Ep.498 - ปล่อยมือ
2/5
Ep.498 - ปล่อยมือ
คูเวตันนำฮังอวี่เข้าสู่เมืองเหนี่ยวนำมนตราที่ชื่อว่าเมืองหนามทมิฬ
โครงสร้างภายในของเมืองนี้ วิเศษเกินจินตนาการ ตัวเมืองมีลักษณะเป็นกำแพงล้อมรอบด้วยพีระมิดหลายแห่ง พีระมิดตรงกลางมีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นพื้นที่หลักของเมือง แต่พีระมิดอื่น ๆ อีกหลายแห่งก็มีหน้าที่ของตัวเองเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้ฮังอวี่ประหลาดใจก็คือ
เมืองนี้มีกองทหาร นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ที่มีสติปัญญาจำนวนมาก เป็นชาวนากาซะส่วนใหญ่ แต่ก็มีเผ่าพันธุ์อื่นเช่นกัน เช่นคนแคระ โนมส์ และชาวมังกร
ทั้งหมดเป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตร
เมื่อพวกเขารู้ว่าราชาปีศาจแห่งห้วงทะเลลึกผู้ทรงพลังถูกสังหาร ทั้งหมดแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ
ราชาปีศาจแห่งห้วงทะเลลึกคือมอนสเตอร์ระดับราชันย์!
ทั่วทั้งอาณาจักรมังกรโลกา นอกเหนือจากมังกรคลั่งเฮสการ์คิดว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถสังหารมันได้อีก
อย่าบอกนะว่าขุมพลังระดับราชันย์อีกตนปรากฏขึ้นแล้ว? ไม่งั้นชายที่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่เคยพบเคยเห็นผู้นี้ เขาจะสามารถกำจัดราชาปีศาจแห่งห้วงทะเลลึกโดยลำพังได้อย่างไร?
ฮังอวี่เอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
คูเวตันอธิบายว่า “เราพบเมืองนี้เมื่อหลายสิบปีก่อน เดิมวางแผนจะใช้มันบุกโจมตีสายฟ้าแลบ”
“แต่คาดไม่ถึง ว่ายังไม่ทันซ่อมแซมเมืองอย่างเต็มที่ ราชามังกรคลั่งดันตื่นตัวต่อการแผ่ขยายอำนาจของกลุ่มพันธมิตร ออกไล่ทำลายฐานที่มั่นสำคัญในแคว้นทะเลตะวันตกของพวกเรา”
“เพื่อหลบหลีกหนีจากเงื้อมมือของราชามังกร พวกเราเลยตัดสินใจตัดการติดต่อกับสหายในโลกเบื้องบน ... อาวุธลับที่เดิมเตรียมไว้รับมือเฮสการ์ สุดท้ายกลายมาเป็นที่พึ่งเพื่อความอยู่รอดของพวกเรา ฟังดูน่าขันใช่ไหม?”
นอกจากเรื่องนี้ ระหว่างสนทนา ฮังอวี่ยังได้รู้ว่าคูเวตันเป็นนักหลอมอาวุธระดับกึ่งผู้เชี่ยวชาญ
และเขายังเป็นขุมพลังที่ทัดเทียมกับระดับผู้ครองแคว้น ซึ่งการที่สามารถคุมเมืองลอยฟ้าแห่งนี้ได้ ก็ชัดเจนว่ามีพลังมาก เป็นความหวังที่จะล้มล้างการปกครองของราชามังกรคลั่ง
คำสั่งของคูเวตันในตอนนั้นคือเฮสการ์ห้ามล่วงรู้ถึงที่ตั้งของเมืองๆนี้ มิฉะนั้นผลที่ตามมาจะเป็นหายนะ
ซึ่งไม่นึกฝันเลย
ว่าหลังจากเนิ่นนานหลายปีที่ไม่กล้าโผล่หน้า ในที่สุดพวกเขาก็ถูกพบ
ฮังอวี่สารภาพจุดประสงค์ของการมาถึงที่นี่
คูเวตันตกใจมาก
“กองทัพพันธมิตรกำลังเผชิญหน้ากับเฮสการ์อีกครั้ง?”
ฮังอวี่กล่าวว่า “ครั้งนี้เราได้ยึดครองทั้งแคว้นเดียวดาย ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคหลัก แตกหักกับเฮสการ์ เราต้องการพลังของเมืองหนามทมิฬและทุกท่าน!”
คูเวตัน เข้าใจจุดประสงค์ของการมาเยือนของฮังอวี่
อย่างไรก็ตาม เขากลับแสดงท่าทีลำบากใจ
“ข้าเคยสัมผัสกับความน่าสะพรึงและความสิ้นหวังที่ราชามังกรนำมาด้วยตาตัวเองแล้ว ข้าไม่คิดว่าจะมีขุมพลังใดในอาณาจักรนี้ต่อกรกับราชามังกรได้” คูเวตันส่ายหัวและพูดว่า “ในฐานะผู้ปกปักษ์เมืองหนามทมิฬ ข้าไม่อาจรีบร้อนเดิมพันเมืองหนามทมิฬไปกับความหวังนี้”
ฮังอวี่กล่าวว่า “แต่ถ้าไม่ใช้เมืองนี้สู้กับเฮสการ์ การมีอยู่ของมันก็ไร้ความหมาย”
คูเวตันยังคงไม่เปลี่ยนทัศนคติของเขา “ราชามังกรคลั่งอยู่มานาน 700 กว่าปีแล้ว เมื่อถึงจุดหนึ่งย่อมสิ้นอายุขัย เมื่อมันล่วงลับ พวกเราพันธมิตรจะผงาดอีกครั้ง สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือการอดทนรอ”
เอ้าไอ้ห่านี่?
โลกสวยไปหน่อยไหม?
สุดยอดกลยุทธ์ของพันธมิตรหนามทมิฬ กลายป็นการใช้วันเวลาฆ่าบอสใหญ่ซะงั้น?
“เฮสการ์จะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหนไม่มีใครรู้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าต่อให้ราชามังกรล่วงลับ ไม่ช้าก็จะมีราชามังกรคลั่งตนใหม่ปรากฏขึ้น การวิ่งหนีไม่ใช่ทางออก”
สมาชิกในเมืองนี้คงหวาดกลัวจากการถูกเฆี่ยนตีในตอนนั้น เป็นเหตุให้เกิดความคิดเชิงลบเช่นนี้
สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือคือสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขา
“เฮสการ์อยู่ในระดับราชันย์ขั้นโกลด์ ถ้ามันมีชีวิตต่อไปอีก 500 - 800 ปีก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ คุณแน่ใจหรือว่ากลุ่มพันธมิตรจะยังคงอยู่ได้ถึงตอนนั้น?” ฮังอวี่กล่าว “เวลานี้เป็นโอกาสดีที่จะเอาชนะเฮสการ์ ถ้าพลาดไป อาณาจักรมังกรโลกาจะไม่มีวันสลัดหลุดจากเงื้อมมือของราชามังกรคลั่งได้อีก”
คูเวตันรู้สึกสับสนเล็กน้อยและถามว่า “โอกาสดีอันใด?”
ฮังอวี่ชี้มาที่ตัวเอง “เผ่ามนุษย์! เผ่าพันธุ์จุติ! พวกเราคือตัวแปรในครั้งนี้!”
อธิบายเล็กๆน้อยๆ
“เผ่าพันธุ์จุติในตำนานมีอยู่จริงหรือ?” คูเวตันตกใจอย่างเห็นได้ชัด
ปรากฏว่าครั้งนี้ที่เฮสการ์ประกาศสงคราม ไม่ใช่เพราะเกิดจากกลุ่มพันธมิตรหนามทมิฬ แต่จริงๆแล้วสาเหตุมาจกาเผ่าพันธุ์ใหม่ที่ปรากฏขึ้น
ด้วยอุปนิสัยของราชามังกร หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นภัยคุกคามจริงๆ มันไม่มีทางร้อนใจประกาศปิดล้อมครั้งใหญ่เช่นนี้
สำหรับพลังรบของมนุษย์ผู้นี้? ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ใดๆอีก การที่เขาสามารถเอาชนะราชาปีศาจแห่งห้วงทะเลลึกและมาถึงจุดนี้ได้ ถือเป็การพิสูจน์มากเกินพอแล้ว!
คูเวตันตอนแรกคิดว่าฮังอวี่น่าจะฝึกฝนมาอย่างน้อย 30 - 50 ปี แต่เมื่อเอ่ยถาม ฮังอวี่กลับตอบว่าเพิ่งเข้าสู่โลกวิญญาณเมื่อหนึ่งปีก่อน
ใช้เวลาประมาณหนึ่งปีเท่านั้น!
จากตัวตนที่อ่อนแอ กลายมาเป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถสังหารมอนสเตอร์ระดับราชันย์เลเวล 17 ได้ด้วยตัวคนเดียว!
คูเวตันสูดลมหายใจเย็นเยียบ
ศักยภาพในการเติบโตที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
เกรงว่าหากเขาเป็นราชามังกรคลั่งก็คงทำแบบเดียวกัน!
หรือนี่คือโอกาสที่สวรรค์ประทานมาให้พวกเราจริงๆ?
ฮังอวี่แสดงหลักฐานออกมา เพื่อพิสูจน์ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ควรค่าแก่การรอคอย
เช่น โลกมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังเผ่าพันธุ์มนุษย์
เช่นจำนวนเผ่ามนุษย์ในอาณาจักรมังกรโลกา
และแสดงการข้ามมิติให้คูเวตันดู
คูเวตันจมหายไปในความคิด
ดูเหมือนเผ่ามนุษย์คือเผ่าจุติจริงๆ
ตอนนี้เผ่ามนุษย์คือพันธมิตรหนามทมิฬ นี่ไม่ใช่การประทานพรจากสวรรค์หรอกหรือ? หากคว้าโอกาสนี้ ผลลัพธ์จะเหลือแค่สองทาง
หนึ่ง เผ่ามนุษย์ร่วมมือกับพันธมิตรหนามทมิฬ โค่นราชามังกรคลั่งลงได้ แต่สุดท้ายมนุษย์ก็จะกลายเป็นผู้ครองอาณาจักรนี้เสียเอง ส่วนสถานการณ์ของพันธมิตรในเมืองลอยฟ้าอาจไม่ดีเท่าไหร่นัก
สอง เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะราชามังกรได้ พวกเขาและกองทัพพันธมิตรที่สั่งสมกำลังมานานหลายทศวรรษก็จะถูกทำลายเช่นกัน
การรอคอยอันเนิ่นนานของเมืองหนามทมิฬสุดท้ายเปล่าประโยชน์
ฮังอวี่เห็นอีกฝ่ายลังเล เขาหยิบสิ่งนี้ออกมา “ครั้งนึงผมเคยเจอเศษเสี้ยววิญญาณของซามูเอล เขาเป็นคนมอบนกหวีดทองแดงที่เป็นสัญลักษณ์มา อย่างน้อยซามูเอลก็คิดว่าเผ่ามนุษย์คุ้มค่าแก่การรอคอย”
“สัญลักษณ์ของซามูเอล!?”
ซามูเอลเคยเป็นหนึ่งในผู้ปกปักษ์ของเมืองหนามทมิฬ
โชคไม่ดีที่เขาถูกราชามังกรคลั่งจับตัวได้และล่วงลับไปพร้อมความเกลียดชัง
ทว่าจิตสำนึกที่เหลืออยู่กลับสื่อสารกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ...
หรือนี่จะเป็นชะตาลิขิต?
แม้จะยังเลือกยาก แต่คูเวตันยิ่งมายิ่งหวั่นไหว
เหลืออีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น!
ฮังอวี่กลับไปเจียงเฉิงอีกรอบ ไม่กี่นาทีต่อมาเขาปรากฏตัวขึ้นในเมืองหนามทมิฬอีกครั้ง แต่คราวนี้ มีอีกคนหนึ่งอยู่ข้างๆ
คูเวตันตกใจ “ทาเซีย! นี่เจ้ายังมีชีวิตอยู่!”
ทาเซียกับคูเวตันก็เป็นคนรู้จักเก่าแก่กัน
ทาเซียเคยได้ยินประวัติของพันธมิตรหนามทมิฬเมื่อครั้งเกือบถูกทำลายมาก่อน ตอนนั้นเธอเป็นแค่หน้าใหม่ เลยยังไม่ได้เข้ามาในเมืองหนามทมิฬ
ทาเซียรู้จักทั้งคูเวตันและซามูเอล เป็นรุ่นน้องของทั้งสองในเวลานั้น
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ทาเซียเป็นผู้คอยเคลื่อนไหว วิ่งเต้นทั่วทั้งเก้าแคว้น แม้แต่นาเซอร์ที่เข้าร่วมพันธิมตร ก็เป็นเธอที่คอยชักชวนอยู่เบื้องหลัง
สถานะของเธอในพันธมิตรจึงสูงมาก
เห็นได้ชัดว่าทาเซียสนับสนุนเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างเต็มที่
ภายใต้การสนับสนุนของเธอ คูเวตันตัดสินใจในที่สุด “สมาชิกเมืองหนามทมิฬมีทั้ง 600 ตน และสมุนทหารอีก 9,000 นายยินดีเข้าร่วมสงคราม พร้อมรับคำสั่งทุกเมื่อ!”
ในที่สุดก็เสร็จ!
แม้เมืองหนามทมิฬจะเป็นเมืองเทียมที่ถูกสร้างขึ้น ดังนั้นฟังก์ชั่นบางอย่างอาจทำงานได้ไม่เท่าเมืองจริง
แต่ในเมืองนี้ นอกจากมีแผ่นศิลาโลกวิญญาณจำนวนหนึ่งแล้ว ยังสามารถสร้างกองทัพขนาดเล็กได้
และสมุนทหารเมืองหนามทมิฬทั้ง 9,000 นาย เป็นทหารระดับหัวกะทิที่ไม่ด้อยไปกว่าทหารของสันเขามังกร!
...
ณ แคว้นเดียวดาย
เมืองพายุระห่ำ
ในขณะเดียวกับที่ฮังอวี่เสร็จสิ้นภารกิจ
นาเซอร์กุมขวานรบในมือ ยืนอยู่บนกำแพง
ฉูเทียนหัว จ้าวหมิง และคนอื่นๆต่างจับอาวุธและโล่ของตนไว้แน่น ดวงตาของพวกเขาเขม็งตึงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
นั่นเพราะ ณ เส้นขอบฟ้าเบื้องหน้า
กองทัพขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
จ้าวหมิงกล่าวว่า “กองทัพสันเขามังกรได้ทำลายดินแดนเล็กๆแปดแห่งติดต่อกัน สุดท้ายยกพลเข้าตีเมืองพายุระห่ำ ตอนนี้ยังไม่มีข่าวอะไรจากฝั่งฮังอวี่เลยหรือ?”
ฉูเทียนหัวส่ายหัวและกล่าวว่า “ยังไม่มี สงครามมาถึงแล้ว ดูท่าเขาคงมาไม่ทัน”
“อย่าฟุ่งซ่าน!” นาเซอร์เอ่ยขึ้นและกล่าวว่า “กองทัพเบื้องหน้าเราสมควรเป็นทัพหน้าที่นำโดยแม่ทัพมังกรพายุและแม่ทัพมังกรสังหาร ไม่ว่ายังไงก็ต้องสกัดกั้นการโจมตีนี้ให้ได้ก่อน!”
จ้าวหมิงคร่ำครวญ “คงเป็นสงครามที่หนักหนามาก”
ฉูเทียนหัวก็รู้สึกแบบเดียวกัน สงครามนี้ต่างจากครั้งก่อนๆ ทุกศึกที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเสียเปรียบเพียงใด แต่พวกเขาก็มั่นใจว่าจะชนะ
ทว่าศึกนี้ศัตรูแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ แม้เมืองพายุระห่ำจะสามารถสกัดกั้นการโจมตีระลอกนี้ได้ แต่คาดว่าเมืองคงเสียหายมาก และสูญเสียประชากรไปไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ได้ยินมาว่าเฮสการ์ก็เดินทางมาที่นี่เช่นกัน!