ตอนที่ 304 เคลื่อนกำลัง
หลิงซิ่วเช็ดน้ำยาบนร่างกาย และเริ่มพันตัวอย่างระมัดระวัง
เขาตั้งใจและพิถีพิถันมาก
เขาไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไงกับศึกใหญ่ที่จะมาถึง แต่เขารู้สึกเต็มไปด้วยความคาดหวังและตื่นเต้น ทุกครั้งที่เขาต่อสู้อย่างห้าวหาญดุดัน เขามักจะรู้แจ้งที่แตกต่างกัน และรู้สึกถึงการเผาผลาญมากมายของชีวิตเขาทำให้เขามึนเมาหลงใหลลึกๆ
เขาอาจจะตายในการต่อสู้สักวัน
หลิงซิ่วหัวเราะให้กับตัวเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าต้องทำความปรารถนาของข้าให้สำเร็จเสียก่อน
เขาสวมชุดยาวขาวขลิบทองซึ่งเขาไม่รู้ว่าทำจากวัสดุอะไร แต่มันแข็งแรงและสะดวกสบาย และไม่ส่งผลใดๆ ต่อการต่อสู้ แม้ว่าเขาจะใส่มานานหลายปีแล้ว แต่ก็ยังดูดีเหมือนใหม่ เขาใส่หินดวงดาวระดับเจ็ดให้นกฟลามิงโก สำหรับการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นหินดวงดาวราคาแพงทั้งหมดจำเป็นต้องใช้
นี่เป็นครั้งแรกที่ฟลามิงโกใช้หินดวงดาวระดับเจ็ด
หือ?
เปลวเพลิงสีแดงเจิดจ้าเปล่งออกมาจากภายในนกฟลามิงโก พลังเผาไหม้รุนแรงในช่วงเวลาถัดมา เปลวเพลิงลุกโหมจนบดบังทัศนวิสัยของหลิงซิ่ว เปลวเพลิงค่อยมอดลงช้าๆและเพลิงสีแดงสว่างค่อยๆ มอดกลายเป็นความเย็น ตาของนกฟลามิงโกเป็นสีแดงเข้ม ปรากฏเป็นเพลิงหนาแน่น
หลิงซิ่วรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นจากฟลามิงโก
ฝ่ามือสีเงินของเขาลูบหลังของฟลามิงโกเบาๆ “ฮะฮะเจ้าก็ตื่นเต้นเหมือนกันหรือ?”
ฟลามิงโกใช้ตาแดงเข้มของมันจ้องดูหลิงซิ่วทันใดนั้นมันหันมาเอาหัวเสียดสีกับแขนหลิงซิ่ว
หลิงซิ่วลูบมันและหัวเราะลั่นด้วยความห้าวหาญ“หลังจากศึกนี้ เจ้าอาจต้องยกเครื่องขนานใหญ่ เป็นยังไง? เจ้ากลัวไหม?”
ฟลามิงโกมองดูหลิงซิ่วด้วยท่าทีดูถูก
หลิงซิ่วหัวเราะและพลิกตัวนั่งลงบนหลังฟลามิงโกกวัดแกว่งหอกเงินวิ่งออกมานอกประตู
อาเฮ่อนั่งเงียบอยู่ในห้องตนเอง ไม่มีแสงใดๆ ห้องมืดสนิท เขาค่อยๆ ลืมตาความสงบใจเย็นอยู่ในดวงตาของเขา เหมือนกับคนโบราณผู้ไม่หวั่นไหว มีความสงบที่ไม่อาจบรรยายได้
อาเฮ่ออยู่ในท่านั้นมาสามวันแล้ว
ทุกๆ รายละเอียดที่ต่อสู้กับอูเถี่ยหวี่ถูกฉายซ้ำในใจของเขาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังแยกแยะหาข้อสรุปแยกย่อย
สำหรับเขาการฆ่าอูเถี่ยหวี่เป็นงานที่เสี่ยงและอันตราย อูเถี่ยหวี่ประมาทกระบี่กระเรียนในมือเขา เมื่อคลื่นหมีปฐพีถูกปราบโดยกระบี่กระเรียน หน้าของอูเถี่ยหวี่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ในช่วงการฝึกฝนไม่กี่วันนี้เขายังคงทบทวนทุกฉากภาพการต่อสู้ เขาได้รับประโยชน์มากกว่าที่เขาคิด
ในที่สุดเขาก็เข้าใจ เหตุผลที่คนในวิถีนักสู้ถึงได้หวงแหนทุกลมหายใจที่เสี่ยงอันตรายและยังคงค้นหาการท้าทายและการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง เพราะมีเพียงระหว่างความเป็นความตายเท่านั้นจึงจะทำให้ศักยภาพที่แท้จริงของคนระเบิดออกมา และมีเพียงการตั้งใจสู้ที่แท้จริงสามารถทำให้พวกเขาค้นหาตัวเองว่าพวกเขาแข็งแกร่งพอหรือไม่
ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ ไม่สามารถบรรลุได้จากการฝึกฝนและคิดเอาเองประจำวัน
เมื่อคิดถึงเรื่องในอดีต เขาเป็นเหมือนกบในกะลาอย่างแท้จริง เพียงคิดแต่ว่าเมื่อได้รับพลังงานร่างกระเรียนแล้วเขาจะมีทางอื่นให้เดินสามารถฝึกฝนได้ไม่รู้จบ เขาจะไปถึงจุดสุดยอดเหมือนอย่างบรรพบุรุษของเขา ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความคิดของเขาไร้เดียงสา ถ้าไม่ใช่เพราะเซ็นสัญญาจิตวิญญาณยุทธกับถึงเทียน เขาคงไม่มีทางมาถึงระดับวันนี้แน่นอน
การได้ติดตามอยู่ข้างถังเทียน ถ้าเขาไม่เริ่มอดทนแรงกดดันขนาดใหญ่ ความก้าวหน้าที่น่าทึ่งจนปากอ้าค้าง คงทำให้อัจฉริยะผู้มีความภูมิใจทุกอย่างถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เขารู้สึกเหมือนอย่างนั้น หลิงซิ่วก็รู้สึกเหมือนกันไม่จำเป็นต้องได้กำลังใจของคนอื่น ทั้งสองไม่กล้าเสียเวลายังคงฝึกต่อเนื่องอย่างสุดกำลัง
ถ้าไม่ใช่เพราะถังเทียน อาเฮ่อรู้ว่าเขาคงไม่มีทางฝึกอย่างหนักหน่วงแน่
เมื่อคิดถึงเวลาเมื่อเขายังอยู่ในสำนัก เขาเป็นคนที่ฝึกฝนหนักที่สุดแล้ว ถ้าเขากลับไปสำนักเพื่อเรียนพลังร่างกระเรียนเขาก็คงเป็นกบเหมือนเดิมตลอดไป
การผ่านการต่อสู้ก็เหมือนกับผ่านหินลับมีดต่างๆ คอยลับกระบี่ของเขาให้คมขึ้น
เมื่อคิดว่าปรมาจารย์ของเขารุ่นก่อนทิ้งตำราไว้ให้ เขาสามารถเข้าใจได้ว่า ทำไมบรรพบุรุษถึงได้เดินทางไม่รู้จบเมื่ออายุยังน้อยจากฟากตะวันออกไกลโพ้นมาจนถึงที่นี่ การเดินทางที่ยาวนานทำให้บรรพบุรุษของเขาเติบโตขึ้นและทิ้งความหวังของท่านไว้ให้คนรุ่นหลัง
เขาอดคิดถึงถังเทียนไม่ได้ และอดยิ้มให้ไม่ได้
เขาเป็นสหายที่งี่เง่าคนหนึ่ง
แต่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาไม่รู้สึกเดียวดายไม่รู้สึกกลัวและหลังจากนั้น... ได้ติดตามเขาทำเรื่องราวงี่เง่า เมื่อคิดดูแล้วอาเฮ่อผู้มีอุปนิสัยใจเย็นอยากจะตบหน้าตัวเองจริงๆ
เอาล่ะ การคิดถึงเรื่องงี่เง่าก่อนหน้านี้ก่อนต่อสู้จะส่งผลต่อกำลังใจได้
ใบหน้าของเขากลับคืนสู่ความสงบตามปกติของเขา
มือของเขายังถือกระบี่กระเรียนซึ่งวางราบอยู่บนเข่าเขา ฝักกระบี่เป็นไม้เรียบง่ายไม่มีเครื่องหมายใดๆมีแต่เพียงเครื่องหมายของเวลา ไม่มีใครคิดเลยว่าภายในฝักกระบี่ไม้เรียบง่ายความจริงเป็นกระบี่เซียนระดับทอง
สำนักกระเรียนฟ้าตกต่ำมานานมากแล้ว
ดวงตาของเขาแจ่มชัดเป็นประกายเจิดจ้า
ในความมืดปราณรอบตัวเขาระเบิดออกทันทีทำให้ลมกระจายไปทั่วทุกแห่งผมยาวสีดำของเขาพัดพริ้วและกระดานไม้ระเบิดออก
เขาลุกขึ้นยืน
ค่ายฝึกทหารใหม่
ถังเทียนใช้พลังกระโดดไปรอบๆ เขามีความสุขมาก “ฮ่าฮ่าฮ่า วันนี้ข้ามีพลังเหลือเฟือเลยทีเดียว! เราต้องเอาชนะพวกเขาให้หมด!”
ศีรษะฟงโฉ่วยังคงลอยอยู่ตรงนั้น เขาสงสัย “เสี่ยวถัง, เจ้าไม่ต้องสวมแว่นตาแล้วหรือ?”
“ไม่ต้อง” ถังเทียนยิ้มและหันศีรษะมา “ดูสิ, มันจางลงแล้ว! หึหึ สองสามวันที่ผ่านมานี้ข้าเรียนรู้สำเร็จจนได้และรู้วิธีควบคุมตาเหล่านี้”
“จริงหรือนี่?เอ่, จริงด้วย, มันจางลงแล้ว” ฟงโฉ่วตกใจ ตาแดงตาน้ำเงินของถังเทียนจางลงจริงๆ ถ้าเขาไม่สนใจสังเกตตรงๆ เขาคงบอกไม่ได้
อาการตกใจของฟงโฉ่วทำให้ถังเทียนมีความสุขมากขึ้น “หึหึ, หนุ่มชาวฟ้าแข็งแกร่งขนาดนั้นอยู่แล้ว”
จากนั้นเขาทำท่าลึกลับทันที “นอกจากนี้ ข้ายังมีการค้นพบที่ทรงพลังมากๆ”
“ค้นพบอะไร?” ฟงโฉ่วตะลึง
“หึหึ,ยังบอกไม่ได้” ถังเทียนส่ายหัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง“ข้าตั้งใจจะใช้สร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่”
“ยา ย้า ย้า ย้า!”
ถังเทียนก้มหัวลง หยาหยากำลังจับขากางเกงเขาและลืมตากลมโต เบื้องหลังมันตามมาด้วยแพะภูเขาบรอนซ์เต่าบรอนซ์และกระรอกบรอนซ์
หยาหยามีความเปลี่ยนแปลงไปมาก เกราะบนตัวของมันมีความสว่างสดใสกับธนูเล็กบนหลังของมัน ที่บั้นท้ายของมันมีธงเล็กที่มีหมอกคลุมเครือมองดูไม่ชัด
อสูรหุ่นกลทั้งสามได้รับบาดเจ็บมาต่างๆกันเมื่อครั้งล่าสุด และเซรีนจัดการสร้างปรับแต่งใหม่จนแข็งแกร่งกว่าเดิม เซรีนจอมเฮียบตอนนี้มั่งคั่งขึ้นมากและตัดสินใจสร้างให้อสูรทั้งสามมีความสามารถมากยิ่งขึ้นจึงสร้างมันขึ้นเป็นหุ่นกลระดับสูงล้ำ
เมื่อถึงตอนนี้นางมีวิชาจักรกลก้าวหน้ามากมายและเอามาใช้ในร่างหุ่นกลพวกนี้ เซรีนสร้างอย่างประณีตตามนิสัยของนาง หลังจากนางสร้างเสร็จแล้ว นางก็โยนพวกมันไว้ข้างๆไม่มีเวลามายุ่งกับพวกมันอีก ดังนั้นเจ้าสามตัวนี้จึงติดตามหยาหยา
หยาหยาทำหน้าตาน่าสงสารพลางชี้มือชี้ไม้ของมัน
“เจ้าก็ต้องการสู้ด้วยเหรอ?” ถังเทียนนั่งยองๆ จ้องมองด้วยความประหลาดใจ
หยาหยาเชิดหัวขนาดเท่าหัวไก่ของมันยืดอกและทำท่าทางดูเข้มแข็งและสหายทั้งสามของมันก็ยืนเข้าแถวด้วยกัน ทั้งหมดเชิดหัวตรง
ถังเทียนส่ายศีรษะ “ครั้งนี้ศัตรูแข็งแกร่งมากเกินไป พวกเจ้าเล่นอยู่ในนี้ดีกว่า”
หยาหยาเริ่มน้ำตาคลอเบ้า
ถังเทียนกระทืบเท้า แต่เมื่อคิดถึงความยากลำบากของการต่อสู้ที่จะมาถึง เขาไม่มีเวลาดูแลพวกมัน เขาใจแข็งและสั่นศีรษะยืนยัน “ไม่มีทาง พวกเจ้าอยู่ในนี้ก็ดีแล้ว”
หยาหยาเริ่มตัวสั่นและร้องไห้น้ำตาร่วง
ถังเทียนไม่ต้องการเห็นมันอีกต่อไป จึงตัดสินใจหลบออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าพวกสวะตัวน้อยต้องการจะร่วมต่อสู้ด้วยอย่าทำให้คนเสียหน้าเลยน่า พวกเจ้ายังอ่อนแอเกินไป พวกเจ้าออกไปก็มีแต่จะถูกฆ่า” ม่านควันเยาะเย้ย
หยาหยาหันควั่บ น้ำตาของมันเหือดแห้งทันที และรังสีฆ่าฟันปรากฏ
สหายทั้งสามที่อยู่ด้านหลังของมันก็หันหัวมาจ้องมองควัน
ม่านควันนั้นไม่สนใจพวกมัน และยิ้มอย่างมีความสุข “จะจ้องหน้าข้าทำอะไร? พวกเจ้าอยู่ที่นี่ดีกว่า จะได้ไม่ขวางมือขวางเท้าคนที่เหลือ เจ้าพวกของเด็กเล่น สนามรบไม่ใช่สถานที่ของพวกเจ้า”
ดวงตาของหยาหยากระพริบวูบวาบ ฮูลา.. มันพาสหายทั้งสามเข้ามาล้อมม่านควัน
“ฮึ่ม, พวกเจ้าต้องการลงมือกับข้าหรือ? หลงตัวเองเสียจริงนะ” ม่านควันคำราม
หยาหยาโกรธจนดวงตาน้อยๆ ของมันเหมือนกับสัตว์ป่า มันคือตัวอ่อนขุนพลวิญญาณที่มีพลังระดับต่ำสุด หลังจากได้รับการบำรุงอย่างต่อเนื่องมันรู้สึกว่าร่างของมันไม่เหมือนกับในอดีตแต่ในเวลานี้มันลืมทุกอย่าง สัญชาตญาณครอบงำเหนือร่างมัน
มันใช้วิธีที่มันเคยทำในอดีตอ้าปากและเริ่มดูดควันดำอย่างสุดกำลัง
สหายมันอีกตัวตะลึง
ม่านควันนั้นแค่นเสียงสะใจ“อย่าเสียพลังงานของเจ้าเลย ตัวอ่อนขุนพลวิญญาณ ถ้าข้าไม่ถูกผนึกไว้ จะฆ่าเจ้าได้ก็เหมือนบี้มดตัวหนึ่ง”
หยาหยาไม่สนใจม่านควัน มันยังคงดูดอย่างต่อเนื่อง
แต่ม่านควันดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากการดูดของมันไม่มีอาการสนองตอบ นี่ทำให้หยาหยายิ่งโกรธมากขึ้นและวิ่งเข้าหาม่านควัน
“...เจ้า”
เสียงพึมพำด้วยความโกรธดังออกมาจากม่านควันนั้น
ฟงโฉ่วและหุ่นกลอีกสามตะลึงไปหมด
ถังเทียนไม่รู้ว่าการปฏิเสธหยาหยาจะทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนั้น ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่การศึกที่กำลังจะเริ่มต้น
เขาเดินออกมานอกห้องและก็ต้องตระหนักว่าทุกคนรอเขาอยู่แล้วเขาหัวเราะทันที “ฮ่าฮ่าฮ่า ทุกคนไวกันดีแท้”
ไม่มีใครหัวเราะ ไม่มีใครพูด ทั่วทั้งเผ่ารู้สึกถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ ทุกคนในเผ่าออกมาจากบ้าน กล่าวคำอำลาเพื่อสนับสนุนกองทัพ
พวกเขาเข้าใจชัดมาก สงครามที่ถังเทียนและพวกจะเข้าไปเผชิญ
สถานะของหกองครักษ์ตระกูลถูแพร่กระจายอยู่ในกลุ่มดาวหมาป่านานแล้ว
พวกเขาทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดและดูจริงจังในหัวใจของพวกเขา หกองครักษ์ตระกูลถูคือนักสู้ที่ทรงพลังสูงส่ง ต่อให้เป็นกลุ่มอิทธิพลทั้งสามของกลุ่มดาวหมาป่ายังกลายเป็นเด็กน้อยเมื่อเทียบกับหกองครักษ์ตระกูลถู
ในกองทัพ หลายคนเป็นลูกและสามีและในกลุ่มผู้คนก็เริ่มร้องไห้
ทหารบางคนตาแดง เพราะพวกเขารู้ว่าโอกาสชนะของพวกเขาเลือนลางจริงๆ
แต่ในเวลาอันรวดเร็วผู้อาวุโสของเผ่าก็เริ่มตะโกนให้กำลังใจ
บุรุษทุกคนที่มาจากทะเลทราย ล้วนคุ้นเคยกับสงครามและการรบ ถ้าพวกเขาชนะศึกนี้ก็หมายความว่าพวกเขาชนะทุกอย่าง
กำลังใจของกองทัพไม่ได้ตก แต่เริ่มเพิ่มขึ้น
ปิงประหลาดใจ เขาเริ่มคิด
นั่นคือชาติพันธุ์นักรบที่น่าสนใจ...