม้ป่าและหญ้าพลิ้วเอนตามสายลมดูงดงามยามนี้มีรถม้าประดับอย่างงดงามและหน่วยอัศวินฝีมือดีเดินทางไปตามเส้นทางสายนี้
“ฝ่าบาท, เรามาถึงภูเขาแบล็คคราเวนแล้วพะยะค่ะ” อัศวินคนหนึ่งกล่าวรายงานที่รถคันที่สองด้วยความเคารพ
ทันใดนั้น,คู่สามีภรรยาก้าวลงออกมาจากรถ พวกเขายังอายุน้อยทั้งคู่ สามีภรรยาคู่นี้ก็คือ วอร์ตันและนีน่าวอร์ตันดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเดิม เขาเป็นกษัตริย์อาณาจักรบาลุค พลังนักรบของเขาเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน ร่างของวอร์ตันเปล่งประกายยอดฝีมือ สำหรับนีน่า นางไม่ซุกซนเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้นางเป็นสาวเต็มวัยดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเดิม
ขณะที่เด็กน้อยวัยสิบสองหรือสิบสามปีที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาดูมีท่าทางเป็นมิตรและสง่างาม เด็กคนนี้คือบุตรของวอร์ตันกับนีน่า นามว่าซีน่า บาลุค
“โห.. เรามาถึงภูเขาแบล็คคราเวนแล้ว” เสียงตื่นเต้นดังขึ้นจากรถคันหน้าพวกเขา และพร้อมกันนั้นเด็กๆพากันออกมาจากรถอย่างตื่นเต้น
“เทย์เลอร์” ซีน่าหัวเราะพลางร้องเรียก
“พี่ใหญ่” เทย์เลอร์วิ่งเข้ามหาอย่างอารมณ์ดี เทย์เลอร์ค่อนข้างรูปงาม แต่เขาจะกระตือรือร้นมากกว่าซีน่า
ขณะเดียวกันมีสุภาพสตรีผู้งดงามก้าวลงมายืนด้านหน้ารถพร้อมกับเด็กหญิงผู้น่ารักอีกคนหนึ่ง เป็นเดเลียและชาชาธิดาของนาง ชาชามองดูคล้ายกับเทย์เลอร์มาก ความจริงทั้งสองคนเป็นฝาแฝด แต่ชาชาเกิดก่อนเทย์เลอร์เล็กน้อย ดังนั้นเทย์เลอร์จำใจต้องรับตำแหน่งน้องชายไปโดยปริยาย
ซีน่าอายุสิบสอง ขณะที่ชาชาและเทย์เลอร์อายุสิบขวบ
“เราจะได้พบท่านพ่อในไม่ช้าแล้ว ข้าไม่ได้พบท่านพ่อมาตั้งครึ่งปีแล้ว” เทย์เลอร์ตื่นเต้นมากในตอนนี้ ตาของซีน่าก็มีแววตื่นเต้นด้วยเช่นกัน ในฐานะลูกหลานตระกูลบาลุค ทุกคนจะเทิดทูนบูชาบุคคลผู้นี้ผู้ค้ำยันให้กับตระกูลบาลุคทั้งปวง...ลินลี่ย์
สมาชิกนับไม่ถ้วนของอาณาจักรบาลุคล้วนเทิดทูนบูชาลินลี่ย์ ลินลี่ย์คือผู้สนับสนุนทางจิตวิญญาณของอาณาจักรบาลุคทั้งหมด ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องเช่นนี้
แม้ว่าจะผ่านไปสิบสองปีแล้ว แต่ลักษณะของเดเลียไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ความจริงตอนนี้นางมีรัศมีอย่างหนึ่งเป็นของตนเอง บุตรธิดาของเดเลียมีรอยยิ้มที่มีความสุขเต็มใบหน้า ชีวิตที่มีความสุขและสงบสิบสองปี เดเลียพอใจอย่างแท้จริง
นางมองดูนครบาลุคที่อยู่ไกลออกไป
พระนครบาลุคขยายตัวมานานแล้ว ประชากรโดยปกติมีเกินล้านคน เพราะลินลี่ย์ได้นำทรัพย์สมบัติมหาศาลที่เขาเอามาจากอาณาจักรเฟนไลออกมาใช้จึงทำให้อาณาจักรบาลุคซึ่งลำบากในช่วงสองสามปีแรกแต่เดี๋ยวนี้ทั้งอาณาจักรประสบความสำเร็จรุ่งเรืองอย่างมาก
เมื่อเงยหน้ามองไปที่ภูเขาแบล็คคราเวน หัวใจของเดเลียโบยบินไปอยู่เคียงข้างลินลี่ย์แล้ว
“วอร์ตัน, นีน่า, ขึ้นเขากันเถอะ” เดเลียหัวเราะ “เทย์เลอร์, ชาชา, ซีน่า ไปด้วยกันเถอะ”
“ขอรับ” เทเลอร์พูดเสียงดัง
ชาชาพี่สาวของเขายังเงียบสงบ กองอัศวินหยุดพักรออยู่ที่เชิงเขาแบล็คคราเวน ขณะที่วอร์ตัน นีน่า เดเลียและเด็กๆทั้งสามคนเดินขึ้นภูเขาแบล็คคราเวนพร้อมกัน ภูเขาแบล็คคราเวนงดงามและสง่างามกว่าเมื่อก่อน
เลาะไปตามสายลำธารเล็กในที่สุดพวกเขาก็เห็นทะเลสาบในระยะไกล
มีโขดหินขนาดมหึมาสามก้อนอยู่ในใจกลางทะเลสาบ ในใจกลางหินใหญ่ก้อนแรกที่ลินลี่ย์นำมาเป็นที่ตั้งบ้านศิลาธรรมชาติซึ่งสร้างไว้นานแล้ว สำหรับอีกสองก้อน ลินลี่ย์นำมาจัดเรียงไว้หลังจากงานแต่งงานของเขาเผื่อไว้ในเวลาที่มีคนมาเยี่ยมเยือนชั่วคราว
ร่างสีฟ้าจางกำลังตกปลาอยู่ในทะเลสาบ
“ท่านพ่อ!” เสียงเทเลอร์ดังมาจากที่ไกล
ร่างชุดสีฟ้านั้นกลับหลังมาดู เป็นลินลี่ย์นั่นเอง ลินลี่ย์ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าในอดีตที่ผ่านมา และเมื่อเห็นเขาจากระยะไกล ทุกคนรู้สึกได้ว่าเขาเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ทันใดนั้นลินลี่ย์ยืนขึ้นและหัวเราะ “ฮ่าฮ่า เทย์เลอร์”
ท่ายืนของลินลี่ย์ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นการเคลื่อนไหวของสายลม แต่ก็ยังให้ความรู้สึกที่มั่นคงไม่หวั่นไหวเช่นกัน ความรู้สึกที่ตรงกันข้ามทั้งสองนี้ ผสานรวมอยู่ในตัวคนผู้เดียวถ้าไม่สัมผัสเจอด้วยตัวเองก็คงนึกภาพไม่ออก
ลินลี่ย์โบกมือของเขา
“ปัง!” ส่วนหนึ่งของน้ำที่ลอยขึ้นมาชะงักทันทีก่อร่างเป็นสะพานน้ำ ในส่วนอื่นๆของทะเลสาบยังคงไหลรินตามปกติ เทย์เลอร์และชาชามีประสบการณ์มากอยู่แล้วจึงก้าวเท้าขึ้นไปบนสะพานน้ำและวิ่งเข้ามาหา
สะพานน้ำแข็งแรงและมั่นคง
ถ้าใครบางคนมองดูให้ดีๆ ก็จะเห็นได้ว่าบนยอดปลายสะพานจะบางลีบและหายไปในอากาศ
“เทย์เลอร์! มากอดหน่อยลูก” ลินลี่ย์อุ้มเทย์เลอร์ไว้ในอ้อมแขนอย่างมีความสุข และชาชาใช้ตาโตและไร้เดียงสาของเธอจ้องมองลินลี่ย์ทันที ลินลี่ย์เอื้อมมืออีกข้างมาอุ้มธิดาสุดที่รักและกอดไว้ทันที “เทย์เลอร์, ชาชา ไม่พบเจอกันมาครึ่งปีนี้คิดถึงพ่อไหมลูก?”
“ครับ” เทย์เลอร์พูดทันที “ทุกวันเลย”
หน้าของลินลี่ย์เต็มไปด้วยรอยยิ้มทั้นที ตอนนี้เขาสามารถเข้าใจแล้วว่าปู่เดลินมีความรู้สึกต่อเขาอย่างไร ความเข้มงวดกวดขันเป็นพิเศษของบิดาของเขาเป็นหน้ากากที่ปิดความรักของพวกท่านไว้ลึกซึ้งมากมายเพียงไหน
“เฮ้, เทย์เลอร์ ชาชา ซีน่า พวกเจ้ามากันหมดทุกคนเลยนะ” เสียงมีความสุขดังก้องมาจากท้องฟ้าและในทันใดนั้นหนูสีดำตัวหนึ่งปรากฏอยู่ในกลางทะเลสาบ เป็นอสูรเวทบีบีนั่นเอง ตอนนี้เขามีขนาดตัวยาวถึงสองเมตร
ลินลี่ย์มองดูบีบีและอดขำอยู่ภายในใจไม่ได้
เมื่อใดก็ตามที่บีบีอยู่ต่อหน้าผู้เยาว์ทั้งสามคน(เทย์เลอร์ ชาชา และซีน่า) เขาจะต้องแปลงร่างให้ใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย เนื่องจากบีบีคิดว่า ‘ถ้าร่างกายข้าเล็กเกินไป ข้าจะไม่มีราศีของผู้อาวุโส’
“อาบีบี”เทย์เลอร์ดิ้นหลุดจากอ้อมแขนลินลี่ย์ได้ก็วิ่งเข้าไปกอดบีบี
เมื่อเทย์เลอร์ยังเล็กบีบีมักจะมาเล่นหยอกล้อกับเทย์เลอร์อยู่บ่อยๆ
วอร์ตันหัวเราะ “พี่ใหญ่, นั่งลงก่อนเถอะ เรากินไปคุยไปกันก็ได้ ข้าเอาอาหารรสโอชะมาหลายอย่าง” ขณะที่พูด คนในครอบครัวนั่งล้อมตามโต๊ะยาว และภายในแหวนมิติเก็บสมบัติวอร์ตันเตรียมอาหารสดรสเลิศออกมาจัดแจง
ครอบครัวเริ่มร่วมกันรับประทานอาหาร
“พี่ใหญ่, ท่านได้ยินเรื่องการสู้รบครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในจักรวรรดิโอเบรียนหรือไม่?” วอร์ตันถาม
ลินลี่ย์ส่งเสียง‘โอว’ และกล่าวต่อ“เจ้าบอกว่าประมาณครึ่งเดือนที่แล้วโอลิเวอร์ท้าประลองกับเฮนด์เซนอีกครั้งใช่ไหม?” โอลิเวอร์กลับมาจากดินแดนขั้วโลกและกลับมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
วอร์ตันถอนหายใจด้วยความชื่นชม “ใช่แล้ว เพียงแค่กระบี่เดียว เขาก็ฆ่าเฮนด์เซนผู้มีพลังป้องกันที่ลือชื่อได้ ช่างน่ากลัวจริงๆ”
“เฮนด์เซน เป็นเฮนด์เซนที่ประลองฝีมือกับท่านพ่อที่ภูเขาทุสคอนใช่ไหม?” เทย์เลอร์เงยหน้าถาม หนูน้อยผู้นี้หลงใหลในลินลี่ย์อย่างลึกซึ้ง และเขารู้รายละเอียดของการต่อสู้ที่ลือชื่อในครั้งนั้นเป็นอย่างดี
ลินลี่ย์หัวเราะและพยักหน้า
เดเลียที่อยู่ใกล้ถอนหายใจและเห็นด้วย “โอลิเวอร์ผู้นี้น่ากลัวจริงๆ แค่เพียงกระบี่เดียว! วิชาป้องกันที่ลือนามของเฮนด์เซนจนกลายเป็นตำนาน ก็ยังสามารถฆ่าได้ในกระบี่เดียว..” เดเลียถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซีน่าที่อยู่ใกล้ๆ มองดูลินลี่ย์และถาม“ท่านลุง, ถ้าท่านลุงประลองกับโอลิเวอร์อีกครั้ง ท่านจะเอาชนะได้ไหม?”
ลินลี่ย์หัวเราะอย่างใจเย็น
“ความก้าวหน้าของโอลิเวอร์เร็วกว่าที่ข้าคาดเอาไว้ แค่เพียงสิบสองปี ก็มีระดับที่สามารถฆ่าเฮนด์เซนได้ด้วยกระบี่เดียว เมื่อยังไม่มีการแข่งกับเขายากจะพูดได้ว่าใครจะชนะ ใครจะแพ้”ลินลี่ย์หัวเราะ
“พี่ใหญ่, ท่านจะถ่อมตัวไปทำไม?” บีบีพูดอย่างไม่สบายใจ “พลังป้องกันของเฮนด์เซนพอๆ กับท่านในอดีต แต่เดี๋ยวนี้เล่า? แค่อาศัยท่านตอนแปลงร่างเอาแค่พลังป้องกันของเกล็ดมังกรของท่านก็ยังสูงกว่าพลังเกล็ดมังกรรวมกับพลังชีพจรป้องกันเมื่อสิบสองปีก่อนเสียอีก และตอนนี้พลังชีพจรป้องกันของท่านแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อก่อนถึงสิบเท่า อยู่ต่อหน้าท่าน โอลิเวอร์นั้นยังไม่กล้าผายลมด้วยซ้ำ ต่อให้เซียนชั้นสองอย่างโอเซนโนก็ยังไม่กล้าล่วงเกินท่าน ข้าคิดว่า...มีแต่ห้าสุดยอดเซียนเท่านั้นที่พอจะรับมือท่านได้ในตอนนี้
วอร์ตันก็พูดด้วยเช่นกัน “พี่ใหญ่,ท่านคือนักรบเลือดมังกรที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลเรา ทำไมต้องถ่อมตัวด้วย?”
วอร์ตันเป็นอีกคนที่รู้ดีว่าลินลี่ย์มีพลังน่ากลัวมากแค่ไหน
หลังจากฝึกฝนสิบสองปีอย่างพิถีพิถัน ระดับความสำเร็จของลินลี่ย์ในการเข้าใจกฎธรรมชาติธาตุดินและธาตุลมสูงมากจนทำให้วอร์ตันพูดไม่ออก