ตอนที่ 10-20 ผู้มาเยือน
หนึ่งในหัวเมืองทางภูมิภาคเหนือของดินแดนอนารยชน อังเก้เกทส์และบูนแต่ละคนยืนกวัดแกว่งขวานยักษ์อยู่บนกำแพงเมืองเหมือนเทพเจ้าสงคราม ซากศพกองอยู่บนพื้นรายรอบตัวเขาคราบเลือดเปรอะเปื้อนกำแพงและพื้นเบื้องล่าง
ทหารที่ใกล้เคียงพากันหวาดกลัวกันหมด
พวกเขาไม่กล้าสู้ตอบโต้อีกต่อไป ทุกคนยอมวางอาวุธ
“จากทั้งหมดเจ็ดแคว้น มียอมสวามิภักดิ์ห้าแคว้น แคว้นก่อนๆ นั้นก็ยึดได้ง่าย เจ้าคือที่สุดท้ายแล้ว” เกทส์คว้าตัวหัวหน้าทหารรักษาเมืองเขาถลึงตาจ้องมองอย่างน่าหวาดหวั่น ทำให้นายกองผู้นั้นตัวสั่น “แม่มันเอ๊ย, ทำไมต้องตอบโต้ด้วย ในเมื่อเจ้าไม่มีพลังพอ? นั่นก็เท่ากับสั่งทหารให้ฆ่าตัวตายไม่ใช่หรือหือ?”
นั่นเท่ากับฆ่าตัวตายแน่นอน
ทั้งสองฝ่ายมีระดับพลังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เกทส์และคนอื่นๆฆ่าศัตรูไปเป็นจำนวนมากด้วยมือตนเอง
นายกองที่ถูกยกลอยขึ้นในอากาศพูดอย่างหวาดหวั่น “ใต้เท้า, นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวกับข้า มันเป็นคำสั่งของเจ้าแคว้นของเรา”
“น้องห้า” อังเก้หัวเราะ “พอเถอะปล่อยเขาลงซะ พี่ใหญ่และคนอื่นๆ มารวมตัวอยู่ข้างล่างแล้ว พวกเขาเตรียมจะดื่มเหล้าฉลองชัยกันแล้ว หลังจากยึดเมืองใหญ่นี้ได้ เมื่อเราเพิ่มกับอีกห้าแคว้นที่ร่วมสวามิภักดิ์และอีกหนึ่งแคว้นที่ยึดได้นั่นก็หมายความว่าภารกิจของเราเสร็จสิ้นแล้ว!”
เกทส์และบูนเริ่มหัวเราะเสียงดังทั้งคู่
ในช่วงเวลาสั้นๆยี่สิบวันดินแดนแปดแคว้นทั้งหมดซึ่งมีชายแดนติดกับไพรทมิฬได้ก่อตั้งรวมกันเป็นราชอาณาจักร อาณาจักรบาลุค อาณาจักรบาลุคมีประชาชนเกินร้อยล้านคนอยู่ภายใต้อาณัติและกินพื้นที่หนึ่งในสี่ของดินแดนอนารยชน
แม้ว่าผู้คนที่นี่จะยากจน แต่พวกเขาก็มีความห้าวหาญดุร้ายมาก
ในพื้นที่ซึ่งร่ำรวยมากกว่าของดินแดนอนารยชนศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงายังคงควบคุมอยู่ จากนี้เป็นต้นไป.. ดินแดนอนารยชนจะถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มอิทธิพลใหญ่
ลินลี่ย์อัจฉริยะหมายเลขหนึ่งในประวัติศาสตร์ทวีปยูลานจะแต่งงานกับแม่หญิงเดเลียแห่งตระกูลเลโอนแห่งทวีปยูลาน! วันแต่งงานของพวกเขาจะเป็นวันเดียวกับวันสถาปนาราชอาณาจักรบาลุค
กำหนดวันก็คือวันที่ 21 กรกฎาคม ศักราชยูลานที่ 10010
สถานที่– ว่าที่เมืองหลวงของอาณาจักร – พระนครบาลุค (หรือเมืองแบล็คเดิร์ทเดิม)
ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วดินแดนอนารยชนราวกับเกิดพายุทอร์นาโด และขณะเดียวกันก็ส่งผลต่อสาธารณชนในทั่วทวีปยูลาน จดหมายเชิญฉบับแล้วฉบับเล่าถูกส่งไปยังที่ต่างๆทั่วทวีปยูลาน.. สายตานับไม่ถ้วนจับตามองมาที่ดินแดนอนารยชน
ในเมืองหลวงของจักรวรรดิยูลาน หอประชุมตระกูลเลโอน
ว่ากันในเรื่องสถานะ คนที่มีสถานะสูงที่สุดในตระกูลเลโอนไม่ใช่ดิลยาเลโอน แต่เป็นดิกซี่ เลโอน!
ที่สำคัญที่สุดดิ๊กซี่จะเป็นประมุขตระกูลคนต่อไป แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า..เขาเป็นศิษย์ส่วนตัวของเสาหลักประจำจักรวรรดิยูลาน มหานักพรต มหานักพรตเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ทรงพลังที่สุดในสังคมมนุษย์ ในใจของกลุ่มผู้คนนับไม่ถ้วนบางทีจะมีแต่เทพสงครามเท่านั้นซึ่งเทียบเท่ากับมหานักพรต
ยอดฝีมือที่ทรงพลังอย่างน่าประหลาดถือครองพลังของเทพก่อนที่ปฏิทินยูลานจะเริ่มนับเสียอีก ผู้คนส่วนใหญ่มากมายที่มหานักพรตยอมรับเป็นศิษย์ส่วนตัวมักจะกลายเป็นเซียนจอมเวทได้เสมอ!
ศิษย์ส่วนตัวของมหานักพรตจะต้องมีอนาคตเป็นเซียนจอมเวท! และเป็นเซียนจอมเวทสองสายธาตุเท่านั้น
ดิลยาเลโอนขมวดคิ้วขณะยื่นจดหมายเชิญให้ดิ๊กซี่บุตรชายของเขา
หลังของเขาตั้งตรงและผมทองของเขาเหยียดยาวสลวย เขายังคงมีกลิ่นอายเย็นชาและซ่อนความสำเร็จไว้ในแขนเสื้อ นี่คือสิ่งที่เขาเป็นมา อย่างไรก็ตามดิ๊กซี่หลังจากอ่านจดหมายแล้วรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็นปรากฏที่ริมฝีปากเขา “ลินลี่ย์ไม่ทำให้น้องสาวข้าผิดหวังแม้แต่น้อย”
“ดิ๊กซี่ เจ้าคิดว่าเราควรจะทำอย่างไร?” ดิลยา เลโอนถาม
ดิ๊กซี่ชำเลืองมองบิดาของเขาจากนั้นขมวดคิ้ว “ท่านหมายความว่ายังไง เราควรจะทำยังไง? น้องสาวข้าในที่สุดแล้วก็จะได้มีความสุขจากสิ่งที่นางตามหามานานเกินกว่าสิบปี แน่นอนว่าเราก็ต้องฉลองกันอยู่แล้ว”
ดิลยาเลโอนและภรรยาลังเลเล็กน้อย
“ท่านพ่อ, ท่านแม่ ข้ารู้ว่าท่านทั้งสองวางแผนอะไรไว้” ดิ๊กซี่พูดอย่างสงบ “พวกท่านต้องเปิดวิสัยทัศน์ให้กว้างไกลเกินกว่าข้อจำกัดโลกๆ ผู้ควบคุมโชคชะตาของทวีปยูลานที่แท้จริงก็ยังเป็นคนอย่างเทพสงคราม,มหานักพรตและเซียนอีกมากมาย”
ดิ๊กซี่ต้องยอมรับว่าบิดามารดาของเขาวิสัยทัศน์ค่อนข้างคับแคบ
“ดิ๊กซี่ลูกรัก! ไม่ว่าลินลี่ย์จะทรงอำนาจมากมายขนาดไหน เป็นไปได้ยังไงที่เขาจะมีอิทธิพลต่อจักรวรรดิยูลาน?” ดิลยาถอนหายใจ “ที่สำคัญรากเหง้าของตระกูลเราอยู่ที่จักรวรรดิยูลาน”
ดิ๊กซี่ชำเลืองมองบิดาของเขา “ท่านพ่อ,ข้าขอบอกอะไรบางอย่างให้ท่านทราบ ท่านประเมินลินลี่ย์ต่ำเกินไปแล้ว”
“โอว? แล้วยังไงล่ะ?” ดิลยา เลโอนประหลาดใจเล็กน้อย
ดิ๊กซี่พูดอย่างจริงจัง “ความจริง ครั้งนี้ก่อนที่ข้าจะกลับมา อาจารย์ได้มอบหมายคำสั่งข้า”
“อาจารย์? อ่า!!!ท่านมหานักพรต!!” ตาของดิลยา เลโอนโตทันที สวรรค์โปรด, คนธรรมดาอย่างพวกเขาอาจไม่เคยได้พบมหานักพรตมาตลอดชีวิต แต่ตอนนี้ท่านมหานักพรตกลับมอบหมายคำสั่งให้บุตรชายของเขาเป็นการส่วนตัว
ทันใดนั้นพวกเขารู้สึกเป็นเกียรติรุ่งเรืองเกินจะเปรียบ
“มหานักพรตสั่งข้าและสหายร่วมสำนักอีกสองคนให้ไปยังแดนอนารยชนเป็นตัวแทนท่านร่วมแสดงความยินดีกับลินลี่ย์” ดิ๊กซี่พูดอย่างจริงจัง
ดิ๊กซี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมคนระดับมหานักพรตถึงต้องแสดงไมตรีกับลินลี่ย์? โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ดิ๊กซี่รู้ว่า...เทพสงครามและมหานักพรตอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกัน ลินลี่ย์มีสัมพันธ์ที่ดีกับเทพสงคราม พูดกันตามหลักเหตุผล มหานักพรตก็ควรจะไม่มีสัมพันธ์ที่ดีกับลินลี่ย์นัก
แต่ดูเหมือนว่า...
มหานักพรตกลับแสดงความปรารถนาเป็นมิตรกับลินลี่ย์
“แม่น้ำแห่งทวีปยูลานลึกเกินจะหยั่งได้จริงๆ” ดิ๊กซี่ถอนหายใจกับตัวเอง
ณเมืองหลวงจักรวรรดิยูลาน ตระกูลวอลช์
“ใต้เท้า, นี่คือจดหมายเชิญจากท่านลินลี่ย์แห่งแดนอนารยชน” พ่อบ้านส่งจดหมายให้จอร์จด้วยความเคารพ เมื่อเวลานี้จอร์จได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขตระกูลวอลช์แล้ว
จอร์จรับจดหมายมาดู
“ฮ่าฮ่า..น้องสาม, น้องสาม,ข้าไม่คาดเลยว่าเจ้าจะมาลงเอยกับเดเลีย” จอร์จหัวเราะลั่นขณะอ่านจดหมาย
“โลกเล่นตลกกับพวกเราจริงๆ” จอร์จยังคงจำได้เมื่อตอนทีพวกเขาเข้าศึกษาในสถานบันเอินส์ครั้งแรก เดเลียมักจะแอบมองดูลินลี่ย์บ่อยๆ แต่เมื่อจอร์จเห็นอลิซและลินลี่ย์เริ่มคบหากัน เขาคิดว่าลินลี่ย์กับเดเลียคงจะไม่มีวันเข้ากันได้
คาดไม่ถึงเลยว่าในที่สุดแล้วหลังจากสิบปีผ่านไปวงโคจรก็กลับมาบรรจบกันอีกครั้ง
ลินลี่ย์กับเดเลียได้อยู่ด้วยกัน
ผู้นำองค์กรทั้งหมดในทวีปยูลานซึ่งมีความสัมพันธ์กับลินลี่ย์หรือผู้มีอิทธิพลอำนาจล้วนได้รับจดหมายเชิญทั้งหมด ที่สำคัญไม่ใช่แค่พิธีอภิเษกสมรสเท่านั้น แต่เป็นการสถาปนาราชอาณาจักรอีกด้วยจึงต้องเชิญผู้นำองค์กรต่างๆ ด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่ลินลี่ย์เข้ามาในเมืองแบล็คเดิร์ทเมืองแบล็คเดิร์ทก็เริ่มมีการก่อสร้างมากมาย ตอนนี้ เมืองแบล็คเดิร์ทแม้จะมีพื้นที่เล็กน้อยแต่ก็รุ่งเรืองมั่งคั่งมาก แม้แต่พื้นที่นอกเมืองแบล็คเดิร์ทก็เริ่มขยายขนาดการก่อสร้างออกไปด้วย
ลินลี่ย์เชื้อเชิญแขกเหรื่อมากมาย ในบรรดาคนเหล่านั้นกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงเมืองแบล็คเดิร์ทก็คือวอร์ตัน,นีน่า, ลุงฮิลแมนและปู่แอชลี่ย์
จวนเจ้าเมืองบรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
“พี่ใหญ่, นีน่ากับข้าตัดสินใจแล้วว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะไม่ไปไหนแล้ว เราจะพักอยู่ที่นี่ในที่ของท่านนี่แหละ” วอร์ตันหัวเราะลั่น “พี่ใหญ่ท่านทำงานอย่างหนักสร้างดินแดนอาณาจักรของตนเองได้ จะให้เราใช้ชีวิตหรูหราสะดวกสบายอยู่ในเมืองหลวงได้ยังไง? เรารู้สึกอายถ้าจะทำอย่างนั้น!”
ลินลี่ย์แอบปลื้มใจ
ความจริงเขาไม่ค่อยมีเวลาจัดการราชอาณาจักร เวลาส่วนใหญ่นี้เขาใช้กับการฝึกฝน
“วอร์ตัน, ข้ารอให้เจ้าพูดคำนี้มานานแล้ว” ลินลี่ย์หัวเราะ
ลินลี่ย์มองดูท้องของนีน่าทันที จากนั้นมองวอร์ตันอย่างสงสัย “วอร์ตัน,ดูเหมือนท้องของนีน่าจะโตขึ้นเล็กน้อย หรือว่าจะ..”
นีน่าและวอร์ตันมองหน้ากัน,จากนั้นเริ่มหัวเราะ ลุงฮิลแมนที่อยู่ใกล้ๆ ก็เริ่มหัวเราะเช่นกัน “ลินลี่ย์,ความจริงเจ้าก็เป็นยอดฝีมือระดับเซียนแล้ว ความรู้ของเจ้าน่าทึ่งมากจริงๆ ใช่แล้ว องค์หญิงนีน่าตั้งครรภ์แล้ว ลินลี่ย์เรื่องแบบนี้เจ้ายังล้าหลังอยู่เล็กน้อย ในอนาคตเจ้ากับเดเลียต้องขยันกันอย่างหนักแล้ว”
ลินลี่ย์กับเดเลียมองหน้ากันไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“น้องนีน่า เจ้าได้ตั้งชื่อลูกไว้หรือยัง?” เดเลียถาม
นีน่าพยักหน้า “ข้าตั้งชื่อไว้แล้วไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายหรือหญิง เราจะตั้งชื่อเขาว่าซีน่า”
“ซีน่า” ลินลี่ย์มองดูหน้าน้องชาย “ชื่อนี้มีความหมายพิเศษอะไรไหม?” วอร์ตันเริ่มหัวเราะลั่นทันที และมองหน้านีน่าอย่างรู้กัน จากนั้นพูดเป็นนัยกับลินลี่ย์ “นี่เป็นความลับระหว่างข้ากับนีน่า ข้าบอกท่านไม่ได้”
ลินลี่ย์เอามือกุมศีรษะ “อะไรนะ? นี่มีความลับกับข้าที่เป็นพี่ชายเจ้าอีกหรือ?”
ทุกคนในห้องโถงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พอถึงกลางครันลินลี่ย์ฉุดดึงวอร์ตันไปเดินใกล้ๆสวนดอกไม้ และสองพี่น้องเดินคุยกันส่วนตัว
“พี่ใหญ่, มีอะไร?” วอร์ตันรอจนพวกเขาเข้าไปในในสวนก่อน แล้วจึงถาม
ลินลี่ย์มองหน้าน้องชายของเขา เขาถามหยั่งเชิง “วอร์ตัน ข้ามักจะหวังว่าเจ้าจะตัดสินใจมาที่นี่และอยู่กับข้า ตอนนี้เจ้าก็มาที่นี่แล้ว ข้ามีความสุขจริงๆ แต่.. ในใจของนีน่า นางจะมีความสุขจริงๆ หรือเปล่า? อย่าบังคับให้นางต้องทำอะไรที่นางไม่ต้องการทำดีกว่า”
วอร์ตันพยักหน้า “พี่ใหญ่, นีน่าพูดกับข้าไว้นานแล้วนางตัดสินใจมาพร้อมกับข้า และในอนาคตเมื่อนางมีเวลาว่างนางจะกลับไปเยี่ยมเป็นครั้งคราว
“นั่นเป็นวิธีที่ข้าเห็นด้วย”
ลินลี่ย์หัวเราะขณะมองวอร์ตัน “วอร์ตัน! หลังจากราชอาณาจักรบาลุคก่อตั้งแล้วและข้ากับเดเลียแต่งงานกัน ข้าตั้งใจจะราชาภิเษกให้เจ้าเป็นราชาของราชอาณาจักรบาลุค” ลินลี่ย์บอกน้องชายของเขาล่วงหน้า เพื่อให้เขาเตรียมตัวเตรียมใจก่อน
วอร์ตันตกใจ “พระราชา?”
“ข้าตั้งชื่อราชอาณาจักรว่าบาลุคไปแล้ว เป็นธรรมดาผู้ปกครองก็ต้องตกทอดโดยตระกูลบาลุค” ลินลี่ย์ตัดสินใจเช่นนี้มานานแล้ว
วอร์ตันไม่ปฏิเสธ “ก็ได้ อย่างนั้นปัจจุบันนี้ข้าเป็นเพียงนักรบระดับแปด สักยี่สิบหรือสามสิบปีก่อนจะบรรลุเป็นระดับเซียนร่างมนุษย์ เมื่อถึงระดับนั้นข้าจะตกทอดบัลลังก์ให้ลูกชายข้าหรือบางทีอาจเป็นลูกชายของพี่ใหญ่ก็ได้” ลินลี่ย์เข้าใจสิ่งที่วอร์ตันคิด วอร์ตันไม่จำเป็นต้องใช้เวลาฝึกฝนมากมายแม้แต่น้อย
แต่การฝึกฝนเพื่อเข้าใจกฎธรรมชาติเป็นเรื่องจำเป็นที่คนเราจะต้องเข้าถึงความรู้สึกธรรมชาติอย่างกลมเกลียว และรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวต่างๆในสาระสำคัญของแก่นธาตุ กล่าวโดยทั่วไปจอมเวทจะมีความสัมพันธ์ธาตุในระดับสูง แต่ในระดับเท่ากันกลับไม่ใช่สำหรับนักรบ ความสัมพันธ์ธาตุของนักรบไม่ใช่ระดับสูง
ในเหตุผลเดียวกันสำหรับวอร์ตันในตอนนี้ เขาแทบจะไม่รู้สึกถึงธรรมชาติได้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขาในการรู้แจ้งกฎธรรมชาติ
แต่เมื่อถึงระดับเซียน สิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนไป
เมื่อถึงระดับเซียน นักสู้จะมีระดับความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่จะรู้สึกถึงธาตุรอบๆ ตัว เซียนสามารถรู้สึกถึงธาตุต่างๆ โดยรอบได้และเพิ่มระดับการรู้แจ้งได้เร็ว นี่เป็นเหตุผลเดียวที่จำเป็นต้องฝึกฝนหนักเพื่อให้ก้าวหน้าจากนักรบระดับเก้าไปเป็นระดับเซียน เพียงแต่มีนักรบระดับเก้าจำนวนน้อยที่มีความสัมพันธ์ธาตุระดับสูง
อย่างไรก็ตามสุดยอดนักรบไม่จำเป็นต้องมีระดับความเข้าใจแต่อย่างใด ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถฝึกปราณยุทธของพวกเขาจนถึงระดับที่แน่นอนแล้วพวกเขาจะเข้าถึงระดับเซียน
หลังจากใช้เวลาสามวันในเมืองแบล็คเดิร์ท ลินลี่ย์กับเดเลียก็ออกจากเมืองและกลับไปที่ภูเขาแบล็คคราเวนและเริ่มชีวิตการฝึกฝนอย่างสงบสุข สำหรับบีบี เมื่อใดก็ตามที่เขาเบื่อ บีบีกับแฮรุจะพากันเข้าไปในไพรทมิฬเพื่อล่าอสูรเวทอื่น
…..
ในท้องฟ้าสีครามมีแสงสีดำเข้มและสีขาวเดินทางด้วยความเร็วสูงราวกับประกายไฟแสงนั้นมีจุดหมายอยู่ที่เมืองแบล็คเดิร์ทในแดนอนารยชน
สายแสงเงาดำนั้นก็คือโอเซนโน
วันนี้โอเซนโนแต่งชุดยาวดำขลิบด้ายสีทอง ผมสีม่วงของเขาโบกสะบัดอยู่ในสายลม ที่ด้านข้างเขาเป็นบุรุษวัยกลางคนอยู่ในชุดหลวมยาวสีขาว บุรุษวัยกลางคนมีร่างกายแข็งแกร่งสูงถึง 2.5เมตรอย่างน่าประหลาด
สูงถึง2.5 เมตรแทบไม่ปรากฏมาก่อนในร่างมนุษย์
ชุดยาวสีขาวของเขาโบกสะบัดอยู่ในสายลม และผมเขียวสั้นตั้งตรงเหมือนกับลวด หน้าของเขาเหมือนกับสลักขึ้นจากหิน แต่มีผนึกเลือนรางอยู่ใจกลางหน้าผากของเขาผนึกของเพลิงสีขาว ร่างของเขามีกลิ่นอายที่สั่นสะท้านหัวใจ
ท่านผู้นี้คือผู้บัญชาการของหน่วยเซลล็อท เลห์แมน
ทั้งสองบินเคียงคู่กัน ขณะที่โอเซนโนอธิบายเกี่ยวกับกลยุทธ์ต่อสู้และความสามารถของลินลี่ย์กับบีบีให้เลห์แมนฟัง “ทั้งหมดเป็นอย่างนี้ เลห์แมน ตอนนี้เจ้าคงจะรู้สึกถึงสถานการณ์เป็นอย่างดี ใช่ไหม? เจ้ามั่นใจมากขนาดไหน?”
เลห์แมนมองดูเขา ตาของเขาเป็นประกายวูบวาบ เสียงทุ้มลึกก้องกังวานดังมาจากอก “โอเซนโน,บุรุษนั่นและอสูรเวทนั้นมีพลังด้อยกว่าเจ้า แต่เจ้าก็ยังพ่ายแพ้พวกเขา อย่างไรก็ตาม นั่นไม่น่าแปลกใจ เป้าหมายโจมตีเดี่ยวของเจ้าไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่เจ้ายังต้องพึ่งพาความมหัศจรรย์ของวิชาเงามายาของเจ้า สำหรับข้าแล้ว.. ข้าสามารถฆ่าทั้งสองได้ด้วยตัวข้าเอง”
โอเซนโนเข้าใจเช่นกัน พลังโจมตีเป้าหมายเดี่ยวของเขานั้นค่อนข้างอ่อนแอ
แต่สำหรับเลห์แมน กลับตรงกันข้าม เขาถนัดในการใช้พลังโจมตีเป้าหมายเดียว
“เมืองแบล็คเดิร์ทอยู่ข้างหน้า” โอเซนโนชี้ไปที่เมืองข้างล่างพวกเขา “ต่อไปก็เป็นภูเขาแบล็คคราเวน
เลห์แมนเพ่งสายตามองดูข้างล่างภูเขาแบล็คคราเวน
ทันใดนั้นทั้งสองคนพุ่งลงไปที่ภูเขาแบล็คคราเวน