ตอนที่ 310 ทุกคน, ข้าอยู่นี่
ข้อกำหนดสำหรับระดับจ่าสิบเอกในกองทัพดาวกางเขนใต้ คือสามารถสั่งการทหารได้ห้าสิบคน พลังของทหารทุกคนต้องโดดเด่น ต้องมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจในกลยุทธ์พื้นฐาน สามารถเข้าใจและปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาได้อย่างดีเยี่ยม สามารถตัดสินใจได้อย่างสมเหตุสมผลในสมรภูมิ
ถังอี้คือจ่าสิบตรีระดับทองและเขาสามารถตอบสนองข้อกำหนดทั้งหมดเหล่านี้ได้อย่างงดงาม แต่ใครจะคิดกันว่าในยุคของกองทัพดาวกางเขนใต้มีจ่าตรีระดับทองอยู่ในกองทัพนับไม่ถ้วน
รังสีดาบที่สมบูรณ์แบบพุ่งออกมาทันที
ติดตามมาด้วยรังสีดาบอีกห้าสิบสายซึ่งปล่อยออกมาพร้อมกัน เหมือนกับแถวฝูงปลาพุ่งไปยังคนทั้งสาม
หมั่นจู้คำรามลั่นจับโล่ขนาดใหญ่สามเมตรเกร็งกล้ามเนื้อทั่วร่างเหมือนกับโคถึก เขาถือโล่พุ่งสวนเข้าไป จื่อจิงและผู้เฒ่าฟงติดตามด้านหลังเขาอย่างกระชั้น ทั้งสองมีสีหน้ากังวล พวกเขาไม่เคยพบกับภาพเช่นนี้มาก่อน
รังสีดาบของถังอี้ปะทะใส่โล่ยักษ์ก่อน หมั่นจู้ที่กำลังเดินหน้าหยุดชะงักทันทีหลังจากนั้นก็มีเสียงดัง ป้าบๆๆ รังสีดาบที่ตามมาระดมปะทะใส่โล่ราวกับห่าฝน
เขารู้สึกสะดุ้งราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างของหมั่นจู้สั่นและถอยกลับไปสองสามก้าว
จื่อจิงและผู้เฒ่าฟงสีหน้าเปลี่ยน พลังของหมั่นจู้แทบจะไม่ด้อยกว่าเหมิงเว่ยมีเพียงความเร็วและความคล่องแคล่วของเขาเท่านั้นที่ด้อยกว่าช่วงหนึ่ง แต่ถ้าแข่งในการวิ่งตะลุยใส่ เขาไม่เคยแพ้มาก่อน
ทั้งสามคนประสานงานกันเป็นอย่างดี ขณะที่จื่อจิงและผู้เฒ่าฟงเคลื่อนไหวพร้อมกัน
แส้ยาวในมือของจื่อจิงสั่น ตัวแส้สีม่วงเหมือนกับงูสีม่วงพุ่งเข้าหาถังอี้ มือของผู้เฒ่าฟงมีธนูสั้นมือขวามีธนูขนนกสั้นอยู่สี่ดอก เขายิงออกไปโดยไม่คิด ในทันใดธนูทั้งสี่ดอกแยกกันกลางอากาศพุ่งเข้าหากลุ่มคน
หมั่นจู้คำรามทันที ร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาวิ่งปรี่ไปข้างหน้า
มันใช้ตรึงเขาอย่างเห็นได้ชัดแต่ไม่เพียงแต่ถังอี้จะยืดระยะระหว่างเขาและศัตรูได้เท่านั้นแต่เขายังฉวยโอกาสก้าวไปข้างหน้าเพิ่มอีกสองก้าวเมื่อหมั่นจู้ถอย ถังอี้นำกองกำลังของเขา นอกจากนักสู้เผ่าหมาป่าอื่น เขาวิ่งตรงไปข้างหน้าพร้อมกับกองทัพของเขา
เงาแส้และธนูพุ่งเข้ามาในกองกำลังของเขา และมีเสียงครางดังขึ้นจากคนสามคน ทหารได้รับบาดเจ็บสามคนแต่ที่เหลือปลอดภัย หนึ่งในนั้นถูกแส้และทั้งร่างถูกเหวี่ยงกระเด็น อีกสองคนถูกกระแทกเกิดบาดแผลสองรูบนร่างพวกเขา แต่โชคดีที่อาการไม่สาหัส ธนูอีกสองดอกตกลงในพื้นที่ว่างระหว่างกองกำลัง
น่าเสียดาย...
ถ้าพวกเขาฝึกฝนเพียงพอ พวกเขาจะสามารถหลบการโจมตีของศัตรูได้อย่างง่ายดาย ความตายและการบาดเจ็บไม่ทำให้ใจของถังอี้หวั่นไหว เนื่องจากเขายังฟันดาบฟันขาม้าต่อเนื่อง
โล่ยักษ์บดบังทัศนวิสัยของหมั่นจู้และอีกสองคน ขณะที่รังสีดาบห้าสิบเล่มพุ่งเข้ามาเหมือนกับฝูงนกและผสานเข้ากับรังสีดาบของถังอี้
รังสีดาบเพิ่มพลังขึ้นและฟันใส่โล่ยักษ์อย่างดุเดือด
ปัง!
พลังที่น่าทึ่งทำให้หมั่นจู้รู้สึกเหมือนว่าเขากำลังถูกตอกด้วยตะปูที่ทรงพลัง โล่ยักษ์ในมือของเขาแตกหักเป็นสองท่อน มือของเขาเป็นสีแดงด้วยเลือดของเขาเอง
หน้าของจื่อจิงและผู้เฒ่าฟงเปลี่ยนพวกเขามั่นใจมากในพลังโจมตีซึ่งหน้าของหมั่นจู้ การจู่โจมของหมั่นจู้มักจะเป็นอาวุธหลักในการโจมตีของกลุ่มเพื่อให้บรรลุผลการต่อสู้ที่รวดเร็วและเด็ดขาด พวกเขาใช้แผนการทำลายล้างที่เรียบง่ายนี้มาแล้วหลายครั้ง
แต่พวกเขาไม่คาดว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้เลย
“แยกย้าย”
ผู้เฒ่าฟงตะโกนและร่างทั้งสามแยกออกจากกันทันที่ เมื่อเห็นว่าการจู่โจมซึ่งหน้าใช้ไม่ได้ผล พวกเขาจึงได้แต่แยกกัน และทำให้คู่ต่อสู้ไม่อาจรับมือพวกเขาได้ในคราวเดียว ผู้เฒ่าในตอนนี้รู้สึกเสียใจ การจู่โจมของพวกเขามีข้อผิดพลาดทำให้สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาไม่เป็นไปตามต้องการ
แต่เมื่อทั้งสามแยกกันและเตรียมปลดปล่อยคลื่นการโจมตีระลอกต่อไป ทหารของถังอี้ก็หันขวับทันทีและลนลานออกจากสนามต่อสู้
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้ทั้งสามคนตะลึง แต่พวกเขาก็ลอบยินดีเพราะนั่นหมายความว่ากองกำลังของศัตรูเปิดช่องว่างต่อหน้าพวกเขา
แต่เมื่อพวกเขามองดูหน่วยกล้าตายให้ดี พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาก็คือขุนพลวิญญาณผู้กำลังยืนอยู่หน้ากองทัพ
เดี๋ยวก่อน เขามาปรากฏอยู่ด้านหลังได้อย่างไร?
แต่เมื่อพวกเขามองดูอีกครั้ง พวกเขาก็ตระหนักได้ว่ากำลังคนทั้งร้อยห้าสิบคนยังคงตั้งรูปขบวนประหลาด แต่หน้าของพวกเขาแสดงอาการเหลือเชื่อ
ในช่วงเวลาสั้นขนาดนั้นขบวนของศัตรูปรับเปลี่ยนได้เสร็จสิ้นจริงๆ
นั่นเป็นไปได้ยังไง?
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น ผู้นำนับไม่ถ้วนและหัวหน้าทหารก็มองผ่านจอเหมือนกัน พวกเขามองเห็นฉากที่แปลกประหลาด เมื่อการป้องกันของทั้งสามรั้งกลับไปรูปขบวนวงกลมก็มีการเปลี่ยนแปร
เริ่มต้นจากศูนย์กลางแล้วคลี่ออกเหมือนพัดจีบ ปิงอยู่ตรงศูนย์กลางของพัดหันหน้าเดินเข้าหาถังอี้ขณะเดียวกันทั้งสองก็แยกกองกำลังออกและตรงไปยังตำแหน่งตรงกันข้าม เมื่อปิงยืนในตำแหน่งใหม่กองทัพก็ปรับขบวนเป็นรูปพัดอีกครั้ง
ตลอดทั้งกระบวนการไม่มีสะดุดติดขัดแม้แต่น้อยและราบรื่นเหมือนสายน้ำไหล
“ช่างเป็นขุนพลวิญญาณทหารที่ทรงพลังจริงๆ” สายตาของเจ้าเมืองหลี่เบิกกว้าง ริมปากมีน้ำลายไหล “พระเจ้า! โลกนี้มีขุนพลวิญญาณที่นำทัพได้ทรงพลังขนาดนั้นจริงๆ นี่ราคาเท่าไหร่?”
เขาไม่ใช่เป็นเพียงคนเดียวที่ตกตะลึงทุกคนที่จดจ่อมองดูหน่วยทะลวงฟันของกองทัพก็ประหลาดใจ
เหมือนกับว่าทั้งสามคนกำลังเผชิญกับกองทัพที่มีกระบวนการเคลื่อนไหวไม่ตกลยสักนิด แต่พวกเขารู้อย่างแน่นอนว่าองครักษ์ตระกูลถูไม่สามารถประสานกันสู้กับกองทหารได้ นั่นมีความเป็นไปได้ประการเดียวรูปแบบการโจมตีของทั้งสามจะถูกคู่ต่อสู้กำหนดและตัดสิน
การตัดสินแบบนี้ ทำให้คนดูนับไม่ถ้วนสูดหายใจหนาวเหน็บ
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นั่นน่ากลัวเกินไปแล้ว
นั่นต้องใช้ปัญญามากมายเพียงไหน?
สถานการณ์ต่อสู้เปลี่ยนแปลงไปเร็ว
เมื่อผู้เฒ่าฟงและอีกสองคนเห็นปิงปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาก็เข้าใจ พวกเขาอยู่ในสภาพเสียเปรียบแล้ว พวกเขาทั้งสามคนลงมือโดยไม่ลังเลใจพร้อมกัน
หมั่นจู้ตวาดก้อง ขนสีดำนับไม่ถ้วนปรากฏบนร่างกายเขา ความสูงของเขาแต่เดิมก็เพิ่มออกไปอีก ปราณที่ดุดันและอำมหิตพุ่งขึ้นไปในอากาศ อกของเขามีแผลเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสีขาวพลังสายเลือดเงินของกลุ่มดาวขั้วขอบฟ้า สายเลือดหมีม่วงอำมหิตจากกลุ่มดาวหมีใหญ่
สีหน้าของผู้เฒ่าฟงกลายเป็นเย็นชา ผิวบนร่างกายเขาเปลี่ยนเป็นดำสนิท รอบแขนและตัวของเขามีไอหมอกปรากฏคล้ายพังผืด ตาเป็นประกายเจิดจ้า สายเลือดเผ่าค้างคาวโบราณธนูสั้นในมือของเขาเป็นประกายเงิน สมบัติเงินระดับดินแดนขั้วขอบฟ้า ธนูสั้นมังกรแห่งกลุ่มดาวมังกร
ผลึกสีม่วงบนหน้าผากของจื่อจิงพลันระเบิดออกและผิวของนางกลายเป็นโปร่งใสทันที ขณะที่ตลอดทั้งร่างของนางเหมือนทำจากพลอยม่วง พลังสายเลือดของนางยิ่งแปลกประหลาดพลังสายเลือดเผ่ามนุษย์ผลึกที่สาบสูญไปแล้ว มันคือเผ่าพันธุ์ที่ไม่ถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์นักรบ ความคงอยู่ของพวกเขาต้องสาวกันไปถึงยุคก่อนโบราณเสียอีก แส้ยาวในมือของนางก็คือสมบัติชั้นคุณภาพระดับตำหนักระนาบกลาง แส้งูแห่งกลุ่มดาวงู
หมั่นจู้ตบอกตัวเองอย่างดุร้าย และคำรามกึกก้องท้องฟ้า จากนั้นเริ่มวิ่งตรงเข้าหาปิง ด้วยขนาดที่เหมือนกับภูเขาเล็ก ทุกย่างก้าวที่เท้ากระทบพื้นสามารถสั่นสะเทือนพสุธาและบรรพตได้ ปราณของเขาประหลาด พลังป้องกันของเขาในตอนนี้เพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าดาบและกระบี่ยากจะทำร้ายเขาได้
สีหน้าของผู้เฒ่าฟงเคร่งขรึม ธนูสั้นมังกรในมือของเขาเปล่งสีเงิน หมอกดำในมือของเขาเปลี่ยนลูกศรดอกหนึ่งเขาเล็งปิงและเหนี่ยวธนูและยิงทันที หมอกดำหายไปนั่นคือสุดยอดวิชาของเขาธนูมังกรค้างคาวดำ
ร่างผลึกจื่อจิงเปล่งประกายแสงโปร่งใส แส้งูในมือนางถูกสะบัดออกไป แส้งูในมือซ้ายนางและรังสีโปร่งแสงกลายเป็นงูใหญ่ยาวเกินกว่าสิบเมตรอ้าปากใหญ่ของมันพุ่งเข้าหาปิง
ทั้งสามคนปลดปล่อยพลังของตน ภายใต้แสงสว่างและปราณที่น่ากลัวผู้ชมต่างมองดูด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว
สีหน้าปิงยังคงสงบเขานั่งอยู่บนหลังม้าโดยไม่ขยับสักนิ้วเพียงแต่ขยับแขนขวาเล็กน้อย เหมือนกำลังโบกมือทักทายคนทั่วไป
พวกนักสู้ที่อยู่ด้านหลังของเขาซึ่งตั้งขบวนรูปพัดถูกดึงดูดเหมือนกับว่าพวกเขาถูกควบคุมด้วยมือที่มองไม่เห็น พวกเขาทุกคนตะโกนลั่น “ฆ่า”
ขบวนทั้งหมดปลดปล่อยพลังดาบ
ความเคลื่อนไหวของพวกเขาแม่นยำราวกับใช้ไม้บรรทัดวัด นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของปิงในการใช้ยาปลุกพลังสายเลือด กระตุ้นสายเลือดหมาป่าโบราณของพวกเขาเพื่อให้พวกเขามีการสนองตอบร่วมกัน แต่การสนองตอบไม่เป็นระเบียบและได้ผลดีไม่เกินสามคน ดังนั้นปิงเลือกใช้กระบวนพยุหะร่ม นักสู้ทุกคน โดยมีนักสู้แต่ละคนอยู่หน้าและมีคนอยู่ด้านหลัง พวกเขาก็มีการตอบสนองร่วมกันเหมือนกัน การตอบสนองเช่นนี้ช่วยเพิ่มความสามัคคีพวกเขาให้ดีขึ้น
เพียงเท่านี้พวกเขาก็สามารถปลดปล่อยรังสีดาบได้พร้อมกัน
กลยุทธพยุหะร่มต้องใช้ความเปลี่ยนแปลงประสานกันระหว่างทหาร แต่ข้อเสียก็คือผู้นำทหารต้องเปลืองความพยายามมาก ตำแหน่งส่วนใหญ่มุ่งไปข้างหน้า การโจมตีทั้งหมดจะแปรสภาพเข้าหาเขา นอกจากนี้รังสีดาบชั้นแล้วชั้นเล่าจะทวีความรุนแรง เมื่อพลังนั้นพุ่งมาถึงผู้นำทหาร จะมีความแข็งแกร่งมาก ดังนั้นปิงจึงต้องควบคุมรังสีดาบทั้งหมดให้ได้ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก
ความคิดของปิงล่องลอยทันที
ในที่สุดเขาก็ได้นำทัพ และเข้าสู่สมรภูมิ ครั้งสุดท้ายที่เขาได้นำทัพนั้น ยาวนานเท่าใดกันแน่? ความทรงจำของเขาเลือนราง เขาหัวเราะให้ตนเองและเขาคิดว่าเขาพูดกับตนเองเสมอ สมรภูมิคือบ้านที่แท้จริงของเขา
แต่ ความรู้สึกที่ได้ต่อสู้อีก ความจริงมันดีมาก...
ใบหน้าไพ่ของปิงมีรอยยิ้มเศร้า
เขายกมือขวาและผลักไปข้างหน้าทันที
รังสีดาบกล้าแข็งสว่างเจิดจ้า แปรสภาพผ่านฝ่ามือเขากลายเป็นบอลแสงแพรวพราวขนาดมหึมา
ปัง
ปราณไร้ลักษณ์ที่แปลกประหลาดก่อตัวอยู่ในแกนกลางบอลแสงและระเบิดออก
ไม่ว่าจะเป็นธนูหมอกดำ งูยักษ์ยาวสิบเมตรหรือร่างใหญ่มหึมาของหมั่นจู้ล้วนหยุดชะงักเหมือนปะทะกำแพงไร้สภาพไม่อาจเดินหน้าได้สักนิ้ว
เหมือนกับว่าเวลาหยุดกระทันหัน
ตาของปิงมีประกายแรงกล้าขึ้นทุกทีเหมือนดาวส่องแสง อารมณ์ความรู้สึกห้าวหาญพลุ่งขึ้นมาเต็มอกเขา คงมีสักวันที่ข้าจะสามารถนำกองทัพดาวกางเขนใต้ใหม่ตบเท้าเข้าต่อกรกับขุนศึกที่มีชื่อเสียงของคนรุ่นนี้
“เฮ้, ทุกคน,ข้าอยู่นี่แล้ว
เสียงอ่อนโยนดังและหายไปกับสายลมอย่างรวดเร็ว
บอลแสงในฝ่ามือของเขาขยายออกไป
ปัง
เสียงระเบิดดังเข้าหูของคนทั้งสามซึ่งดังไม่น้อยกว่าสายฟ้ากรอกหูเสียอีก
รังสีสายหนึ่งที่บรรจุรังสีดาบทั้งร้อยห้าสิบเล่มถูกปิงบีบอัดไว้สั่นสะเทือนตลอดเวลาจนกลายเป็นรังสีดาบขนาดเล็กนับไม่ถ้วนแต่แรงกดดันสูง ทันทีที่บอลแสงระเบิดออกก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้อีก
เม็ดแสงแพรวพราวพุ่งออกจากมือของปิง
ทั้งสามคนไม่มีเวลาได้สนองตอบ จึงถูกคลื่นแสงกลืนหายเข้าไปทันที