ตอนที่ 305 ดาวสงคราม
“พวกมันต้องการสู้กับเรา” ผู้เฒ่าฟงพูดอย่างเคร่งขรึม
คนที่เหลือมีสีหน้าขึงขัง พวกเขาไม่รู้เรื่องของศัตรูมากนักกลุ่มคนที่รุ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน ข้อมูลของพวกเขามีอย่างจำกัดมาก ทักษะการรวบรวมข้อมูลพวกเขาว่าดีมากแล้ว แต่จะได้รับข้อมูลที่มีค่ามากกลับเป็นเรื่องที่ยากมาก
แม้ว่าคู่ต่อสู้จะรู้ที่มาของพวกเขา แต่ก็ยังมีความคิดกล้าเข้าต่อกร ก็หมายความว่าพวกเขามีความมั่นใจในฝีมือตนเอง หรือพวกเขาอาจมีวิธีต่อสู้รูปแบบอื่น
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดนั่นไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น
“เฮอะ,พวกมันต้องการใช้เราเป็นหินหยั่งเท้า” มือกระบี่แขนเดียวพูดเย็นชา
“มีทางเป็นไปได้มาก” สตรีผมม่วงหัวเราะ “ถ้าพวกมันเอาชนะเราได้ 42กลุ่มดาวขอบฟ้าใต้ก็คงไม่สามารถต้านพวกมันได้ คงต้องไปขอบฟ้าเหนือ เป็นไปได้มากเลยว่าพวกมันอาจสร้างที่ของพวกมันเอง”
“อย่างนั้นเราก็แค่ฆ่าพวกมันให้หมด” บุรุษร่างใหญ่พูดอย่างดุดัน
แม้ว่าพวกเขาจะผ่อนคลายแต่ใจของพวกเขาไม่กล้าทำท่าดูหมิ่นเลย
สายตานับคู่ไม่ถ้วนจับตาดูการต่อสู้นานเท่าใดแล้วที่พวกเขาได้รับความสนใจมากเท่านี้? ไม่เคยมีการรบครั้งใดที่ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันมาก การพ่ายแพ้จะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของพวกเขา ตั้งแต่อูเถี่ยหวี่ตายนั่นทำให้ผู้อาวุโสของพวกเขาเสียหน้า ถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นอีกครั้งในการต่อสู้ที่จะมาถึง...
พวกเขาติดตามถูหรูไห่มานานหลายปีและรู้จักอารมณ์และนิสัยของผู้อาวุโสของพวกเขาชัดเจน
เหมิงเว่ยอาจเครียดกับทุกคนและกล่าวอย่างเฉื่อยชา“ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือทำภารกิจให้สำเร็จรวดเดียว”
นางเสริม “ท่านผู้เฒ่าเตรียมรางวัลสองพันล้านเหรียญดาวไว้เป็นรางวัลให้เรา”
ทุกคนสีหน้าเครียดสองพันล้านเหรียญดาวหมายความว่า เหมิงเว่ยจะได้ห้าร้อยล้านและพวกที่เหลือจะได้คนละสามร้อยล้าน ด้วยเงินรางวัลขนาดนั้นพวกเขาจะกล้าหาญยิ่งขึ้น ทุกคนรู้สึกเลือดลมพลุกพล่านทันที
สำหรับพวกเขาสามร้อยล้านเหรียญดาวนับเป็นจำนวนที่มาก
“เฮ้, ครั้งนี้ท่านผู้เฒ่าใจกว้างมาก” สตรีผมม่วงหัวเราะ
บุรุษร่างใหญ่ก็หัวเราะ “ครั้งนี้เราคงต้องเอารถมาขนทอง”
เหมิงเว่ยตอบอย่างเย็นชา “ข้าไม่ห่วงเรื่องผู้เฒ่าจวินโถวและดาบเดี่ยวเท่าไหร่กับเป็นพวกเจ้าทั้งสามที่ต้องรับมือกับกองทหาร ต้องระวังให้ดี”
ผู้เฒ่าฟงหัวเราะ “พี่สาว, ท่านดูถูกเราอยู่นะ ทหารอะไรกันก็แค่พวกมือสมัครเล่นที่พยายามจะขู่คนอื่น แม้แต่กับเจ้าโง่สองคนนั้น พวกเราสามารถกวาดล้างพวกมันได้รวดเดียว หากพิจารณาจากทุกอย่างแล้วกองทัพนี้เพิ่งจะสร้างขึ้นมาเมื่อสองเดือนที่แล้ว ถ้ากองทัพสามารถสร้างขึ้นภายในสองเดือน อย่างนั้นทหารพวกนี้ก็ไม่มีค่าอะไร เดาซิว่าก่อนหน้านั้นพวกมันเป็นอะไร? พวกมันทุกคนก็แค่นักสู้ธรรมดาในเผ่าของตนเอง เดาว่าส่วนใหญ่พวกมันก็คือโจรทะเลทราย”
สตรีผมม่วงกระแอมและหัวเราะ “ข้าไม่เชื่อว่าทหารอย่างนั้นจะขู่ขวัญคนได้จนถึงกับใจสั่นสะท้าน”
ผู้เฒ่าฟงหัวเราะ “แต่ขุนพลวิญญาณที่นำทัพก็ยังมีมาตรฐานอยู่บ้าง วิชาดาบปรมาจารย์ระดับแปด ข้าไม่เชื่อเลยว่ามันจะมีความเชี่ยวชาญในข้อมูลการรบ ข้าสงสัยจริงว่าถังเทียนไปได้ขุนพลวิญญาณเช่นนั้นมาจากไหน”
“เขาคือคนที่โชคดีจริง” สตรีผมม่วงพูดด้วยนัยต์เป็นประกาย “ถ้าเพียงแต่เราพบเขาเร็วขึ้น”
ทันใดนั้นเหมิงเว่ยเงยหน้าขึ้น จากนั้นพวกที่เหลือสามารถรู้สึกได้ พวกเขาหยุดคุยและมองไปข้างหน้า
ถังเทียนกำลังมา!
เหมิงเว่ยมองเห็นกองทหาร หน้าของนางยังสงบแต่นางลอบถอนหายใจ ผู้เฒ่าฟงพูดถูก กองทหารไม่มีอะไรน่ากลัวจริง พวกเขามีเพียงสองร้อยคน และในแขนของพวกเขา ผู้คนดูผ่อนคลายและไม่มีวินัยการเคลื่อนไหวของทหารจะดูชุลมุน
เป็นเรื่องยากมากที่จะมีการต่อสู้ระหว่างกองทหารและนักสู้ ด้วยความแตกต่างของพลังเป็นเรื่องยากมากที่จะกำหนดได้ เนื่องจากความสามารถของการต่อสู้ของนักสู้ยังเหนือล้ำกว่าทหารธรรมดาและยังมีพลังต่อสู้ที่เหนือกว่า และพวกเขาคล่องแคล่วมากกว่าและมักเป็นฝ่ายรุก ขณะที่ความได้เปรียบของทหารก็คือพวกเขามีจำนวนมากกว่า และพลังของกองทัพย่อมแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับผู้เฒ่าฟงและอีกสองคนนักสู้ระดับสวรรค์วิถีไม่อาจมีท่าทีคุกคามได้ และพวกเขาสู้มาเป็นเวลานานแล้ว แน่นอนว่าการมีประสบการณ์ต่อสู้มากมายทำให้การรับมือทหารหน่วยกล้าตายนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมาก
เหมิงเว่ยผ่อนคลายการเกิดขึ้นอย่างฉับพลันของกองทหารทำให้ใจนางเครียด เนื่องจากตัวแปรใหญ่ยังไม่อาจตรวจพบ แต่หลังจากเห็นกองทหารกับตาความกังวลที่เกิดจากการคุกคามก็หายไป
นี่คือการรบที่พวกเขาต้องชนะ!
ทั้งสองฝ่ายหยุดพร้อมกันและยืนเผชิญหน้าในระยะไกล
รอบๆ พวกเขาทุกคนในท้องฟ้า ภาคพื้นดินมีคนมากมายปรากฏเพื่อดูการรบ นักสู้ทั้งหมดเดิมทีต้องการดูอูเถี่ยหวี่ในการต่อสู้ ตอนนี้ความสนใจของพวกเขาทุกคนได้เปลี่ยนไปแล้ว
หกองครักษ์ตระกูลถูมีชื่อเสียงโดดเด่นและร้ายกาจ
นักสู้ในทำเนียบสวรรค์วิถีที่ระดับเหนือกว่า9000 สำหรับกลุ่มดาวหมาป่านับเป็นเรื่องห่างไกลสำหรับพวกเขา
ในบรรดาผู้ชมมีผู้มาสังเกตการณ์จากกลุ่มทรงอำนาจหลายกลุ่ม สมบัติดวงดาวมากมายส่องประกาย ขณะที่ผู้ชมทุกคนเตรียมตัวชมดูความสนุก หลายๆคนมีสมบัติดวงดาวของกลุ่มดาวกล้องโทรทรรศน์ซึ่งสามารถจับรายละเอียดของการต่อสู้จากระยะห่างยี่สิบกิโลเมตรได้ สมบัติดวงดาวบางอย่างมาจากกลุ่มดาวแท่นบูชาและสมบัตินี้สามารถส่งทุกอย่างที่ตาเห็นไปยังที่ไกลได้
สมบัติดวงดาวเหล่านี้มักไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์ถูกนำมาใช้เต็มศักยภาพในสถานการณ์แบบนี้
นักสู้ของกลุ่มดาวหมาป่าจ้องดูด้วยความอิจฉา เพราะสมบัติดวงดาวเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นของที่หาได้ยากเท่านั้น แต่ยังมีราคาที่แพงมาก ไม่ใช่ว่านักสู้คนไหนๆก็สามารถซื้อหามาได้ เทียบกับกลุ่มเผด็จการของกลุ่มดาวหมาป่า นักสู้ทั้งหมดเหล่านี้มาจากกลุ่มดาวระดับสูงมีมูลค่าที่มากกว่า
พวกเขาทุกคนเริ่มเอาเครื่องไม้เครื่องมือออกมาและขุดเข้าไปในทราย
คนพื้นเมืองของกลุ่มดาวหมาป่างงกันทุกคนและไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้กำลังทำอะไร นักสู้ทุกคนล้วนแข็งแกร่งและประสิทธิภาพเขาก็น่ากลัวมาก หลังจากนั้นชั่วขณะเนินทรายใหญ่สูงเกินกว่าห้าสิบเมตรก็ปรากฏขึ้น และพวกนักสู้ทั้งหมดขึ้นไปด้านบนคอยดูใจกลางการต่อสู้
จากนั้นคนที่เหลือก็ตระหนักได้ทันที และทุกคนเริ่มทำเนินทรายสูงบ้าง
จากมุมมองมุมสูงนับเป็นภาพที่งดงาม สนามต่อสู้ระยะสิบกิโลเมตรว่างเปล่า แต่ข้างนอกนั้น มีเนินทรายผุดขึ้นมาลูกแล้วลูกเล่าล้อมรอบสนามต่อสู้
บนยอดเนินทรายมีคนหลายคนรวมตัวเป็นกลุ่ม
ไม่มีใครในสนามต่อสู้ที่ถูกดึงดูดโดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอก
“ทุกคนพร้อมหรือยัง?” ถังเทียนถามเสียงเคร่งเครียด ตาของเขาเหมือนลุกไหม้เป็นเปลว
ไม่มีใครยุ่งกับเขา
ถังเทียนดูเหมือนจะไม่สนใจ ชูมือทั้งสองะโกนลั่น “ยาฮู้ว ลุย ลุย ลุย!”
ร่างเป็นเปลวไฟสีแดงพุ่งทะยานออกไปก่อน หลิงซิวไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าหลิงซิ่วไวกว่าเขาจริงๆถังเทียนตะโกน “ข้าก็มาแล้ว”
อาเฮ่อถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อไหร่พวกเขาทั้งสองคนจะทำตัวน่าเชื่อถือได้สักที
หน้าของปิงดูไร้ความรู้สึกและเขาโบกมือ “หน้า...เดิน”
ทหารค่อยๆเคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ
ขณะที่ทางด้านเหมิงเว่ยมองดูศัตรูที่ไม่เป็นระเบียบ พวกเขาก็ยิ่งผ่อนคลายมากขึ้น ถ้าพวกเขาเป็นทหารจริง ยอดฝีมือผู้เชี่ยวชาญจะคอยปกป้องพวกเขาอยู่รอบด้าน กองทัพนิ่งย่อมเป็นประโยชน์ แต่กองทัพกลับเคลื่อนที่สำหรับยอดฝีมือกลับเต็มไปด้วยจุดอ่อนและช่องว่าง
พวกเขาทิ้งให้อาเฮ่อคอยปกป้องกองทัพซึ่งไม่เป็นมืออาชีพเกินไป
สีหน้าของเหมิงเว่ยเปลี่ยนเป็นเย็นชา “เปลี่ยนแผน ข้าจะรับมือถังเทียน ดาบเดี่ยวไปโค่นหลิงซิ่วผู้เฒ่าจวินโถวพยายามแยกอาเฮ่อออกไป พวกเจ้าทั้งสามคนกวาดล้างหน่วยกล้าตายพวกนี้ พยายามจบงานให้เร็ว”
กองทหารไม่ได้สงสัยจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของคู่ต่อสู้ โดยการโค่นถังเทียนและสหายอีกสองคนจากนั้นกวาดล้างกองทหารให้ได้ก่อน แล้วค่อยสร้างความได้เปรียบสู้กันหกต่อสาม
นั่นคือกลยุทธ์ของเหมิงเว่ยที่ง่ายๆ และได้ผล
ก่อนที่นางจะพูดจบ นางก็วิ่งออกไปทันที อีกห้าคนที่เหลือก็พุ่งออกมาราวกับลูกธนูพร้อมกัน ทุกคนพุ่งไปยังตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย
ไม่ว่าจะเป็นทางด้านถังเทียนหรือหลิงซิ่วหรือเหมิงเว่ย พวกเขาทุกคนมีความเร็วว่องไวน่าประหลาดใจราวกับสายฟ้า ทำให้นักสู้ของกลุ่มดาวหมาป่าถึงกับปากอ้าตาค้าง และสำหรับผู้สังเกตการณ์ที่กลุ่มอำนาจจากที่อื่นส่งมา พวกเขาแข็งแกร่งมากและมีความเข้าใจที่ดีกว่า สายตาพวกเขาจับจ้องที่กองทหารอย่างรวดเร็ว
กองทหารเดินหน้าด้วยความเร็วที่ไม่ช้า แต่ในสนามรบนี้ พวกเขามองดูเหมือนกับว่าช้า
ข้างหน้าและข้างหลังแยกออก
ข้อห้ามในสนามรบ!
ผู้สังเกตการณ์หลายคนส่ายหัว ในกลุ่มดาวที่เกี่ยวข้อง หลายคนที่กำลังมองดูการรบต่างก็ส่ายหัวกันทุกคน กองทัพที่ไม่มียอดฝีมือผู้เชี่ยวชาญปกป้องนั้นอ่อนแอมาก
เป็นไปตามคาดสอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาคิด ผ่านไปได้ครึ่งทาง บริวารทั้งหกของเหมิงเว่ยก็แยกเป็นสองทันที
เหมิงเว่ยและดาบเดี่ยวพุ่งเข้าหาถังเทียนกับหลิงซิ่ว
ขณะที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเหมิงเว่ยชักกระบี่ออกจากเอวนางและรังสีกระบี่สีทองบรรจบเข้ากับตัวกระบี่ด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง ในช่วงอึดใจ กระบี่ของนางก็ปกคลุมไปด้วยรังสีทอง ถังเทียนพุ่งเข้าหาด้วยความเร็ว นางก็เป็นเหมือนกระบี่คมกล้าพุ่งแหวกอากาศ
ดาบเดี่ยวที่อยู่ข้างตัวนางมีสายตาเยือกเย็น เขาใช้ท่าที่ประหลาดพิกลขณะที่กำลังวิ่ง ร่างของเขาเอนไปทางด้านขวาเลียดเรี่ยพื้นมากเหมือนกับว่าเขาสามารถล้มได้ทุกเมื่อ ดาบห้อยลงมาจากแขนสัมผัสกับพื้นทราย
ซี่....
คมดาบตัดเข้ากับพื้นทรายปล่อยเสียงเยือกเย็นถึงกระดูก
และเขาไม่ได้อยู่ในแนวเส้นตรง แต่เริ่มเบี่ยงโค้งเล็กน้อย ทรายด้านหลังเขามีรอยคลื่นใบมีดยาวของเขา
ปลายดาบเสียดกระดูกนั้นไม่สามารถคาดคำนวณได้
รูปแบบทั้งสองนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่การโจมตีของพวกเขากำลังเริ่มต้นและดุเดือดพอกัน ไม่มีความจำเป็นต้องพูด นักสู้ของกลุ่มดาวหมาป่าพากันตะลึงกันหมด พวกเขาไม่คิดเลยว่าเมื่อพวกเขาทำการเคลื่อนไหวจะน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก แม้แต่ผู้สังเกตการณ์ที่ถูกส่งมาจากกลุ่มดาวระดับสูงก็ยังถูกพลังของคนทั้งสองดึงดูดความสนใจด้วย
หกองครักษ์ตระกูลถูเป็นไปตามที่คาด ชื่อของพวกเขาไม่ใช่ว่าไม่มีอะไร
ในใจของพวกเขาคิดว่าฝ่ายของถังเทียนแพ้แน่ สิ่งเดียวที่คู่ควรให้พวกเขาสนใจก็คือสมาพันธ์ชาวยุทธจะเคลื่อนไหวเมื่อใด นั่นคือจุดสูงสุดสำหรับอารมณ์พวกเขา พวกเขาไม่เชื่อว่าสมาพันธ์ชาวยุทธจะปล่อยให้ถังเทียนถูกองค์การวิญญาณมืดฆ่า
ทุกคนกำลังรอ รอให้สมาพันธ์ชาวยุทธมีความเคลื่อนไหว
ถ้าสมาพันธ์ชาวยุทธทำการเคลื่อนไหว นั่นจะเป็นการปะทะกันของสองมหาอำนาจระดับบน
ถังเทียนกับพวกมีอะไรจะต้องพิจารณา?
สำหรับพวกเขาแล้วถังเทียนและพวกของเขาก็แค่ชนวน ไม่มีใครกล้าเชื่อว่าพวกเขาจะเอาชนะหกองครักษ์ตระกูลถูได้
ในด้านตระกูลซือหม่าซือหม่าเซี่ยวกำลังมองดูสนามรบผ่านเลนส์แท่นบูชาบนโต๊ะของเขา ปากของเขายังคงยิ้มและน้ำเสียงยังคงเหมือนล้อเล่น เขาพึมพำกับตนเอง “ข้าช่วยพวกเจ้าขัดขวางความช่วยเหลือของเจ้า โอกาสดีอย่างนั้นพวกเจ้าจะได้แสดงฝีมือด้วยตัวเอง อย่าทำให้ข้าผิดหวัง พ่อหนุ่มถัง”
(เขาคือคนที่ขัดขวางอาโมรี่และพวกและเตือนไม่ให้เคลื่อนไหว”
ชิวจื่อจวินพูดอย่างเย็นชา “แม้พวกเขาจะสับสนวุ่นวายเพราะแผนเจ้า แต่การล้างแค้นของเจ้ายังเร็วเกินไป”
“เฮ้, อย่าคิดกับข้าง่ายๆ อย่างนั้นสิ” ซือหม่าเซี่ยวหัวเราะ “นี่เป็นแค่การทดสอบเล็กๆ น้อยๆ ถ้าพวกเขาไม่สามารถผ่านด่านทดสอบนี้ พวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”
ชิวจื่อจวินตะลึง
ศิษย์น้องของเขามักถือตัวและไม่เห็นใครเทียบเท่าตัว จึงสามารถกล่าวคำอย่างนั้นได้....