ตอนที่ 303 – ตอนที่ 284 มีลูกสาวในมือ โลกก็เป็นของเรา
ไม่สำคัญว่าเย่ว์หยางจะเชี่ยวชาญสนามพลังของเขาหรือไม่ ว่านฉีซิ่วหลิงจะไม่ยอมให้ศัตรูของเขามีโอกาสโจมตี
เขาคำรามราวกับฟ้าร้อง ขณะที่ร่างของเขาพุ่งเข้าหาเย่ว์หยางเหมือนดาวตก
สำหรับนักสู้ปราณก่อกำเนิดที่แท้จริงอย่างว่านฉีซิ่วหลิงย่อมเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับจุดอ่อนในการกระตุ้นให้สนามพลังทำงาน เขาฝึกฝนมาตลอดสามปีเพื่อลดความเร็วในการกระตุ้นการทำงานของสนามพลังของเขาได้วินาทีเดียว แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเจ้าเด็กนี่รู้วิธีกระตุ้นสนามพลัง แต่จะเร็วไปกว่าเขาได้อย่างไร? เมื่อเขาตกเข้าไปในพื้นที่โจมตีและรับพลังของสนามพลังของเขาเต็มที่, เย่ว์หยางก็จะตายในที่สุด เขาต้องบุกก่อนเพื่อความได้เปรียบ และค่อยรับผลกระทบต่อมา ว่านฉีซิ่วหลิงมีชีวิตอยู่โดยอาศัยแนวคิดเมื่อ 300 ปีที่แล้ว
ในการต่อสู้กับยอดฝีมือ ชนะหรือแพ้ตัดสินกันเพียงวินาทีเดียว
ไม่ว่าสนามพลังแบบไหนทำงานได้เร็วกว่า เขาก็สามารถโจมตีใส่ศัตรูของเขาได้เร็ว นั่นคือวิธีคว้าชัยชนะ
“ล้มซะ ตายซะ!” ว่านฉีซิ่วหลิงเชื่อว่าภายในสนามพลังนี้ คุณชายสามตระกูลเย่ว์จะต้องร่วงลงมาและเป็นผู้แพ้ในที่สุด เขายังจะฝันว่าจะใช้สนามพลังของเขาที่มีความเร็วระดับทากคลานได้อย่างไร?
จู่ๆ แสงก็แว่บออกมาจากภายในร่างของว่านฉีซิ่วหลิงแผ่กระจายคลุมพื้นที่มากกว่าสามสิบเมตร สร้างเป็นม่านแสงขนาดยักษ์
เย่ว์หยางผู้อยู่ในม่านแสง อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ “เอ๊ะ!”
ร่างของเขาที่กำลังลอยอยู่ในท้องฟ้าร่วงลงพื้นทันที
แม้ว่าเย่ว์หยางจะไม่ได้ร่วงลงมาตายตามสิ่งที่ว่านฉีซิ่วหลิงพูดก็ตาม แต่ร่างของเขาถูกฉุดรั้งด้วยพลังที่มองไม่เห็น ความเคลื่อนไหวของเขาถูกจำกัดอย่างแรง เหมือนกับว่ามีเหล็กนับหมื่นกิโลกรัมกดทับร่างของเขา เขารู้สึกเหมือนมีเครื่องถ่วงขนาดใหญ่อยู่ทั่วทั้งตัวเขา ยากที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า
เดิมทีเขามีความแคล่วคล่องว่องไวกลับกลายเป็นช้ามาก เขาต้องใช้เวลานานถึงจะขยับนิ้วได้
นี่คือสนามพลังของว่านฉีซิ่วหลิง “กดถ่วง”
ความจริง พลังปราณก่อกำเนิดระดับ 5 ของว่านฉีซิ่วหลิงยังถือว่าใหม่ในเรื่องความชำนาญใช้สนามพลังของเขา ดังนั้น พลังจากสนามพลังของเขาจึงยังถือว่าด้อยอยู่ในตอนนี้ พลังกดถ่วงของเขาสามารถทำให้ศัตรูแบกน้ำหนักเพียงยี่สิบเท่าของน้ำหนักตัว สนามพลังนี้ถือได้ว่าเป็นระดับที่ 1 ซึ่งเป็นระดับเริ่มต้น สนามพลังถ้าว่าโดยชั้นและระดับแล้ว ก็มีระดับเริ่มต้น ระดับกลางและระดับสูง ในแต่ละชั้นยังแบ่งออกเป็นสามระดับย่อย อาจกล่าวได้ว่าในแง่ความเชี่ยวชาญสนามพลัง ว่านฉีซิ่วหลิงก็เป็นแค่มือใหม่ที่เพิ่งย่างเข้ามาในขอบเขตพลังนี้ เขาแค่ล้ำหน้าเย่ว์หยางที่เพิ่งตระหนักถึงพลังของเขาเพียงเล็กน้อย
สนามพลังชนิดกดถ่วง ยังไม่ถือว่าเป็นสนามพลังที่ดี
นักสู้ปราณก่อกำเนิดที่แท้จริงสามารถเชี่ยวชาญแรงกดดันได้โดยแค่ปล่อยพลังปราณของเขาเท่านั้น นี่จะให้ผลอย่างเดียวกับพลังกดถ่วง
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักรบทั่วไป สนามพลังคือความดำรงคงอยู่ที่ยั่งยืน ร่างของนักรบธรรมดาจะถูกบด ถ้าพวกเขาไม่สามารถทนต่อแรงกดที่มากกว่าน้ำหนักเขาถึง 20 เท่าได้
“กลับกลายเป็นว่านี่คือสนามพลังของเขา…” ญาณทิพย์ของเย่ว์หยางสามารถเห็นว่ามีพลังบางอย่างพุ่งออกมาจากร่างของว่านฉีซิ่วหลิง แต่วิธีที่ปล่อยพลังเหมือนกับเชื้อเพลิงที่ติดไฟได้ สมควรจะมีขีดจำกัดอยู่ อย่างไรก็ตาม ก็ยังสร้างผลกระทบต่อศัตรูได้มากในช่วงเวลาหนึ่ง และในพื้นที่หนึ่ง เย่ว์หยางพบว่ามีม่านพลังเป็นรัศมีกินพื้นที่ 30 เมตร เขารู้สึกได้ทันที่ว่านี่คือพื้นที่ซึ่งสนามพลังของว่านฉีซิ่วหลิงแสดงผล เขาจึงหมุนตัวและเริ่มออกจากรัศมีแสงทันที
“เจ้าจะหนีไปไหน” ว่านฉีซิ่วหลิงพบว่าเจ้าเด็กนี่เหมือนแมลงสาบที่ทำลายอย่างไรก็ไม่ได้ ไม่เพียงแต่เขายังมีชีวิตอยู่ได้โดยแบกน้ำหนักยี่สิบเท่า แต่เขายังไม่ได้รับบาดเจ็บ มีแต่ความเคลื่อนไหวของเขาช้าลงเท่านั้น
ทันใดนั้นเขาเรียกแมงมุมหว่านแห อสูรทองระดับ 8 และอสูรพิทักษ์ของเขา อินทรีทอง อสูรทองระดับ 8
มันคืออินทรีทองที่เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์
แมงมุมเหวี่ยงแหไม่ได้รับผลกระทบจากพลังกดถ่วง มันกระโดดไปข้างหน้าได้อย่างง่ายดาย ตัวมันเบาจนแทบจะบินได้
มันพ่นใยขาวยักษ์ไปตรึงเย่ว์หยางไว้ทั้งตัว จากนั้นมันรีบเข้ามาใช้ใยขาวพันเย่ว์หยางไว้ภายในจนกลมเป็นลูกบอล ทำให้เขาไม่สามารถดิ้นรนหลุดจากพันธนาการของมันได้ ในท้องฟ้า ว่านฉีซิ่วหลิงซึ่งผสานร่างเข้ากับอินทรีทองปล่อยพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา พลังปราณก่อกำเนิดระดับ 5
มิติประลองทั้งหมดถูกอัดกระแทก
พื้นข้างล่างแยกออกทำให้ทั้งลาวาและแม็กม่าไหลออกมาทั่วบริเวณ
ภายในพื้นที่ ร่างของว่านฉีซิ่วหลิงปล่อยพลังระเบิดอัดกระแทกอย่างต่อเนื่อง แม้แต่แมงมุมหว่านแหยังต้องหลบซ่อน อสูรทรายซึ่งเป็นอสูรชั้นทองระดับ 8 อีกตัวหนึ่งกลับตรงกันข้าม มันลุกขึ้นยืนเหมือนพยัคฆ์ติดปีก พลังของมันแข็งแกร่งขึ้นพร้อมกับแรงอัดกระแทกที่รุนแรง มันกลายเป็นพายุทรายยักษ์ที่สามารถกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ ความเร็วแรงของมันนั้นมนุษย์ไม่อาจจินตนาการได้ ในตาพายุ มีมีดและดาบนับร้อยนับพันเล่มหมุนวนสามารถตัดฉีกทุกอย่างให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ ใครก็ตามที่ถูกพายุทรายยักษ์กวาดจะต้องถูกฉีกขาดเป็นชิ้นๆ และถูกบดขยี้จนกลายเป็นผุยผง กลายเป็นเศษเนื้อเล็กๆ หมุนวนอยู่ในพายุ
ยามนี้มือของว่านฉีซิ่วหลิงจู่ๆ ก็เปล่งแสงสีทอง
เขาเพ่งพลังจิตสร้างเป็นรูปร่างอินทรีทอง
มีเพียงนักสู้ปราณก่อกำเนิดที่ครอบครองอสูรศักดิ์สิทธิ์จึงจะสามารถควบแน่นพลังงานจนเป็นรูปร่างได้
ร่างพลังนี้มีพลังจิตของอสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย ไม่เพียงแต่ความสามารถของมันจะแข็งแกร่งกว่าถึงสิบเท่าแค่นั้น แต่มันยังสามารถเคลื่อนย้ายตามคำสั่งของอสูรศักดิ์สิทธิ์ด้วย มันสามารถกำหนดเป้าศัตรูได้โดยอัตโนมัติและคงรูปอยู่ได้เป็นเวลานาน ทันทีที่มันถูกปล่อยออกไป ตราบใดที่อสูรศักดิ์สิทธิ์ยังมีชีวิต ร่างพลังจะไล่โจมตีเป้าหมายของมัน
“ระเบิดอินทรีทอง!” ว่านฉีซิ่วหลิงยกมือที่อุ้มร่างพลังของอินทรีทองแล้วซัดมันใส่เย่ว์หยางซึ่งถูกใยแมงมุมขาวมัดไว้ภายใน
“ข้าอยู่นี่” ทันใดนั้นเย่ว์หยางมาปรากฏตัวข้างหลังว่านฉีซิ่วหลิง
บางทีใยของแมงมุมหว่านแหอาจจะสร้างปัญหายุ่งยากให้คนอื่น แต่สำหรับนักสู้ปราณก่อกำเนิดผู้รู้วิธีจัดการมิติและเทเลพอร์ตได้ เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเย่ว์หยางที่จะหลบหนีออกมาจากใยแมงมุมได้ เย่ว์หยางเก็งพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ไว้ในมือขวา ขณะที่เขาสร้างสนามพลัง “ระเบิดดวงดาว” ไว้ในมือซ้าย สนามพลังของเย่ว์หยางแตกต่างจากสนามพลังของว่านฉีซิ่วหลิง ซึ่งเป็นพื้นที่ๆ มีผลต่อการโจมตี สนามพลังของเย่ว์หยางคือระเบิดลูกหนึ่ง ก่อนที่มันจะระเบิด ก็ยังจะไม่มีผลใดๆ ต่อศัตรูของเขา
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่มันโจมตีถูกเป้าหมาย มันจะระเบิดด้วยพลังพอๆ กับพลังทำลายดวงดาว
จากนั้นเย่ว์หยางประกบมือโจมตีใส่เขา
ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์บนมือขวาและระเบิดดาราที่มือซ้ายของเขาระเบิดใส่หูซ้ายขวาของว่านฉีซิ่วหลิงพร้อมกัน ความจริงเย่ว์หยางลอกเลียนวิธีโจมตีแบบนี้มาจากเสวี่ยอู๋เสีย
“วูบบบ”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางตะลึงก็คือปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ของเขาที่ลอบโจมตีนั้นพลาดเป้า
นี่นับเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในการต่อสู้ของเย่ว์หยางทั้งหมด
การจู่โจมของเย่ว์หยางไม่ได้ช้ามากเลย ไม่ใช่เพราะการลอบโจมตีพลาดในเรื่องจังหวะเวลา เขามองเห็นรูปแบบการโจมตีของว่านฉีซิ่วหลิงและจึงลอบโจมตีหลังจากว่านฉีซิ่วหลิงปล่อยพลังสุดยอดของเขาออกมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ที่ฆ่าได้เด็ดขาดพลาดเป้าจริงๆ นี่ผิดจากที่เย่ว์หยางคาดไว้มาก ก่อนที่พลังปราณกระบี่จะระเบิดใส่หัวของว่านฉีซิ่วหลิง ปีกทองข้างหนึ่งปรากฏออกมาจากด้านหลังของว่านฉีซิ่วหลิง ดึงเขาถอยไปราวกับฟ้าแลบ ทำให้เย่ว์หยางลอบจู่โจมพลาด
ปราณกระบี่ของเย่ว์หยางทำได้เพียงตัดขนทองของมันได้เล็กน้อย
“….” ว่านฉีซิ่วหลิงเพิ่งจะหลบรอดความตายได้หวุดหวิดรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นรัว ถ้าไม่ได้อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเขาช่วยเหลือไว้ ศีรษะของเขาคงถูกเจ้าเด็กนี่ระเบิดกระจายไปแล้ว
เขาปาดเลือดบนใบหน้าของเขา หัวใจเต็มไปด้วยความโกรธและกลัว
โชคดีที่เขาได้รับการช่วยเหลือจากอสูรศักดิ์สิทธิ์ของเขา
ร่างพลังรูปอินทรีทองที่ถูกซัดใส่ใยของแมงมุมหว่านแหเลี้ยวกลับมาตามคำสั่งของอสูรศักดิ์สิทธิ์อินทรีทอง และมันเข้าโจมตีใส่เย่ว์หยาง ว่านฉีซิ่วหลิงกระทืบเท้าด้วยความโกรธและกระโดดลอยตัวอยู่เหนือพื้น เขายื่นมือและชี้นิ้วของเขา เตรียมบดขยี้เย่ว์หยางด้วยสนามพลังของเขาอีกครั้ง เขาจะกดเย่ว์หยางลงกับพื้นปล่อยให้ลาวาเผาผลาญคุณชายสามตระกูลเย่ว์ทั้งเป็น
ด้วยความช่วยเหลือของอินทรีทองอสูรศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ความเร็วของเขาพอๆ กับของเย่ว์หยาง
ในแง่ความแข็งแกร่ง ในฐานะนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5 เขามั่นใจว่าจะบดขยี้เย่ว์หยางลงได้
“ซู่วววว” แมงมุมหว่านแหยังคงมีความซื่อสัตย์มาก เมื่อมันเห็นว่าเย่ว์หยางหลบหนีออกมาได้ มันกระโจนขึ้นกลางอากาศและปล่อยใยแมงมุมพันตัวเย่ว์หยางทั้งหมดอีกครั้ง ขณะที่อสูรทรายก็ยังหมุนสร้างพายุขนาดยักษ์ของมัน ก็ยังเคลื่อนตัวช้าๆ เข้าใกล้เย่ว์หยาง
“ตาย” เย่ว์หยางยิงระเบิดดวงดาวในมือของเขา
ริ้วดาวตกที่ยิงออกมาเร็วปานสายฟ้าทะลุเข้าไปในร่างของแมงมุมหว่านแห อสูรทองระดับ 8 ทันที เสียงระเบิดดังสนั่นน่ากลัวสะท้อนไปทั่วพื้นที่ทั้งหมด
เหมือนกับดวงดาวที่ระเบิด พื้น, หิน, ลาวา และสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดถูกกวาดหายไปไม่เหลือร่องรอย
ช่วงขณะนี้เอง หูของพวกเขาทั้งสองอื้อจนไม่ได้ยินอะไรเลย
ว่านฉีซิ่วหลิงรู้สึกวิ้งๆ อยู่ในหัวและรู้สึกเหมือนว่าเขาจะเป็นลม แม้ว่าเขาจะเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5 แต่เขาก็ยังกระเด็นถอยไปหลายเมตร เพราะคลื่นอัดกระแทก
ทันใดนั้น หมัดข้างหน้าพุ่งใส่ข้างหน้าจับเข้าที่ใบหน้าเหลี่ยมของเขาทันที เลือดไหลออกจากจมูกของเขา
ว่านฉีซิ่วหลิงไม่สามารถลืมตาได้ เขามองไม่เห็นอะไรเลย แต่เขาสามารถรู้สึกได้ว่าศัตรูของเขาเตรียมใช้ระเบิดดวงดาวของเขาอีกครั้ง
“คัมภีร์อัญเชิญ” เพียงวินาทีเดียวที่เขาถูกต่อย เขาเลือกที่จะเรียกคัมภีร์และกางโล่ป้องกัน
หมัดถูกหักเหโดยโล่ป้องกัน
อย่างไรก็ตาม มีอยู่นิ้วหนึ่งเจาะเข้ามาภายในโล่ป้องกันอย่างเงียบกริบ และเล็งไปที่ระหว่างคิ้วของว่านฉีซิ่วหลิง
อีกครั้งหนึ่งที่อินทรีทองเข้ามาช่วยเหลือโต้ตอบได้ทันเวลา โดยเคลื่อนย้ายร่างของจ้านายมันหนีไป.. ซี่… ปราณกระบี่ที่สามารถสังหารนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้ทันทียิงผ่านหนังศีรษะ กรีดหนังศีรษะเขาจนทิ้งเป็นบาดแผลที่น่ากลัว ถ้าเขาช้าไปเพียงเสี้ยววินาที หัวของว่านฉีซิ่วหลิงคงถูกผ่า
พลังของร่างที่เป็นรูปอินทรีทองยิงตรงเข้าหาเย่ว์หยาง มันได้รับผลกระทบจากการระเบิดครั้งใหญ่ พลังของมันจึงลดลงไปมาก อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีพลังที่แข็งแกร่งอยู่ดี
ภายใต้คำสั่งของอสูรศักดิ์อินทรีทอง มันยังคงพุ่งโจมตีใส่เย่ว์หยาง
หรือบางทีอินทรีทองไม่ได้หวังว่าจะฆ่าเย่ว์หยางได้ มันแค่ต้องการมีชีวิตรอด
ในที่ห่างออกไป อสูรทรายที่กลายเป็นพายุทรายขนาดใหญ่ ยังขยายใหญ่ยิ่งกว่าเดิมจากแรงระเบิดใหญ่ มันหอบทรายขึ้นไปจนเต็มท้องฟ้าทั้งหมดและพายุก็พุ่งใส่เย่ว์หยาง ว่านฉีซิ่วหลิงตระหนักได้ว่า เจ้าเด็กที่อยู่ต่อหน้าเขานี้กำลังมองดูอสูรของเขาเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน ทำให้เขาตื่นตัวอยู่ในใจ เขายังไม่ทันได้เรียกอสูรทราย ขณะที่ร่างของเย่ว์หยางแว่บหายไปอยู่ที่ตาพายุ
ในตาพายุ ทุกอย่างเงียบสงบ
เย่ว์หยางตวาด ขณะที่เพลิงอมฤตบนร่างเขายิงขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อตัวเป็นเพลิงอมฤตสูงขนาดสิบเมตร นี่คือหนึ่งในสนามพลังของเขา ชื่อ “เสาเพลิงอมฤต”
อสูรทรายอาจฆ่าทุกคนในโลกด้วยร่างหยาบ พลังของมันสามารถถล่มฟ้าทลายดินได้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นอสูรสายธาตุจำเพาะ มันไม่มีทางสู้กับพลังธาตุโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกได้ ….เพลิงอมฤต ภายใต้เสาเพลิงอมฤต แก่นภายในของมันละลายลงทันที
สังหารทันที
แก่นเวทของอสูรทรายถูกกลั่นด้วยเพลิงอมฤต มันมีขนาดเล็กลงกะทันหัน สิ่งปนเปื้อนทั้งหมดถูกชำระออกไป ทิ้งไว้เพียงพลังงานธาตุทรายที่บริสุทธิ์ที่สุดไว้ภายใน
แก่นเวทค่อยๆ ลอยเข้าไปอยู่ในมือของเย่ว์หยาง
พลังงานรูปอินทรีทอง ดูเหมือนไม่มีประสิทธิภาพภายใต้เพลิงอมฤต มันติดไฟและไหม้จนไม่เหลืออะไร
ว่านฉีซิ่วหลิงรู้สึกเข่าอ่อนและทรุดตัวลงกับพื้นทันที ศัตรูของเขาแข็งแกร่งมากเกินไป ศัตรูแบบนี้เขาไม่มีทางเอาชนะได้เลย การยั่วยุเย่ว์หยางในตอนนี้เป็นกระทำที่โง่เขลามากจริงๆ แผนของเขาเพื่อเข้ามิติประลองเพื่อปกปิดความสามารถของตัวเขาเอง กลับกลายเป็นขุดหลุมฝังศพให้ตัวเอง สนามพลังทั้งสองที่เย่ว์หยางมีอยู่นี้ ต้องเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 7 และเหนือขึ้นไปเท่านั้นถึงจะเชี่ยวชาญมันได้ อย่างไรก็ตาม บุรุษหนุ่มข้างหน้าเขานี้ ที่เพิ่งจะได้เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 1 ก็สามารถใช้สนามพลังเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย
เขาจะสู้กับศัตรูอย่างนี้ได้อย่างไร?
ว่านฉีซิ่วหลิงมองดูอย่างหวาดหวั่น ขณะที่เย่ว์หย่างวาดวงเวทด้วยมือพลางบริกรรมเวท อักษรรูนสีทองเข้ม ทองสว่างและเงินนับไม่ถ้วนเริ่มปรากฏและส่องแสงระยิบระยับเหมือนกับทางช้างเผือก ในมือของเย่ว์หยาง วงจักรล้างโลกที่ยังหมุนไม่หยุดก่อตัวเป็นรูปร่างช้าๆ เมื่อว่านฉีซิ่วหลิงเห็นภาพทั้งหมดนี้ เขารู้สึกผิดหวังและสิ้นหวัง
สีหน้าของเขาซีดเผือดและตลอดทั้งร่างสั่นจนมิอาจระงับได้
สามแบบเชียวหรือ ความจริงเจ้าเด็กนี่มีสนามพลังที่ไร้เทียมทานถึงสามอย่าง
มิใช่ว่าไม่มีนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนใดสามารถใช้วงจักรล้างโลกได้ แต่ไม่มีนักสู้ปราณก่อกำเนิดผู้สามารถสร้างมันขึ้นมาด้วยพลังอักษรรูนมากมายแน่นอน นั่นคือสนามพลังของเขาแน่นอน
ระเบิดดวงดาว, เพลิงอมฤตและวงจักรล้างโลก สนามพลังทั้งสามอย่างนี้ แต่ละออย่างก็สามารถฆ่าคนได้ทันที
ตอนนี้เขากำลังเผชิญกับสนามพลังทั้งสามเหล่านี้ ว่านฉีซิ่วหลิงจะไม่รู้สึกผิดหวังและสิ้นหวังได้อย่างไร?
“ไป!” เย่ว์หยางเงื้อวงจักรล้างโลกในมือของเขาและเตรียมจะซัดออกไปใส่โล่พลังของว่านฉีซิ่วหลิง ว่านฉีซิ่วหลิงมองเห็นโล่พลังของเขาพังภายใต้การโจมตีของเขา มันดูเหมือนว่าเป็นพลังป้องกันของกระดาษชำระเมื่อเจอการโจมตีของวงจักรล้างโลก ปราณกระบี่ลึกลับเพิ่งจะทำลายโล่พลังได้มาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้พอเจอกับวงจักรล้างโลกที่กำลังตรงมาหาเขา เขาจะต้องพบกับจุดจบที่น่าอนาถแน่นอน
“ไม่ ไม่นะ” ว่านฉีซิ่วหลิงปล่อยพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา แต่ว่าเขาไม่ได้พยายามโจมตีกลับ เขาแค่พยายามหลบหนี
เขากลัวรังสีฆ่าฟันของเย่ว์หยาง
ในทันทีนั้น เขาไม่ใช่นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5 อีกต่อไป เขาเป็นแค่เพียงคนขี้แพ้ที่หวาดหวั่นตื่นตระหนก กลัวจนแทบบ้า
ว่านฉีซิ่วหลิงหนีห่างออกไปร้อยเมตรในเสี้ยววินาที หนีได้ไวกว่าเทเลพอร์ตเสียอีก
เย่ว์หยางไม่สามารถไล่ตามเขาได้ทันแม้จะใช้พลังเทเลพอร์ตก็ตาม
อย่างไรก็ตาม วงจักรล้างโลกของเย่ว์หยางที่เขาซัดออกไปนั้นยังสามารถไล่ตามได้ไวกว่าเวลา, ความเร็วหรือพื้นที่ใดๆ ก็ตาม ว่านฉีซิ่วหลิงมองดูด้วยความหวาดหวั่นขณะที่มันเฉือนใส่ร่างของเขา ว่านฉีซิ่วหลิงสูญเสียความหวังโดยสิ้นเชิง เขาหลับตาช้าๆ รอความตายของเขา ขณะที่เขาจะถูกตัดขาดสองท่อน อินทรีทองอสูรศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ช่วยชีวิตเขาเป็นครั้งที่สาม มันใช้ปีกข้างหนึ่งโจมตีและใช้ปีกอีกข้างหนึ่งคลุมร่างเจ้านายมันไว้ วงจักรล้างโลกฟันขวางใส่ปีกของอินทรีทอง อสูรศักดิ์สิทธิ์และยังตัดใส่ร่างของว่านฉีซิ่วหลิงจากไหล่ซ้ายเฉียงลงมาท้องด้านขวา สิ่งที่อินทรีทองสามารถทำได้ก็คือใช้พลังของมันทั้งหมดปกป้องชีวิตของเจ้านาย
ว่านฉีซิ่วหลิงเสียร่างไปครึ่งตัว แต่ศีรษะเขายังรักษาไว้ได้เนื่องจากการเสียสละของอินทรีทองอสูรศักดิ์สิทธิ์ของเขา
เขายังคงมีชีวิต
อินทรีทองระดับ 10 อสูรศักดิ์สิทธิ์จงใจออกมาจากร่างของว่านฉีซิ่วหลิง มันยกปีกขวางกันเย่ว์หยางไว้
แม้วินาทีสุดท้าย มันก็ยังปกป้องเจ้านายของมัน
นี่คือสิ่งที่อสูรพิทักษ์ทำกัน
นี่คืออสูรพิทักษ์ที่ไม่มีวันทรยศหักหลังเจ้านาย
ถ้าเย่ว์หยางไม่มีระเบิดดวงดาว, เพลิงอมฤตหรือวงจักรล้างโลก สนามพลังทั้งสามอย่างนี้ซึ่งไม่ทางป้องกันต่อต้านได้ อินทรีทองอสูรศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงสู้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ ไม่มีประโยชน์ที่จะสู้ต่อไปอีกแล้ว มันเพียงแต่หวังว่าจะปกป้องเจ้านายของมันให้ได้จนลมหายใจเฮือกสุดท้าย มันต้องการตายก่อนเจ้านายของมัน
ทันใดนั้นเสี่ยวเหวินหลีลอยออกมาจากร่างของเย่ว์หยาง ร่างอาบด้วยแสงสีรุ้ง
ดวงตาของเธอที่เหมือนกับพูดได้นับพันคำมองดูปีกของอินทรีทองอสูรศักดิ์สิทธิ์โดยไม่กระพริบตา มันถูกฟันหล่นอยู่กับพื้น
มือน้อยๆ ของเธอประสานแสดงคารวะให้อินทรีทองอสูรศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับนักรบทักทายนักรบอีกคนหนึ่ง ในทำนองเดียวกัน อินทรีทองก็งอปีกแสดงความคารวะตอบเสี่ยวเหวินหลีด้วยความนับถือ
มันหันมามองดูว่านฉีซิ่วหลิงที่ใกล้จะตาย
นัยน์ตาของมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนเหมือนของมนุษย์ มีทั้งรักและสงสาร
“ข้าเสียใจ ซาซา, ข้าผิดไปแล้ว” น้ำตาอุ่นไหลจากดวงตาของว่านฉีซิ่วหลิง ขณะที่เขาร้องเรียกอินทรีทอง อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเขา “แผนป่าเถื่อนดื้อรั้นของข้าทำให้เจ้าต้องตาย ถ้าเพียงแต่ ข้าเห็นด้วยกับเจ้าและกลับบ้านในตอนนั้น เรื่องทุกอย่างนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เป็นความผิดของข้าที่อยากได้บัลลังก์ของจักรพรรดิแห่งจื่อเว่ย ข้าริษยาซุ่นเทียนที่ได้ครอบครองทุกอย่างมากเกินไป ความละโมบของข้าทำร้ายเจ้าจนตาย ข้าเสียใจ, ซาซา! ข้าเสียใจจริงๆ”
ในท่ามกลางแสงทองที่อาบร่าง อินทรีทองอสูรศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ เปลี่ยนลักษณะจนกลายเป็นหญิงสาวสวยวัยประมาณสามสิบ
แขนข้างหนึ่งของนางถูกตัดขาด เลือดยังคงไหลไม่หยุดจากบาดแผลของนาง
นางส่ายหน้าให้ว่านฉีซิ่วหลิงก่อน จากนั้นหันมาโค้งคำนับให้เสี่ยวเหวินหลีเป็นครั้งที่สอง
จากนั้นนางใช้มือขวาของนางแทงหัวใจนางเอง
เล็บที่ยาวและคมของนางแทงทะลุหัวใจของนาง นางทรุดลงกับพื้นอยู่ในอ้อมแขนของว่านฉีซิ่วหลิง นางมองดูเขาด้วยความรู้สึกเต็มเปี่ยมเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่นางจะหลับตาคู่งามในที่สุด
ว่านฉีซิ่วหลิงร่ำไห้อย่างเจ็บปวด เสียงของเขาดังโหยหวน
น้ำตาแห่งความเสียใจยังหลั่งไหลไม่หยุด
เดิมทีเขาได้ครอบครองพลังที่คนธรรมดายังต้องอิจฉาเขา เขามีสตรีที่ยอมตายในอ้อมแขนเขามากกว่าจะเจอในที่ใดๆ เขามีความรักและความสุขที่คนอื่นได้แต่หวัง แต่ทุกอย่างพังทลายเพราะความละโมบของเขา
“ฆ่าข้าเดี๋ยวนี้… ข้าจะไม่ปล่อยให้ซาซาต้องรอข้านานเกินไป ข้าติดค้างนางมากเกินไป!” ว่านฉีซิ่วหลิงร้องลั่น
ดาบโค้งของเสี่ยวเหวินหลีฟันใส่เหมือนประกายหิมะตก
เพียงฉับเดียว เธอก็ดัดศีรษะว่านฉีซิ่วหลิงขาด
หลังจากฆ่าว่านฉีซิ่วหลิงเธอหันไปกอดเย่ว์หยางผู้กำลังรออยู่ไว้แน่น น้ำตาอุ่นๆ ไหลเป็นสายจากดวงตากลมโตของเธอ เย่ว์หยางค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้เธอ แล้วกอดเธอไว้แน่น เขาจูบหน้าผากเธอและพูดว่า “เราต้องจดจำวันนี้ไว้ เราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น อย่าปล่อยให้ความสุขของเราต้องหลุดมือไป เราต้องแข็งแกร่งขึ้นและเอาชนะศัตรูของเราให้ได้ทั้งหมด เราต้องไม่ยอมให้คนอื่นมาหยุดยั้งเราไว้”
“อือ..!” เสี่ยวเหวินหลีพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนที่เธอจะชูดาบคู่ตะโกนดังลั่น
เสียงของเธอแสดงให้เห็นจิตวิญญาณนักสู้ที่ล้ำลึกของเธอ เหมือนกับว่าเธอตอบรับคำพูดของเย่ว์หยาง
แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและเอาชนะศัตรูของพวกเขาให้ได้ทั้งหมด
ทันใดนั้นคัมภีร์เพชรของเธอปรากฏขึ้นมาพร้อมกับเมดูซาศิลา, นางเงือกวายุ, นาคาสายฟ้าและขุนพลปีศาจอสรพิษน้ำแข็งที่เย่ว์หยางไม่เคยเห็นนางปรากฏตัวมาก่อน ขุนพลปีศาจอสรพิษน้ำแข็งถือดาบโค้งคู่ แต่ดาบโค้งคู่ของนางปีศาจอสรพิษน้ำแข็งนั้นใหญ่กว่าดาบคู่ของเสี่ยวเหวินหลีถึงสิบเท่า ไอเย็นที่ปล่อยออกมาจากดาบนั้นน่ากลัว ทันทีที่นางปรากฏตัวขึ้น พื้นปฐพีที่มีเพลิงเผาไหม้ก็ถูกแช่แข็งทันที พื้นที่ทั้งหมดกลายเป็นนรกน้ำแข็ง
นางปีศาจอสรพิษน้ำแข็งนี้ดูมีลักษณะคล้ายกับเสี่ยวเหวินหลี แต่นางดูเป็นผู้ใหญ่และสง่างามกว่า เหมือนกับว่านางคือขุนพลนักรบผู้ยิ่งใหญ่ในสงคราม
ร่างของนางมีเกราะแพลตตินัมคลุมอยู่ มันถูกสลักด้วยอักษรรูนสวรรค์และรูนโบราณ
ขุนพลปีศาจอสรพิษน้ำแข็งที่ดูงามสง่านี้ ความจริงคือหนึ่งในอสูรพิทักษ์ของเสี่ยวเหวินหลี ปีศาจอสรพิษน้ำแข็งนั่นเอง
ต่อจากเสี่ยวเหวินหลี เมดูซาศิลา, นางเงือกวายุ, นาคาสายฟ้าและปีศาจอสรพิษน้ำแข็งทั้งหมดพากันชูอาวุธตะโกนก้องออกไปในท้องฟ้า
ทันใดนั้นรัศมีแสงสีรุ้งหลากสีฉายออกจากร่างของเสี่ยวเหวินหลี ที่คัมภีร์เพชรและร่างของอสูรทั้งสี่ ลำแสงห้าสายสีทองหม่นฉายออกทันทีโอบล้อมลำแสงสีรุ้งไว้ในท่ามกลาง กลุ่มของลำแสงก่อตัวเป็นรูปลำแสงขนาดยักษ์ยิงออกไปในอากาศจนสุดสายตา
“ระดับของเธอเพิ่มขึ้นหรือ?” เย่ว์หยางพบว่าในท่ามกลางความประหลาดใจ ในที่สุดเสี่ยวเหวินหลีก็ยกระดับจนได้
เสี่ยวเหวินหลีไม่เคยแสดงสัญญาณใดๆ ว่าจะยกระดับไม่ว่าศัตรูที่พ่ายแพ้ไปแล้วจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม เสี่ยวเหวินหลีแค่ยกระดับครั้งหนึ่ง เมื่อตอนที่พวกเขาพยายามไปเก็บหญ้าประกายดาวและไปกระตุ้นการทำงานของวงเวทอักษรรูนโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดเธอก็ยกระดับอีกครั้งกลายเป็นอสูรชั้นเพชร ระดับ 3
แม้ว่าเสี่ยวเหวินหลีจะยกระดับก็ตาม แต่ก็นับว่าช้ามาก
อย่างไรก็ตาม พลังของเสี่ยวเหวินหลีเพิ่มขึ้นมากมายทุกครั้งที่เธอยกระดับ เย่ว์หยางสงสัยจริงๆ ว่าเสี่ยวเหวินหลีนี้ ความจริงเป็นอสูรในตำนาน เธอน่าจะเหนือกว่าอสูรในตำนานด้วยซ้ำ เธอคงต้องมีความต้องการที่แตกต่างเพื่อจะยกระดับต่างจากสัตว์อสูรอื่น ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ใช้เวลาในการยกระดับนานมาก เธอเป็นธิดาสุดที่รักของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี คงไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าเธอเป็นเหมือนอสูรธรรมดา
เย่ว์หยางไม่สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเสี่ยวเหวินหลียกระดับได้อย่างไร เพราะหลังจากเธอยกระดับเสร็จก็โถมตัวเข้ากอดเย่ว์หยางทันทีและจูบแก้มเขาด้วยความปลื้มใจ เป็นเหมือนกับว่าเธอสอบได้ร้อยคะแนนเต็มไม่อาจอดรนทนได้ที่จะบอกบิดาของเธอ
เย่ว์หยางปลาบปลื้มใจมากจนแทบโพล่งออกมาว่า มีลูกสาวคนนี้ในมือโลกก็เป็นข้าแล้ว
************