ตอนที่ 90 กอดผิดคน(ตอนฟรี)
เรือบินบินลงมาช้าๆ
ความหรูหราและล้ำค่าตัดกับทิวทัศน์รอบๆ
คนกลุ่มหนึ่งลงมาจากเรือบิน
ชายที่เป็นผู้นำสวมชุดสีขาว หล่อเหลาและสูงเปร่ง เขากำลังถูไหล่ของเขาด้วยสีหน้าเจ็บปวด
เขาคือซูสือ!
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นทันใด
ผู้บ่มเพาะและทหารทั้งหมดจ้องมองที่ชายคนนี้
ชายผู้ตีระฆังเก้าลึกล้ำ ซึ่งทำให้มันดังไปทั่วทั้งเก้าภูมิภาค แจ้งให้โลกรู้ถึงการขึ้นนั่งบัลลังก์ของดาวมาร!
เขามาด้วยตัวเองจริงๆ!
ผู้คนในวิถีธรรมะถอยไปสองสามก้าวเงียบๆ
แม้ว่าพวกเขาจะวางอคติกันลง แต่พวกเขาก็ยังประหม่าเล็กน้อยเมื่อเห็นเซิ่งจื่อแห่งวิถีมาร
เมื่อจ้านชิงเฉิงมองเขา เท้าของนางก็ขยับเล็กน้อย นางแทบจะพุ่งไปหาเขาอย่างช่วยไม่ได้
เขามาที่นี่ด้วย!
ข้ามีความสุขจริงๆ!
ตาของเฉินชิงหลวนเป็นประกาย และดูเหมือนว่าตาของนางจะมีสีที่ต่างออกไป
หวังเหมาเป็นคนแรกที่ตอบสนอง
เมื่อเห็นชายคนนี้ที่ทำให้ราชวงศ์รู้สึกไม่สบายใจ สีหน้าของเขาค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย “ซูเซิงจื่อ ท่านมาที่นี่ด้วย”
ซูสือพยักหน้าและพูดว่า: “ข้าได้ยินมาว่าสัตว์อสูร์กำลังอาละวาด ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้ามาเพื่อมีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้บ้าง”
“เอ่อ...ขอบคุณจักรพรรดินีมาร...”
น้ำเสียงของหวังเหมาค่อนข้างไม่เป็นธรรมชาติ
ในฐานะคนของราชวงศ์ เขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเขาจะต้องแสดงความเคารพต่อจักรพรรดินีมาร...
เขารู้สึกแปลกเล็กน้อย
“โปรดเข้าไปในเมืองก่อน แต่โรงเตี๊ยมในเมืองมีจำนวนจำกัด ดังนั้นข้าเกรงว่าซูเซิ่งจื่ออาจจะต้องไปเบียดร่วมห้องกับคนอื่น”
เมื่อมองไปที่เมืองที่รกร้างและทรุดโทรม ซูสือส่ายหัวและพูดว่า “ไม่จำเป็น”
หวังเหมาขมวดคิ้วนิดหน่อย
เป็นเพราะเขาไม่ชอบสภาพแวดล้อมที่นี่หรือ?
เขาควรรู้ว่าทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของข้าไม่ได้นอนมาทั้งวันทั้งคืน!
เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับผู้บ่มเพาะ พวกเขาต้องตั้งค่ายพักนอกเมือง แต่ซูสือและคนอื่นๆ ก็ไม่ยอมแม้แต่จะเข้าไป พวกเขานิสัยเสียเกินไปแล้ว!
“ซูเซิงจื่อ-”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ซูสือก็ถามขึ้นทันทีว่า “ดูจากสถานการณ์ของเจ้าแล้ว เจ้าต้องผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมาหลายวัน ตอนนี้มีผู้บาดเจ็บกี่คน?”
หวังเหมาไม่รู้ว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายจึงถามคำถามนี้ แต่ก็ตอบเขาไป: "เกือบสี่สิบคน"
ซูสือพยักหน้า และหันไปสั่ง “เอาเรือบินลำนี้ลงจอด”
"ขอรับ"
สาวกของสำนักยักษ์มารขุมนรกร่อนเรือบินลง ทำให้ดูเหมือนวังที่หรูหราตั้งอยู่บนพื้นดิน
ซูสือมองไปที่หวังเหมา “เรือบินลำนี้ไม่ใหญ่มาก แต่ก็ยังสามารถรองรับผู้คนได้หลายสิบคน เพราะฉะนั้นให้ผู้บาดเจ็บขึ้นไปพักเถอะ”
"อ่า?"
หวังเหมาชะงักไปครู่หนึ่ง “แล้วพวกท่านล่ะ?”
“สาวกของสำนักยักษ์มารขุมนรกฟังคำสั่ง”
"ขอรับ!"
“พวกเจ้าทุกคนไปที่กำแพงเมืองและผลัดกันเฝ้าป้อม”
"ขอรับ!"
สาวกของสำนักยักษ์มารขุมนรกบินไปที่กำแพงเมือง
ซูสือกล่าว “เรามาที่นี่เพื่อต่อสู้กับสัตว์อสูร สำหรับห้องในโรงเตี๊ยมนั้น ให้แก่ผู้ที่ต้องการจะดีกว่า”
หวังเหมามองเขาด้วยความงุนงง
เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจเช่นนี้
ดาวมารทะลวงสวรรค์นี้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ดุร้ายอย่างที่ลือกัน?
เมื่อนึกถึงความคิดที่ไม่ดีของเขาก่อนหน้านี้ หวังเหมาอดไม่ได้ที่จะละอายเล็กน้อย “ขอบคุณซูเซิ่งจื่อ ข้าไม่คิดให้ท่านทิ้งอคติของท่าน…”
“นี่คือการละทิ้งชั่วคราว”
ซูสือพูดเบาๆ : “ออกจากเมืองหวงหยวนแล้วเจ้ากับข้ายังคงเป็นศัตรูกัน เมื่อกีบเหล็กของสำนักเราทะลวงแม่น้ำและภูเขา เจ้าจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดี”
หวังเหมาส่ายหัวและยิ้มอย่างมีความหมาย
คนๆ นี้ปากเก่งดี
แต่ถึงอย่างไร
เขาชอบมัน!
“ผู้นำศิษย์จ้าน, ผู้ตรวจการหลวงเฉิน!”
เซินอี้เหรินกระโดดไปหาทั้งสอง
แม้ว่าจะมีข้อพิพาทระหว่างวิถีธรรมะและวิถีมาร แต่พวกนางมีประสบการณ์ชีวิตและความตายบนภูเขาเทียนฉวีร่วมกัน และทั้งสองได้ปกป้องนางต่อหน้าทหารหลวง ดังนั้นเซินอี้เหรินจึงรู้สึกสนิทกับพวกนาง
จ้านชิงเฉิงยิ้มและพยักหน้า “อี้เหริน เจ้าก็มาที่นี่ด้วย”
เฉินชิงหลวนจับกระบี่ยาวของนางด้วยใบหน้ารังเกียจ “พี่สาวอกโตเสียงดังชะมัด…”
พวกนางทั้งสามดูสนิทสนมมาก ผู้บ่มเพาะจากทั้งวิถีธรรมะและวิถีมารรู้สึกสับสน
ธิดาสวรรค์ทั้งสองแห่งวิถีธรรมะ เหยียดหยามความชั่วร้ายเสมอ เหตุใดพวกนางจึงใกล้ชิดกับมารสาวผู้นี้
ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตอบโต้อะไร พวกเขาก็เห็นซูสือกำลังเดินเข้าไปหาพวกนาง
“ซูเซิ่งจือเข้าไปนั่นแล้ว!”
“มารตนนั้นต้องการอะไร”
“ไม่มีทางที่มันจะเป็นการต่อสู้หรอกใช่ไหม?!”
“ข้าได้ยินมาว่ามารตนนี้ดุร้ายมาก...”
ผู้คนในวิถีธรรมะดูตึงเครียดกันทันที
แต่ภาพถัดไปทำให้ทุกคนชะงักค้าง
เมื่อเห็นซูสือยืนอยู่ต่อหน้าทั้งสองและยิ้ม “ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“นานแล้วจริงๆซูเซิ่งจื่อ”
ใบหน้าของจ้านชิงเฉิงแดงเล็กน้อย และรอยยิ้มของนางก็สดใส
เฉินชิงหลวนก้มหัวลงและประสานนิ้วเข้าด้วยกัน “เจ้า เจ้ามาจากทางใต้ เจ้าคงเหนื่อยมากระหว่างทางใช่หรือไม่?”
"ข้าไม่เหนื่อย"
ซูสือพูด "ทำไมเราไม่เดินเข้าไปเมืองกันล่ะ?"
"เอาสิ"
หญิงสาวทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นพวกนางก็หันหลังและเดินเข้าไปในเมือง
"รอข้าด้วย!"
เซินอี้เหรินรีบตามมาอย่างรวดเร็ว
ผู้คนเงียบกริบขณะที่พวกเขาเฝ้ามองแผ่นหลังของคนกลุ่มนี้ เครื่องหมายคำถามเขียนทั่วใบหน้าของพวกเขา
"เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?"
####
เมืองหวงหยวนแห่งนี้ไม่ได้ทรุดโทรมอย่างที่คิด แต่มีความสวยงามที่แตกต่างออกไป
ผู้คนแม้จะมีความกลัวและวิตกกังวล พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตตามวิถี และการมาถึงของ "เซียน" ได้เพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้กับพวกเขา
พวกเขาเดินไปตามถนน
เซินอี้เหรินวิ่งไปรอบๆ เหมือนเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็น
เฉินชิงหลวนถือกระบี่ยาวของนาง ดวงตาของนางเศร้าหมอง สงสัยว่าซูสือกำลังคิดอะไรอยู่
ซูสือเดินไปข้างๆ จ้านชิงเฉิงและจับมือนางอย่างเงียบๆ
จ้านชิงเฉิงตกใจและมองไปรอบๆ อย่างประหม่า
นี่มันในที่สาธารณะ เจ้าโง่ เจ้ากล้าเกินไปแล้ว!
ชิงหลวนก็อยู่แถวนี้ เจ้าก็รู้!
ซูสือลูบฝ่ามือ “ชิงเฉิน ข้าคิดถึงเจ้า”
จ้านชิงเฉิงหน้าแดงและพูดอย่างเขินอาย: "คนบ้า ข้าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน"
ซูสือยิ้มและพูดต่อ: “ห้องพักบนเรือบินนั้นมอบให้กับผู้บาดเจ็บ และโรงเตี๊ยมในเมืองก็ไม่ค่อยมี ดังนั้นดูเหมือนว่าเราจะต้องร่วมห้องกันเท่านั้น”
แก้มของจ้านชิงเฉิงร้อนและหัวใจเต้นแรง “แต่...ชิงหลวนล่ะ?”
ซูสือคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าสามคนคงจะต้องร่วมห้องกัน” (~_~)
พวกเขามาถึงโรงเตี๊ยมที่หวังเหมาเตรียมไว้ให้
โดยปกติห้องหนึ่งจะแบ่งกันสองคน แต่ทั้งสามคนอายเกินกว่าที่ร่วมห้องกับซูสือ
เป็นผลให้พวกนางทั้งสามเบียดกันอยู่ในห้องเดียว และซูสือก็พักคนเดียว
นอนอยู่บนเตียงที่ว่างเปล่า ซูสือมีสีหน้าไม่พอใจ
“ถ้าเพียงแต่ข้าไม่มีเซินอี้เหรินตามมาด้วย ทุกอย่างคงจะง่ายขึ้นมาก....”
ไม่มีอะไรทำ เขาได้แค่นั่งสมาธิและเริ่มทำความเข้าใจเคล็ดผสาน
ข้อมูลเกี่ยวกับระฆังเก้าลึกล้ำนั้นมีมากมายมหาศาล เพียงพอสำหรับเขาที่จะทะลวงไปแค่วัฏจักรที่สอง และสัญชาตญาณของเขาก็บอกเขาว่าควรมีสิ่งที่คล้ายกับระฆังเก้าลึกล้ำมากกว่าหนึ่ง
ต้นกำเนิดของเคล็ดผสานเก้าวัฏจักรแห่งฟ้าดินนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ขณะที่ซูสือกำลังบ่มเพาะอยู่นั้น เขาก็ตระหนักได้ว่าประตูห้องของเขาถูกผลักเปิดออกเงียบๆ
ร่างหนึ่งเขย่งเข้ามา
ตาของเขาเปิดออกเล็กน้อยและมุมปากของเขาโค้งขึ้น
ชิงเฉิง ผู้หญิงคนนี้แสนจะขี้อาย แต่นางกล้าแอบมาหาข้าเมื่อสบโอกาส
ยิ่งเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ ซูสือก็ยิ่งแสร้งทำเป็นไม่รู้
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเข้ามาใกล้ เขาเอื้อมมือไปดึงนางไว้ในอ้อมแขนของเขา
"โอ้!"
เสียงร้องด้วยความประหลาดใจ
ซูสือขมวดคิ้ว
เสียงนี้ไม่ใช่เสียงของนางและสัมผัสก็ไม่เหมือน?
เขาลืมตาขึ้นด้วยความสับสน และเห็นใบหน้าสวยงามของเซินอี้เหรินที่แดงก่ำ ใบหน้าของนางตื่นตระหนก พูดตะกุกตะกัก: “เจ้าทำอะไรนะ? ข้ายังไม่ได้ตกลงเลยนะ!”
ซูสือ: "….."