ตอนที่ 35 : ร่างกายขั้น 8
ต๋วนเค่อปรากฏตัวในสวนใหญ่ที่ถูกสร้างอย่างปราณีต นางข้ามลำธารและแม่น้ำไปที่ตำหนักที่อยู่สุดสายปลายสวน ดวงตานางมองหาผู้เป็นปู่แต่ก็ไม่เห็นเขาอยู่ใกล้ ๆ
เมื่อปู่มิได้อยู่ด้านนอก นางจึงเดินขึ้นบันไดตำหนักเข้าทางประตูคู่สองบาน ด้านในตำหนักนั้นถูกตกแต่งอย่างหรูหราจนแม้กระทั่งวังราชายังต้องอับอาย
ต๋วนเค่อเดินไปทางซ้ายเข้าสู่ห้องตำราขนาดยักษ์ มีตำราเกินกว่าจะนับได้ในห้องตำรานี้ พร้อมกับม้วนคีมภีร์จำนวนมาก แผ่นไม้ไผ่บันทึกข้อความ และแผ่นหยกที่เก็บไว้ในหลายชั้น
ที่กลางห้องตำราจะมีโต๊ะและเก้าอี้ไม่กี่ตัว โต๊ธและเก้าอี้ไม่ได้หรูหราหรือเลอค่าไม่เหมือนกับส่วนอื่นในตำหนัก มันกลับดูเรียบง่ายอย่างที่จะเห็นได้ตามบ้านคนธรรมดา ต๋วนเค่อเดินไปที่โต๊ะและพบว่าปู่ของนางนั่งอยู่บนเก้าอี้
ชายชรากำลังอ่านตำราที่ดูเก่าแก่จนแทบจะขาดได้ในทุกเมื่อ ตำราเล่มนี้เก่าแก่เสียหาย แต่ชายชราก็ยังคงเปิดหน้าตำราได้อย่างไม่มีปัญหา เมื่อต๋วนเค่อเดินมาที่ด้านข้างปู่ จิงเหว่ยก็พูดโดยไม่ละสายตาของตำรา
“เจออะไรไหม?”
ต๋วนเค่อขยับมือแทบคำตอบปู่ ศพสัตว์สอบสองตัวปรากฏออกมา สัตว์พวกนี้มีทั้งสัตว์ป่าดุร้ายและสัตว์อสูร แม้ว่าจะประกอบไปด้วยสัตว์ที่ต่างชนิดและมีสภาพร่างกายต่างกัน พวกมันก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือพวกมันมีสีดำสนิทและปล่อยพลังที่ทำให้ตกใจออกมา
ต๋วนเค่อเรียกกล่องที่ดูเหมือนทำจากแก้วมาอย่างระมัดระวัง ในกล้องนั้นมีก้อนกลมสีดำสนิทขนาดเท่าผลส้มเก็บเอาไว้ สิ่งนี้ปล่อยพลังแบบเดียวกันแต่ยิ่งใหญ่กว่า อย่างน้อยก็เป็นพลังที่มากกว่าพลังจากซากสัตว์เกินกว่า 10 เท่า
จิงเหว่ยหันมองกล่องแก้วในมือต๋วนเค่อ
“อืม เป็น ‘สิ่งนั้น’ จริง ๆ ด้วย”
จิงเหว่ยพูด
“ข้าเจอสิบสองตัวนี้ในป่าเหนือ พวกมันส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ในป่าลึก แต่บางตัวก็อยู่ที่ป่ารอบนอกด้วย มีหนึ่งตัวแทบจะอยู่ที่ชายป่า”
ต๋วนเค่อพูด
ต๋วนเค่อเงียบไปและรอให้ปู่วิเคราะห์ซากสัตว์ทั้งหมด จิงเหว่ยมองดูรอบ ๆ เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงจนสุดท้ายก็มาที่กล่องแก้ว
“เจ้าเจอชิ้นส่วนของ ‘สิ่งนั้น’ มาจากไหน?”
จิงเหว่ยถามต๋วนเค่อ
“ข้าเจอที่กลางป่าเหนือ มันอยู่ในบ่อน้ำเล็กและทำให้น้ำปนเปื้อน”
ต๋วนเค่อตอบ
“บ่อน้ำนั่นคงเป็นที่มาของการกลายพันธุ์ ไม่มีร่องรอยอื่นใช่หรือไม่?”
จิงเหว่ยถาม
“ใช่ น่าจะไม่มีแล้ว ข้าหาร่องรอยอื่นไม่เจอเลย”
ต๋วนเค่อตอบ
จิงเหว่ยพยักหน้ารับคำ
“ทำลายซะ”
จิงเหว่ยประกาศ
ต๋วนเค่อไม่พูดสักคำเดียวก่อนจะชี้ก้อนดำในกล่องแก้วจากนั้นมันก็เริ่มลุกไหม้ มันไหม้อยู่หนึ่งนาทีจากนั้นก็ไม่เหลือแม้กระทั่งเถ้าถ่าน
เมื่อก้อนดำถูกทำลาย เขาหันมามองหลานสาว
“เด็กคนนั้นกลับมารึเปล่า?”
“เขากลับาถึงก่อนข้า ข้าให้เนื้อขั้น 9 กับเขาไป แล้วเขาก็ไม่ได้ขอเงินค่าวัตถุดิบด้วย”
ต๋วนเค่อตอบและหยุดนิ่งไป
จิงเหว่ยเลิกคิ้ว
“เขาอยากได้อาวุธแทนค่าวัตถุดิบ ข้าให้เขาเลือกอาวุธจากร้าน เขาเลือกอาวุธไปหลายชนิดเลย”
ต๋วนเค่อพูดเสริม
จิงเหว่ยนั่งบนเก้าอี้เอามือลูบคาง เขาคิดครู่หนึ่งก่อนจะถาม
“เขาไม่ตอบดาบสั้นรึ?”
“เขาชอบดาบนะท่านปู่ เขาบอกว่าอยากได้อาวุธเผื่อไว้ใช้ตอนที่ทำดาบสั้นหายในระหว่างการต่อสู้”
ต๋วนเค่อตอบ
“ทำไมถึงตอบด้วยเหตุผลแบบนั้นกันนะ?”
จิงเหว่ยถามด้วยความสงสัย
ต๋วนเค่อยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูด
“ดาบสั้นของท่านปู่ได้ลิ้มรสโลหิตคนอีกแล้ว หลังจากหลายสิบปี”
“เพราะสังหารครั้งแรกแล้วงั้นรึ? เร็วกว่าที่ข้าคิดเสียอีก แต่ก็ดีที่เขาจะได้ประสบการณ์โดยเร็วและยังได้เรียนรู้จากมันด้วย”
จิงเหว่ยพูดด้วยความคิดถึงอดีตในแววตา
.
.
.
หลินมู่กำลังลากเลื่อนที่เต็มไปด้วยอาวุธและเนื้อสัตว์ เขาใช้เวลา 20 นาทีในการออกจากเมืองก่อนที่จะเก็บทุกอย่างในแหวนได้ เมื่อทุกอย่างเก็บไว้ในแหวนแล้ว หลินมู่ก็รีบวิ่งไปจนถึงกระท่อม
เมื่อมาถึงกระท่อม เขาเรียกอาวุธใหม่ทั้งหมดที่ซื้อมา เขาอยากจะหยิบจับมันทุกชิ้นเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย
‘ข้าต้องฝึกอาวุธพวกนี้ด้วย’
หลินมู่คิดขณะที่กวัดแกว่งขวาน
เขาฝึกการใช้อาวุธเป็นเวลาสามชั่วโมงจนกระทั่งอาทิตย์ตกดิน แม้ว่าหลินมู่จะไม่ได้รับการฝึกฝนที่ดีสำหรับอาวุธแต่ละชนิด แต่เขาก็ยังคงพยายามทำตามสิ่งที่เคยเห็นคนอื่นทำมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นทหารในเมืองหรือนายพราน
หลินมู่เริ่มฝึกหมัดทลายศิลาก่อนจะทำอาหารด้วยเนื้อสัตว์ใหม่ที่ได้มาวันนี้ กลิ่นหอมของเนื้อขั้น 9 นั้นรัญจวนใจยิ่งกว่าเนื้อใดที่เขาเคยลิ้มลองมา เมื่อได้ที่แล้วเขาก็กินมันอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อจบมื้ออาหาร หลินมู่นั่งสมาธิท่องบทสงบใจ พลังชีวิตหนาแน่นแพร่กระจายจากท้อง พลังค่อย ๆ กระจายไปทั่วร่างและดูดซับผ่านผิวหนังกับกล้ามเนื้อ พร้อมด้วยพลังส่วนเล็กน้อยที่ดูดซับไปสู่สายโลหิต
45 นาทีต่อมาพลังชีวิตยังคงไม่หยุดดูดซับและหลินมู่ก็รู้สึกว่าผิวหนังของเขาอิ่มไปด้วยพลังชีวิตแล้ว
‘ผิวหนังข้าดูดซับพลังชีวิตไม่ได้อีกแล้ว ถึงเวลาที่ข้าจะต้องเป็นขั้น 8’
หลินมู่ตัดสินใจ
หลินมู่เพ่งสมาธิกับพลังชีวิตที่กำลังเข้าสู่เส้นเลือด พลังชีวิตส่งคลื่นเบาบางออกมา เขาเพ่งอยู่กับคลื่นเบาบางนั้นและพยายามทำให้มันมากขึ้น เขาพยายามประยุกต์ใช้ประสบการณ์จากการเรียนรู้หมัดทลายศิลาและตั้งใจให้พลังชีวิตเพิ่มขึ้น
เขาไม่สำเร็จในครั้งแรก หลินมู่ทำขั้นตอนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งเหมือนกับเขื่อนที่ล้นแตก พลังชีวิตที่เอ่อล้นในกระเพาะได้ถาโถมออกมาในทีเดียวและดูดซับไปที่เส้นเลือด ความรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าลัดวงจรแล่นผ่านเส้นเลือดและเขาก็ทะลวงพลังเป็นขั้น 8
“เย้ ในที่สุดก็สำเร็จ!”
หลินมู่อุทานและกระโดดโลดเต้นด้วยความสุข
การมีร่างกายขั้น 8 นั้นเหมือนกับคอขวด เมื่อมีพลังขั้นนี้แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย กล้ามเนื้อที่บ่มเพาะมาตั้งแต่ขั้นต้นจะแข็งแกร่งและทนทานขึ้น แต่พวกมันมิอาจแสดงพลังออกมาได้เต็มที่เพราะมันมีโลหิตหล่อเลี้ยงไม่พอ
เช่นเดียวกับผิวหนังที่ขั้นกลางบ่มเพาะมา เมื่อกลายเป็นขั้น 8 แล้วเส้นเลือดจะไหลเวียนโลหิตที่มากพอให้กับกล้ามเนื้อและผิวหนังได้
ผู้ที่บ่มเพาะร่างกายมาจนถึงขั้นสูงนั้นจะปล่อยพลังที่ยิ่งใหญ่กว่า และมีความคล่องแคล่วว่องไวที่เหนือกว่า
‘ข้าจะทำอะไรได้บ้างนะ’
หลินมู่คิด
หลินมู่เริ่มออกวิ่งและพบว่าเขาวิ่งได้เร็วกว่าเดิมสองเท่า เขาเรียกหินก้อนใหญ่ออกมาจากแหวนและมันก็ตกลงกับพื้น เขาพยายามยกมันแต่ก็ทำไม่ได้เพราะมันหนักเกินไปสำหรับเขา จากนั้นหลินมู่ก็ลองดันมันและเขาก็ดันได้ด้วยการออกแรง
“อย่างน้อยข้าก็ดันมันได้แล้ว”
หลินมู่คิดออกมาเป็นเสียงและเช็ดเหงื่อบนคิ้ว
‘ลองหมัดทลายศิลาดีกว่า’
หลินมู่คิด
หลินมู่ตั้งท่าเตรียมปล่อยหมัดและใช้วิชาปราณ เมื่อลมหายใจผสานเข้ากันแล้วเขาก็เริ่มฝึกหมัด ทันทีที่ปราณกับหมัดเข้ากันอย่างสมบูรณ์ เขาใช้หมัดทลายศิลา คลื่นพลังเข้าสู่แขนขวาและเริ่มหมุนวนเป็นวายุที่มั่นคง หลินมู่ปล่อยหมัดไปข้างหน้า ลมกระหน่ำรุนแรงพุ่งตรงไปสั่นสะเทือนต้นไม้และพุ่มไม้ ใบไม้ร่วงหล่นจากต้นเสียงลมหวนดังไปทั่ว
หลินมู่ใช้วิชาหมัดทลายศิลาได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว