MDB ตอนที่ 239 มาคุยกันเถอะ
เหอเฉียนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด แม้เสนาบดีหยู่จะไม่เต็มใจยอมรับ แต่เขาก็ไม่สามารถขัดขืนได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยอมจำนนและเดินออกต่อไป
เมื่อออกไปข้างนอก เสนาบดีหยู่ดูเศร้าหมองขณะที่เขารีบไปวัดมังกรหยก
ภายในห้องโถง เหอเฉียนก้มหน้าลงด้วยความคิดลึกล้ำ
คำพูดของเขาก่อนหน้านี้ค่อนข้างหุนหันพลันแล่น แต่เหอเฉียนรู้ดีว่าพวกเขาไม่สามารถปล่อยให้เทพมังกรมาขวางทางเขาได้ และเหอเฉียนก็ไม่ได้พูดอะไรผิด
ราชวงศ์ของมังกรหยกได้รับผลประโยชน์จากเทพมังกรรวมถึงการคุ้มครอง แต่เทพมังกรได้รับชีวิตขององค์หญิงสี่พระองค์เป็นการตอบแทน ดังนั้นนี่คือการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน
แล้วเหตุใดพวกเขาจึงควรเป็นผู้แก้ปัญหาของเทพมังกร
หรือนี่คือขอบเขตของสิ่งที่เรียกว่าเทพมังกรที่อยู่ยงคงกระพันจะทำได้?
ในฐานะจักรพรรดิ เหอเฉียนต้องมุ่งเน้นไปที่ภาพรวมและละทิ้งสิ่งที่เขาสามารถจะยอมสูญเสียไปได้ ยกตัวอย่างเช่นลูกสาวของเขา แม้ว่าเหอหยู่จะเป็นลูกสุดที่รักของเขา แต่ตั้งแต่เธอถูกคำสาปวิญญาณสัตว์ป่า เหอเฉียนก็รู้ว่านี่คือชะตากรรมของเธอ
ถึงกระนั้น เขาก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ได้ และทำได้เพียงปล่อยให้มันเกิดขึ้น
ท้ายที่สุด คำสาปวิญญาณมังกรหยกนี้เป็นสัญญาที่บรรพบุรุษของเขาทำกับเทพมังกร ในแต่ละรุ่น องค์หญิงในราชวงศ์หนึ่งพระองค์จะต้องถูกสังเวยให้กับเทพมังกร และฝ่ายหลังจะมอบมังกรหยกให้กับราชวงศ์และรับรองความปลอดภัยของอาณาจักร
อย่างไรก็ตาม เหอเฉียนไม่ได้ตาบอดหรือเป็นคนโง่ ถึงแม้ว่า เทพมังกรได้มอบมังกรหยกให้พวกเขา แต่มันได้ยับยั้งพลังพันธสัญญาโลหิตของสัตว์วิเศษเอาไว้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากสัตว์วิเศษตัวนี้ต้องต่อสู้กับเทพมังกรในสักวันหนึ่ง อาจเกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับเป็นผลให้พันธสัญญาโลหิตได้รับความเสียหาย และสูญเสียการควบคุมไป
สำหรับการรักษาอาณาจักรมังกรหยกให้ปลอดภัย นั่นเป็นเพียงเรื่องโกหก เมื่อไรก็ตามที่อาณาจักรมีปัญหา พวกเขาต้องแก้ไขด้วยตัวเองในขณะที่เทพมังกรอยู่ในวิหารของเขาและเพลิดเพลินกับเครื่องสักการะ นอกจากมอบมังกรหยกให้พวกเขาแล้ว มันไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย
ลึก ๆ แล้ว เหอเฉียนค่อนข้างจะรำคาญ อย่างไรก็ตาม เทพมังกรมีพลังมากเกินไปและมันได้ควบคุมมังกรหยก ดังนั้นแม้ว่าเหอเฉียนจะไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
แต่ตอนนี้ ความรู้สึกที่เฉียบแหลมของเหอเฉียนบอกเขาว่าตอนนี้พวกเขามีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ
และนั่นคือหลินจินแห่งเมืองเมเปิ้ล
เมื่อหลินจินมาถึงครั้งแรก เหอเฉียนก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาอยู่แล้ว แต่ก็ไม่สนใจเขามากนัก
เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมา หลู่ปิ่นได้นำแพทย์ที่ 'มีชื่อเสียง' มานับไม่ถ้วน แต่เกือบทุกคนไม่สามารถทำอะไรกับคำสาปของเหอหยู่ได้ มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเธอได้ แต่ก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
ถึงกระนั้น หลินจิน คนนี้ก็สามารถให้ผลลัพธ์ทันทีในการรักษาครั้งแรกและสยบคำสาปวิญญาณสัตว์ป่าได้ แม้แต่เหอเฉียนก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดผลลัพธ์นี้ขึ้น
ในคืนนั้น เทพมังกรได้ส่งร่างจำแลงมา แต่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก แม้ว่าอีกฝ่ายจะปกปิดตัวตนอย่างดี แต่เหอเฉียนก็รู้เรื่องนี้ และจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็เริ่มให้ความสนใจกับหลินจินแห่งเมืองเมเปิ้ลมากขึ้น
เขาไม่เพียงแค่ส่งเสนาบดีหยู่ไปสอบสวนหลินจิน ในความเป็นจริง เหอเฉียนให้ความสนใจกับหลินจินมากกว่าที่เขาแสดงออกมาภายนอก นอกจากนี้ จากข้อมูลที่เขาได้รับมา ทำให้เขารู้จักหลินจินมากกว่าที่ใคร ๆ รู้จักเสียอีก
“องค์รักษ์!” เหอเฉียนเรียกและหนึ่งในทหารรักษาพระองค์รีบเข้ามา
ทหารเหล่านี้เป็นคนสนิทของเหอเฉียนทั้งหมด
“ฝ่าบาท ทรงรับสั่งเรื่องใดพ่ะย่ะค่ะ?” องครักษ์ชั้นในคุกเข่า
เหอเฉียนกำลังถือบางอย่างอยู่ในมือ เมื่อมองใกล้ ๆ มันคือแหวนทองคำ
“ตอนนี้แม่ทัพหลู่อยู่ในห้องขังแล้วใช่ไหม? ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” เหอเฉียนถาม
ทหารพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ตอนนี้ทุกอย่างปกติดี แต่ท่านแม่ทัพหลู่ทิ้งอาหารที่ส่งไปทั้งหมด และเขาไม่ได้นอนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เขายังดื้อรั้นอย่างที่คิดจริง ๆ ช่างมันเถอะ ในเมื่อตระกูลหลู่ได้ช่วยเหลืออาณาจักรมาตลอด ข้าจะไปพบเขา” เมื่อพูดแล้ว เหอเฉียนก็จับแหวนทองคำแน่นและลุกขึ้น “สั่งให้องครักษ์และแพทย์ของพระราชวังอยู่ที่นี่ หากไม่มีคำสั่งของข้า ก็ห้ามให้ใครก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักขององค์หญิงหกเด็ดขาด ผู้ที่ไม่เชื่อฟัง พวกเจ้าสามารถฆ่าพวกเขาได้ทันที”
คุกในพระราชวัง ที่นี่เป็นสถานที่คุมขังสมาชิกราชวงศ์และขุนนางที่ทำผิด แม้ว่าข้างในจะไม่ได้มืดสนิท แต่สถานที่นี้ก็ยังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ต้องผ่านประตูเหล็กหนักสามบานเพื่อเข้าไป
เหอเฉียนเข้ามาอย่างสุขุมรอบคอบโดยมีองค์รักษ์ติดตามเพียงไม่กี่นาย เขามุ่งตรงไปที่ห้องขังของหลู่ปิ่น
ตอนนี้หลู่ปิ่นกำลังนั่งอยู่อย่างสงบ แต่ข้างในรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก จากสภาพองค์หญิงหกที่เขาเห็นเมื่อวานนี้ หลู่ปิ่นรู้ว่าโอกาสรอดมีน้อยมาก พูดตามตรง เมื่อคน ๆ หนึ่งแสดงสัญญาณแห่งความตาย หลู่ปิ่นรู้ว่าคนเหล่านั้นไม่อาจรอดพ้นยามค่ำคืนและรับแสงอรุณได้ นั่นหมายความว่าองค์หญิงหกน่าจะจากไปเมื่อคืนนี้แล้ว
ความเป็นไปได้นี้ทำให้เขาท้อใจ แต่ก็ยังมีแสงแห่งความหวัง
และมันคือเข็มทองคำที่หลินจินมอบให้เขาเมื่อวาน
จากที่หลินจินได้บอกเขาว่าหากมีอะไรเกิดขึ้น ก็ให้ทิ้งเข็มทองไว้ในที่ที่ใกล้กับเจ้าหญิงที่สุด หลู่ปิ่นปฏิบัติตามแม้ว่าเขาจะอยากรู้อยากเห็น เขาสงสัยว่าเข็มทองเล็ก ๆ จะทำอะไรได้? เป็นไปได้ไหมที่จะป้องกันไม่ให้องค์หญิงหกตาย? แม้ว่านั่นจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่เขาก็ทำได้เพียงอธิษฐานว่าเข็มนี้จะช่วยชีวิตองค์หญิงหกได้
ขณะที่เขากำลังรออย่างใจจดใจจ่อจนไม่ยอมหลับใหล จักรพรรดิเหอเฉียนก็มาถึง
เนื่องจากเป็นการเยือนอย่างลับ ๆ จึงไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หลู่ปิ่นเห็นเพียงทหารองครักษ์หลายคนเดินนำหน้าไปก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นเหอเฉียน
และคนที่เขาไม่พอใจมากที่สุดในตอนนี้ก็คือจักรพรรดิเหอเฉียน
หลู่ปิ่นกัดฟันเมื่อเห็นชายคนนั้น ผู้คุมคนหนึ่งตำหนิอย่างเงียบ ๆ เพื่อให้หลู่ปิ่นแสดงความเคารพ แต่หลู่ปิ่นเพิกเฉยต่อพวกเขา
“เอาล่ะ ทุกคนออกไปรอข้างนอก อย่าเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้า” เหอเฉียนโบกมือและทหารชั้นในก็โค้งคำนับก่อนที่จะถอยไป
ตอนนี้เหอเฉียนถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังกับหลู่ปิ่น
เฮ่อเฉียนรู้ว่าทำไมหลู่ปิ่นถึงกลายเป็นแบบนี้ ย้อนกลับไปในตอนที่หลู่ปิ่นยังเป็นแม่ทัพของอาณาจักรมังกรหยก เขาเลือกที่จะลาออกเมื่อถึงจุดสูงสุดในอาชีพของเขา แม้ว่าจะมีเหตุผลรองรับ แต่อารมณ์ของเขาก็เป็นสาเหตุหลัก
ดังนั้นเพื่อลดความฉุนเฉียวของอีกฝ่าย เหอเฉียนจึงกล่าวว่า “หยู่เอ๋อร์ยังไม่ตาย”
แน่นอนว่า สีหน้าของหลู่ปิ่นสั่นคลอนและเขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่านทรงฟื้นแล้วหรือ?”
‘นายท่าน!’
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหอเฉียนส่ายหัว “เธอยังไม่ฟื้น แต่ดูจากอาการของเธอในตอนนี้น่าจะพ้นขีดอันตรายแล้ว”
หลู่ปิ่นกังวลอีกครั้ง “เหอเฉียน ถ้าท่านยังคิดว่าเธอเป็นลูกสาวของท่าน ก็ปล่อยเธอซะ ข้าถามจริง ๆ เถอะ ว่าบัลลังก์กับลูกสาวของท่าน อะไรมันสำคัญกว่ากัน!?”
เหอเฉียนเอามือไพล่หลังถอนหายใจ “หลู่ปิ่น ถ้าข้าเลือกได้ ข้าขอแลกบัลลังก์กับหยู่เอ๋อร์ดีกว่า แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งในโลกนี้จะเป็นไปอย่างที่เราต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะประมุขของประเทศ แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเต็มไปด้วยอำนาจ แต่ก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่น่าพึงพอใจ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของข้า”
จากนั้น เหอเฉียนกล่าวเสริมว่า “หลู่ปิ่น การที่เจ้าเรียกหยูเอ๋อร์ว่า ‘นายท่าน’ นั่นหมายความว่าเจ้ายังไม่ลืมสิ่งที่สนมกู่มอบหมายให้เจ้าใช่หรือไม่? สนมกู่เป็นผู้มีพระคุณของเจ้า และตั้งแต่นั้นมา เจ้าก็เรียกหยู่เอ๋อร์ว่านายท่านมาตลอด บางครั้งเจ้าก็ดูเหมือนพ่อของหยู่เอ๋อร์มากกว่า ในขณะที่ข้าไม่สมควรได้รับสิทธิ์นั้น”
หลู่ปิ่นเงียบก่อนจะส่ายหัว “ในตอนนั้นพระสนมกู่มองแต่ท่าน และเต็มใจที่จะเข้าไปในกำแพงวังเพื่อท่าน ถึงท่านหญิงจะเสียชีวิตภายหลังให้กำเนิดเหอหยู่ แต่มันไม่ใช่ความผิดของท่าน
อย่างไรก็ตาม การที่ท่านไม่ได้ปกป้ององค์หญิงหก ท่านบอกได้หรือไม่ว่าสิ่งนี้ขัดต่อความตั้งใจของท่านหญิงหรือไม่?
ฮ่า ๆๆ ใครบ้างที่ไม่เหมือนเดิม? แม้ว่าข้าจะเสียใจมากมาย แต่ความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าคือการมอบพระสนมกู่ให้กับท่าน!!”
ความเกลียดชังได้กระจายไปทั่วห้องขังหนา
หลังจากนั้นไม่นาน เหอเฉียนก็พูดว่า “อย่าพูดถึงอดีตอีกเลย ข้ามาที่นี่เพื่อคุยกับเจ้า เรามาพูดถึงผู้ประเมินหลินกันเถอะ”