ตอนที่ 10-4 เครื่องจักรสงคราม
“ครืนนน..”
สายน้ำไหลลงมาจากน้ำตกที่สูงหลายสิบเมตรกระแทกปะทะใส่แอ่งน้ำลึกจนถึงก้นเกิดละอองน้ำฟุ้งกระจายไปทั่วน้ำในสระลึกนี้ไหลลงลำธารแคบสายหนึ่งคดเคี้ยวไปตามทาง บาร์เกอร์และซาสเลอร์ไปตามลำธารน้ำน้อยลึกเข้าไปในภูเขาแบล็คคราเวน
ที่สุดลำธารนี้เป็นทะลาบที่สงบ ตรงกลางทะเลสาบมีกระท่อมไม้ที่ดูสูงสง่า
ข้างหน้ากระท่อมไม้มีบุรุษหนุ่มผมยาวในชุดยาวหลวมกำลังกวัดแกว่งกระบี่ยาวสีม่วงอย่างช้า แต่ในความเป็นจริง ความช้านี้เป็นเพียงภาพลวงตาเป็นความเข้าใจผิดของซาสเลอร์และบาร์เกอร์ แม้ว่าดูเหมือนช้า แต่ในความเป็นจริง มันดูรวดเร็วน่ากลัว
ความรับรู้ที่ผิดนี้ทำให้บาร์เกอร์และซาสเลอร์สะดุ้งจนแทบกระอักโลหิต
ในการสะบัดกระบี่แต่ละครั้งดูเหมือนว่าพื้นที่มิติรอบๆ เหมือนกับจะบิดตัว
บาร์เกอร์และซาสเลอร์มองหน้ากันและกัน ตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจเวลาผ่านไปไม่กี่เดือน แต่ลินลี่ย์ก้าวหน้าไปอีกระดับหนึ่ง! พวกเขาไม่เคยเห็นลินลี่ย์ใช้วิชากระบี่แบบนี้มาก่อน ตอนนี้จากสิ่งที่พวกเขาเห็น พวกเขามั่นใจ...ว่าวิชากระบี่นี้มีพลังอย่างน่าอัศจรรย์แน่นอน
บาร์เกอร์และซาสเลอร์ยืนรอเงียบๆอยู่ที่ฝั่งทะเลสาบ
หลังจากผ่านไปนานลินลี่ย์ก็เก็บกระบี่
“เข้ามาเถอะ” แค่เพียงลินลี่ย์โบกมือก็เกิดลมพัดรุนแรงสร้างเป็นสะพานอากาศระหว่างกระท่อมไม้กับฝั่งทะเลสาบ “พวกท่านแค่เดินข้ามมาได้เลยไม่ต้องกลัวว่าจะร่วง”
บาร์เกอร์และซาสเลอร์มองหน้ากันเองและจากนั้นพวกเขาจึงก้าวลงบนสะพานอากาศเดินไปยังกระท่อมไม้กลางทะเลสาบที่ลินลี่ย์อาศัยอยู่
ลินลี่ย์นั่งลงที่ม้านั่งหินใกล้ๆ เพียงแค่พลิกมือเขาดึงขวดเหล้าและแก้วออกมาอีกสามใบ เขาหัวเราะอย่างสบายใจกล่าว “ซาสเลอร์ ถ้าท่านมานี่เมื่อสองสามวันก่อน บางทีข้าคงได้แต่ใช้ลมดึงท่านเข้ามาตรงๆ ข้ายังไม่มีความสามารถอย่างที่ทำได้ตอนนี้เลย”
ซาสเลอร์เป็นพ่อมดจอมเวทระดับเก้า แม้ว่าเขาเกือบจะเข้าถึงระดับเซียนอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังบินไม่ได้ และเพราะร่างกายอ่อนแอเปราะบางจึงไม่มีทางที่เขาจะเดินอยู่บนผิวน้ำได้
“ใต้เท้า เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น?” บาร์เกอร์ยังไม่หายจากอาการตกใจ
ซาสเลอร์มองดูลินลี่ย์เช่นกัน ลินลี่ย์หัวเราะและอธิบาย “เป็นแค่หนึ่งในวิธีใช้กฎธรรมชาติธาตุลม เมื่อยังไม่นานมานี้ ข้าเพิ่งรู้แจ้งในด้านความช้าซึ่งทำให้ข้าสามารถทำสิ่งที่ข้าเพิ่งทำลงไปนี้ แต่ข้ายังค่อนข้างห่างจากระดับล็อคพื้นที่อยู่มาก”
“การล็อคพื้นที่คืออะไร?” ซาสเลอร์สงสัย
ลินลี่ย์ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม ซาสเลอร์และบาร์เกอร์ไม่ได้ฝึกกฎธรรมชาติของธาตุลมเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะเข้าใจคำอธิบายของเขา? เมื่อลินลี่ย์ซ้อมฝีมือกับมิลเลอร์ ยอดฝีมือผู้นั้นมาจากหมู่บ้านภูเขาลึกลับลินลี่ย์มองเห็นเส้นทางทำความเข้าใจด้านช้าของลมอย่างลึกซึ้งทันที จึงเป็นธรรมดาที่ทำให้การฝึกฝนก้าวหน้าเร็วเป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามครึ่งหนึ่งเท่านั้น
ถ้ามิลเลอร์ไม่มาเห็นการฝึกฝนของลินลี่ย์ เขาจะตกใจได้ยังไง
ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนลินลี่ย์ก็สามารถก้าวหน้าได้มากมายขนาดนี้ ระดับในความก้าวหน้านี้นับว่าเร็วจนน่ากลัว
เมื่อรินเหล้าให้แต่ละคนแล้ว ลินลี่ย์ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ เขายิ้มพลางกล่าว“บอกเหตุผลที่พวกท่านมาที่นี่ได้แล้ว”
บาร์เกอร์พูด“ใต้เท้า หลังจากใช้เวลาจัดการในดินแดนปัจจุบันของเราแล้ว เราจัดตั้งกองทัพของเราได้สำเร็จแล้ว และเพราะพวกเขาฝึกฝนมาสามเดือนแล้ว ได้เวลาจะบุกเมืองอื่นอีกสองสามเมือง” ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดเหล่านี้ รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าของลินลี่ย์
เขารอวันนี้อย่างกระตือรือร้น
“ครั้งนี้, เราควรจะบุกโจมตีระดับหัวเมืองใช่ไหม?” ลินลี่ย์กล่าว
ซาสเลอร์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆพยักหน้า “ถูกแล้ว ตามแผนของข้าครั้งนี้เราควรจะโจมตีเมืองน้อยสามเมืองและหัวเมืองโมแอ็ตอีกเมืองหนึ่ง” ฝ่ายลินลี่ย์ปัจจุบันนี้มีอยู่หกเมืองและหกกองพลมีกำลังพลห้าหมื่นนาย อำนาจของกองทัพขนาดนี้เท่ากับหัวเมืองปกครอง
อย่างไรก็ตาม...
ด้านลินลี่ย์ก็มียอดฝีมืออยู่ด้วย! นี่คือข้อได้เปรียบแน่นอน
“หลังจากที่เราโค่นหัวเมืองได้ เราจะสามารถประกาศต่อสาธารณะได้ว่าเราจะก่อตั้งแคว้นอิสระ” บาร์เกอร์หัวเราะ
ลินลี่ย์รอการก่อตั้งแคว้นอิสระอย่างกระตือรือร้น เขายังคงจำได้ถึงคำนัดหมายของเดเลียกับเขาในจดหมายนั้น วันที่เขาพบว่าเขาก่อตั้งแคว้นปกครองตนเองได้จะเป็นวันที่เดเลียออกจากจักรวรรดิยูลานเพื่อมาตามหาเขา
“ลินลี่ย์” ซาสเลอร์ถาม “หลังจากเราโค่นหัวเมืองได้ เราจะทำยังไงกันต่อ? ควรจะยึดเมืองน้อยซึ่งไม่ใช่เป็นของศาสนจักรเจิดจรัสและไม่ใช่ทั้งของลิทธิเงาด้วยหรือไม่? หรือว่าเราจะเปิดฉากโจมตีเมืองซึ่งอยู่ในความคุ้มครองของศาสนจักรเจิดจรัส?”
ตามแผนที่สู้รบของเขา หลังจากโค่นล้มหัวเมืองใหญ่ได้ ดินแดนด้านใต้ของเขตซึ่งลินลี่ย์ควบคุมไว้ได้อยู่ภายใต้การปกครองของศาสนจักรเจิดจรัส
แน่นอนว่าการควบคุมของศาสนจักรเจิดจรัสเป็นไปอย่างลับ โดยผิวเผินพวกเขาจะเป็นแคว้นอิสระกันหมด แต่ในความเป็นจริงเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของศาสนจักรเจิดจรัสและอยู่ภายใต้การควบคุมของลัทธิเงา! วิธีทำเช่นนั้นให้ดูง่ายๆดูที่วิหารในหัวเมืองใหญ่นั้น ถ้าเมืองนั้นมีวิหารเจิดจรัสอยู่อยู่ด้วย อย่างนั้นแคว้นอิสระนั้นศาสนจักรเจิดจรัสก็ควบคุมอยู่อย่างลับๆ
ถ้ามีวิหารเงาอยู่ด้วย อย่างนั้นหัวเมืองนั้นก็ถูกควบคุมโดยลัทธิเงา
“เริ่มโจมตีแคว้นที่ถูกศาสนจักรเจิดจรัสควบคุม” ตาของลินลี่ย์หรี่แคบเนื่องจากเขาตัดสินใจ “ในขณะที่กิจการของเราเติบโตขยายเพิ่มขึ้น เครือข่ายข่าวกรองของศาสนจักรเจิดจรัสจะต้องสังเกตห้าพี่น้องบาร์เกอร์ออกแน่นอน เมื่อรู้ว่าพวกท่านอยู่ที่นี่ก็คงจะเป็นเรื่องแปลกที่พวกเขาไม่รู้ว่าข้าลินลี่ย์ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน”
ลินลี่ย์มองดูบาร์เกอร์และซาสเลอร์จากนั้นหัวเราะเบาๆ “หลังจากโค่นหัวเมืองปกครองได้ เราจะใช้เวลาระยะหนึ่งสร้างเสถียรภาพและปรับโครงสร้างกองทัพของเรา หลังจากปรับโครงสร้างกองทัพของเราจากนั้นเราค่อยเริ่มโจมตีดินแดนที่ตกอยู่ในความครอบครองของศาสนจักรเจิดจรัส!”
“แต่แน่นอนว่า ให้เพียงแต่โจมตีเล็กๆ น้อยๆ ก่อนและดูว่าศาสนจักรเจิดจรัสจะตอบสนองอย่างไร” ลินลี่ย์หัวเราะอย่างใจเย็น “มาดูกันว่า ถ้าพวกเขาตอบโต้ทันทีหรือถ้าพวกเขาจะงดเว้นจากการกระทำเช่นนั้นหรือว่าพวกเขาจะส่งยอดฝีมือไปหาข้ากันแน่”
ซาสเลอร์เข้าใจความตั้งใจของลินลี่ย์ เขาหัวเราะและกล่าว “ใช่แล้วถ้าศาสนจักรเจิดจรัสจะสู้กับเจ้าโดยเปิดเผยนะลินลี่ย์ อย่างนั้น...ชื่อของแคว้นปกครองนี้ก็ตั้งตามชื่อตระกูลของเจ้าเลย เราเรียกว่าแคว้นบาลุค!”
“แต่ถ้าศาสนจักรเจิดจรัสอดกลั้น อย่างนั้นเราก็สามารถทำเป็นเหมือนกับว่าเจ้าไม่อยู่ที่นี่ และเราจะสุ่มเลือกชื่อแคว้นอิสระ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซาสเลอร์ ลินลี่ย์พยักหน้าเห็นด้วย
ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาต้องการดูก็คือศาสนจักรเจิดจรัสจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ถ้ายอดฝีมือของศาสนจักรเจิดจรัสไม่ปรากฏตัว อย่างนั้นลินลี่ย์ก็จะไม่ลงมือ เขาจะปล่อยให้บาร์เกอร์และน้องๆ ก่อกวนหนักโจมตีเมืองน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้ายอดฝีมือฝ่ายศัตรูปรากฏ... อย่างนั้นพวกเขาจะตอบสนองในลักษณะนี้
“เราจะเริ่มโจมตีเมืองโมแอ็ตเมื่อใด?” บาร์เกอร์มองดูลินลี่ย์
“รีบๆ เลย, เริ่มกันได้แล้ว” ลินลี่ย์ตอบ
คำพูดของลินลี่ย์ทำให้เมืองทั้งหกเริ่มรวมตัวกันทำสงคราม กองพลหนึ่งมีกำลังพลเก้าพันนาย นำโดยบูน, อังเก้และเฮเซอร์ออกไปตีเมืองน้อยอีกสามเมือง ขณะที่อีกสี่กองพลอยู่ภายใต้การนำของบาร์เกอร์และเกทส์ออกไปโจมตีหัวเมืองใหญ่โมแอ็ต
ซาสเลอร์ดูแลเมืองแบล็คเดิร์ท
“ฆ่า!” พื้นใต้กำแพงเมืองโมแอ็ตนองไปด้วยเลือด ตอนแรกหัวเมืองโมแอ็ตส่งกองทัพออกมาสองหมื่นเตรียมเตรียมรบประจัญบานกับศัตรูโดยตรง แต่เมื่อกองทัพศัตรูนำโดยเกทส์และบาร์เกอร์บุกตะลุยใส่พวกเขาจึงเกิดการบาดเจ็บล้มตายขนานใหญ่
เกทส์และบาร์เกอร์คือสองเทพนักรบที่น่ากลัว
ที่ใดก็ตามที่ขวานยักษ์กวัดแกว่งไปถึงจะมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ละกองทัพก็มีหน่วยทหารฝีมือดีเป็นของตนเอง และเกทส์กับบาร์เกอร์มุ่งเน้นที่กลุ่มคนพวกนั้นที่ใดก็ตามที่ยากจะต้านทาน พวกเขาจะเข้าไปสนับสนุน
ในเวลาอันรวดเร็วกำลังพลสองหมื่นนายของหัวเมืองโมแอ็ตก็แตกกระเจิงกำลังใจของพวกเขาหดหาย หลายคนยอมแพ้อยู่กับที่ทันที
ทหารมากกว่าครึ่งหนึ่งตายผู้โชคดีรอดชีวิต..ถูกจับหมด
พวกเขาไม่สามารถหนีได้ต่อให้พวกเขาต้องการก็ตาม ประตูของเมืองโมแอ็ตปิดอย่างแน่นหนา เจ้าเมืองโมแอ็ตไม่กล้าเปิดประตู พอเขาทำเช่นนั้นสองคนนี้จะต้องบุกเข้ามาและเขาจะตายแน่นอน ตอนนี้หัวเมืองโมแอ็ตมีทหารเพียงสองหมื่น
ทหารเมืองแบล็คเดิร์ทจัดขบวนเป็นแถวเรียบร้อย เชลยทั้งหนึ่งหมื่นเสียขวัญและได้รับบาดเจ็บมีเพียงสองหรือสามพันคนที่อยู่ในสนามรบ โลหิตหลั่งนองพื้นและขวัญกำลังใจของทหารรักษาหัวเมืองโมแอ็ตตกต่ำสุดขีด
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกเขาถึงยืนอยู่ไกลนักเล่า?”หน่วยทหารรักษาเมืองยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้น แถวของศัตรูอยู่ไกลเกินระยะธนู
ทันใดนั้นผู้นำที่เหมือนเทพสงครามบุกเข้ามาด้วยความเร็วสูงทันทีพร้อมกับขวานยักษ์ในมือ ความเร็วของพวกเขาเร็วมากจนทุกคนได้แต่จ้องมองดู ทหารรักษาเมืองตะโกนทันที “พลธนู, เตรียมยิงโจมตีสองคนนี้ ยิง!”
พลธนูฝีมือดีร้อยคนได้รับคัดเลือกจากแผนกทั่วไปติดอาวุธที่มีประสิทธิภาพดีรุนแรงพวกเขาเริ่มยิงใส่บุรุษทั้งสองคน อย่างไรก็ตาม บาร์เกอร์และเกทส์รวดเร็วมากมีธนูไม่กี่ดอกที่ยิงถูกพวกเขา แต่ธนูเหล่านั้นก็ถูกป้องกันไว้อีก
“ฮ่าฮ่า ดูนี่สิ!”เกทส์คำรามอย่างตื่นเต้น เมื่อขวานยักษ์ที่น่ากลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้นเขาฟันใส่ประตูเมืองที่อยู่ห่างออกไป
“บึ้ม!”
ทันใดนั้นเสียงที่น่ากลัวดังมาจากประตูเมือง ประตูเมืองที่แข็งแรงสั่นและเริ่มแตกร้าวแต่ยังไม่พังทลาย
“ประตูของหัวเมืองจะทนมากกว่าประตูเมืองเล็ก” เกทส์หัวเราะลั่นเสียงหัวเราะของเขาดังสะเทือนถึงท้องฟ้า ทหารที่กำแพงเมืองโมแอ็ตได้ยินเสียงชัด “พี่ใหญ่! ท่านไม่ต้องเข้ามาก็ได้ ข้าสามารถจัดการกับประตูได้”
การระเบิดที่ทรงพลังดังมาจากที่ไกลทำให้ทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองหน้าซีด
ใครจะสู้ศึกแบบนี้กันเล่า?
กระแทกใส่ประตูหน้าและบุกเข้ามา?
“กลิ้งก้อนหิน, เร็วเข้า, กลิ้งก้อนหิน!” เสียงสั่นจากเจ้าเมืองดังขึ้น กำแพงเมืองหนาเกินกว่าสิบเมตร นอกจากประตูเมืองที่ปิดไว้ตามปติแล้ว ยังมีช่องรางอีกสองสามช่อง จากตรงช่องเหล่านั้น หินขนาดใหญ่เริ่มกลิ้งลงมา
หินก้อนใหญ่หนากลิ้งกระแทกลงมาด้วยพลังที่ต่อให้เป็นนักรบระดับเก้าก็ไม่กล้าเพิกเฉย ก้อนหินเหล่านี้ใช้จัดการกับยอดฝีมือเป็นพิเศษ
“กลิ้งก้อนหินหรือ?”
เกทส์สีหน้าเปลี่ยนและเขาคำรามด้วยความโกรธ “แม่มันเอ๊ย หลีกไปให้พ้นทางข้า!” ขวานยักษ์นั้นเคลื่อนไหวราวกับใบไม้คล่องแคล่วและสัมผัสประตูอย่างแผ่วเบา ประตูสั่นสะเทือนรุนแรงและจากนั้นก็แตกหักเป็นสองส่วน แต่เสียงถล่มดังขึ้น ก้อนหินเหล่านั้นเริ่มร่วงลงมาปิดขวางทางเข้าเมืองไว้
“ทำลาย” บาร์เกอร์ใช้วิชาแบบเดียวกัน ‘กวัดแกว่งของหนักเสมือนของเบา’
“บึ้ม!” ก้อนหินสั่นสะเทือนและแตกสะเก็ดเป็นชิ้นๆกระเด็นไปทั่วทุกที่ รอยแตกลึกเกินหนึ่งเมตรปรากฏบนผิวก้อนหิน แต่เทียบกับขนาดใหญ่ที่มหึมา รอยแตกลึกนี้มีความหมายเล็กน้อยเท่านั้น
เกทส์และบาร์เกอร์มองหน้ากันเอง
“เราจะต้องทำตามคำสั่งของใต้เท้า” เกทส์หัวเราะ
เนื่องจากลินลี่ย์เน้นย้ำบาร์เกอร์และน้องๆของเขาว่าให้เก็บสถานะของนักรบอมตะไว้เป็นความลับ พวกเขาเป็นหนึ่งในอาวุธลับของลินลี่ย์ ที่สำคัญศาสนจักรเจิดจรัสไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาแน่นอน สิ่งที่พวกเขาเปิดเผยไปแล้วจะเป็นสิ่งที่ศาสนจักรเจิดจรัสรู้แล้ว
“แฮรุ!” บาร์เกอร์ส่งเสียงคำรามลั่น
“โกรววววว!”เสียงคำรามสะท้านสะเทือนดินสามารถได้ยินได้ และเสือดำที่น่ากลัวซึ่งอยู่ในกลางกองทัพขยายขนาดใหญ่ทันที มันสูงถึงสิบเมตรและยาวยี่สิบเมตรเมื่อเห็นอสูรเวทสูงเท่าอาคารสามชั้น.. คนทั้งหมดในเมืองโมแอ็ตตะลึงกันหมด
“อสูรเวทระดับเซียน!”
ทหารรักษาเมืองพูดไม่ออก
“ปัง!” แฮรุที่สูงเท่าอาคารสามชั้นเปลี่ยนสภาพเป็นเงาดำบุกเข้าโจมตีประตูเมือง ในพริบตาเขาย่นระยะทางพันเมตรมาถึงหน้าประตูเมือง ประตูเมืองสูงยี่สิบเมตร แต่ร่างที่น่ากลัวของแฮรุกระแทกใส่ลูกหินหน้าสิบเมตรโดยตรง
เสียงระเบิดได้ยินชัดเจน
ก้อนหินแตกกระจายเหมือนกับทำจากเต้าหู้ ชิ้นสะเก็ดหินกระเด็นไปทั่วทุกทิศ ทหารเฝ้ากำแพงหลายคนถูกหินกระแทกศีรษะแตกทำลายบ้างก็อกทะลุ และนั่นเป็นแค่การเรียกน้ำย่อยเท่านั้น
แฮรุอสูรเวทที่น่ากลัวบุกเข้าใส่และเริ่มสังหาร
เขาเป็นเครื่องจักรสงครามอย่างแท้จริง อะไรก็ตามที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาจะถูกย่ำจนตายหรือไม่ก็ชนกระเด็นมีผู้บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน!
“ยอมแพ้! เรายอมแพ้แล้ว!”
“ยอมแพ้!!!”
แม้แต่นักรบที่มั่นคงที่สุดเมื่อเผชิญหน้ากับอสูรเวทที่น่ากลัว ต่างก็รู้สึกไร้กำลัง ทุกคนโยนอาวุธทิ้งและคุกเข่าลงส่งสัญญาณยอมแพ้ อสูรเวทระดับเซียน...เป็นไปได้ยังไงที่ทหารอย่างพวกเขาจะต่อต้านพลังที่เหนือกว่าอย่างนั้น
“ยอมแพ้ ข้ายอมแพ้แล้ว” เจ้าเมืองหัวเมืองโมแอ็ตทิ้งตัวคุกเข่าและสั่นไปทั้งตัว
หลังจากยึดเมืองโมแอ็ตแล้วฝ่ายลินลี่ย์ในตอนนี้มีระดับหัวเมืองปกครองและมีเมืองบริวารอีกเก้าเมือง และตอนนี้มีประชากรในปกครองเก้าล้านคน พวกเขาอาจนับได้ว่าเป็นแคว้นปกครองขนาดใหญ่ได้แล้ว