ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 128 บดขยี้จ้าวเหลียงฉิง
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 128 บดขยี้จ้าวเหลียงฉิง
แปลโดย iPAT
ฟู่หรงรู้สึกประหลาดใจ “ท่านวางแผนที่จะ...”
จ้าวเหลียงฉิงกล่าว “ถูกต้อง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกนางจะไม่ปรากฏตัวอีก!”
นั่นเป็นคำกล่าวที่เย็นชามาก เขาปฏิบัติต่อเด็กสาวเหล่านั้นราวกับวัตถุสิ่งของ แต่ความจริงยิ่งเลวร้ายกว่าเพราะเขาจะใช้หญิงเหล่านั้นไม่ต่างจากวัตถุสิ่งของที่ใช้แล้วทิ้ง
“นิกายห้ามไม่ให้ทำสิ่งนี้มิใช่หรือ?” ฟู่หรงตัวสั่น นางรู้ว่าเขาต้องการใช้วิธีบ่มเพาะที่ชั่วร้ายของนิกายเมฆาพิรุณเพื่อดูดซับปราณหยินจากเด็กสาวทั้งหมด นี่ถือเป็นการละทิ้งผลประโยชน์ระยะยาวเพื่อผลประโยชน์ระยะสั้น มันเป็นวิธีการบนเส้นทางปีศาจที่แท้จริงซึ่งเป็นเหตุผลที่นิกายเมฆาพิรุณห้ามสาวกทำสิ่งนี้ หากบางคนถูกค้นพบว่าทำเรื่องเช่นนี้ พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูของคนทั้งโลกและถูกไล่ล่าจนกว่าจะตาย
วิธีการบ่มเพาะคู่ของนิกายเมฆาพิรุณไม่ถือเป็นสิ่งชั่วร้ายแต่ผู้ฝึกตนต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง มิฉะนั้นพวกเขาอาจถูกตัณหากลืนกินและก้าวเข้าสู่เส้นทางสายปีศาจได้อย่างง่ายดาย
จ้าวเหลียงฉิงกล่าว “ข้าจะทะลวงข้ามขอบเขตอย่างรวดเร็วได้อย่างไรหากไม่ใช้มัน? หากเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด ผู้ใดจะรู้? ไม่ใช่ว่าเจ้าเกลียดเด็กนั่นงั้นหรือ? เมื่อข้ากลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นหก ข้าจะสามารถสังหารเขาโดยใช้ดาบบิน แท้จริงแล้วมันก็คือการล้างแค้นให้เจ้า!”
ทันทีที่ชื่อของหลี่ฉิงซานถูกกล่าวถึง ฟู่หรงก็ตัดสินทันที นางเดินออกมาโดยไม่สวมเสื้อผ้าขณะที่จ้าวเหลียงฉิงยังนอนพักผ่อนต่อไปอยู่บนเตียง
เพียงเมื่อฟู่หรงโผล่ออกมาจากห้อง มือที่มีกรงเล็บขนาดใหญ่ก็คว้าลำคอของนาง นางทรุดตัวลงกับพื้น ในเสี้ยวพริบตาหลังจากนั้นเพลิงโลหิตก็กลืนกินร่างกายของนางไปอย่างสมบูรณ์และทิ้งไว้เพียงโครงกระดูกสีขาว
กลิ่นอายของฟู่หรงหายไป
จ้าวเหลียงฉิงเปิดเปลือกตาขึ้นและตะโกน “ผู้ใด?” เสียงของเขาดังก้องไปทั่ววังใต้ดิน
จ้าวเหลียงฉิงยกระดับการป้องกันของตนจนถึงขีดสุด แต่ทั้งหมดที่เขาเห็นคือหลี่ฉิงซานที่ผลักประตูเดินเข้าไป รอยยิ้มผ่อนคลายปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา “ข้าเอง!” ตอนนี้เขากลับคืนร่างมนุษย์แล้ว ดังนั้นกลิ่นอายของเขาจึงเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง
เมื่อศัตรูพบหน้า ดวงตาของพวกเขาก็กลายเป็นแดงก่ำ จ้าวเหลียงฉิงมองหลี่ฉิงซานด้วยดวงตาสีแดงและคำรามออกมาว่า “เจ้าฆ่านางงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง ข้าฆ่านาง ขอโทษที่ขัดจังหวะเจ้า ข้าจะออกไปก่อน” หลังกล่าวจบคำ หลี่ฉิงซานก็ถอยออกจากห้องอีกครั้ง
“ยังคิดว่าสามารถหลบหนีได้อีกงั้นหรือ?” จ้าวเหลียงฉิงกระโจนขึ้นจากเตียงและพุ่งออกไปด้านนอก เขาไม่แม้แต่จะคว้ากระเป๋าร้อยสมบัติที่อยู่ด้านข้าง เขาเกลียดหลี่ฉิงซานมาก สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในเวลานี้ก็คือจบชีวิตของเด็กหนุ่มให้เร็วที่สุด ท้ายที่สุดจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นห้า แม้เขาจะใช้มือเปล่า เขาก็สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย
สิ่งที่เขาคิดคือจะลงโทษเด็กคนนี้อย่างไร
ทันทีที่จ้าวเหลียงฉิงพุ่งผ่านประตู เขาก็หันกลับหลังและเห็นเปลวเพลิงรูปหัวกะโหลกพุ่งเข้ามากัดเขา มันไม่มีความร้อนแต่เขารู้สึกหวาดกลัวมันจากก้นบึ้งของหัวใจ
จ้าวเหลียงฉิงรีบส่งฝ่ามือพลังปราณออกไปและทุบกะโหลกเพลิงแตกเป็นชิ้นๆ แต่เมื่อเขากำลังจะก้าวไปข้างหน้า ร่างกายของเขากลับแข็งทื่อราวกับเขาถูกตรึงเอาไว้
เจตนาสังหารและปราณปีศาจที่น่าขนลุกยิ่งกว่ากะโหลกเพลิงนับสิบเท่าพุ่งเข้ามาทางด้านหลังของเขาราวกับกระแสน้ำไหลเอื่อยแต่เขารู้สึกราวกับมีสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอยู่ในกระแสน้ำและพร้อมที่จะฉีกเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ตอนนี้เขาค้นพบต้นกำเนิดของกะโหลกเพลิงแล้ว โครงกระดูกเล็กๆยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยเปลวเพลิงสีแดงเลือดที่ลุกไหม้อยู่ในเบ้าตา สิ่งนี้มิได้แสดงเจตจำนงที่จะโจมตีใดๆ ในทางตรงข้าม มันมองไปที่ด้านหลังเขา
สิ่งใดอยู่ด้านหลังเขา?
ความหวาดกลัวที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเกาะกุมจิตใจของเขา แต่เขายังปฏิเสธที่จะยอมรับเรื่องนี้ เขาเป็นจอมยุทธ์พลังปราณที่มีอนาคต ตราบเท่าที่เขาก้าวเข้าสู่ขั้นหก สถานะในนิกายเมฆาพิรุณของเขาจะยกระดับขึ้น อย่างไรก็ตามเขารู้สึกเสียใจมากที่ไม่นำกระเป๋าร้อยสมบัติติดตัวมาด้วย เขารู้สึกเสียใจที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัวนี้ด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า
เขาค่อยๆหันกลับไปและเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว
ทางเดินแคบๆบรรจุร่างขนาดมหึมาที่ดูเหมือนถูกหลอมมาจากเหล็กดำ มันทำได้เพียงหมอบอยู่ในความมืด เส้นผมสีแดงสยายลงมาดูเหมือนเปลวเพลิงหรือน้ำตกเลือด รูม่านตาสีแดงขนาดใหญ่ทำให้จ้าวเหลียงฉิงตกตะลึงและไม่สามารถเคลื่อนไหว
‘ข้ากำลังจะตาย!’
นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความคิดเช่นนี้ สัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดกระตุ้นให้เขาดิ้นรนต่อสู้ เขาหันกลับไปและใช้ทุกสิ่งเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวตนนี้
เขาไม่มีแผนที่จะต่อสู้กับสัตว์ประหลาดดังกล่าวจริงๆ เขาเพียงต้องการยืมแรงสะท้อนส่งตัวเองพุ่งออกไปและหลบหนี โครงกระดูกเล็กๆดูแปลกประหลาดแต่เขายังมั่นใจว่าสามารถจัดการมัน สำหรับสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ มันยากที่จะเคลื่อนที่ผ่านทางเดินเล็กๆ
เขายังมีความหวัง! เขายังมีโอกาส!
อย่างไรก็ตามจ้าวเหลียงฉิงกลับหยุดชะงักอย่างกะทันหันขณะที่เลือดทะลักออกมาจากปากของเขา เขาก้มศีรษะลงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ปรากฏว่ากรงเล็บขนาดใหญ่คว้าร่างของเขาเอาไว้ด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง เขาไม่แม้แต่จะสามารถตอบโต้ก่อนที่มันจะดึงเขาเข้าไปใกล้
ความเจ็บปวดกลบความคิดทั้งหมดของจ้าวเหลียงฉิง เหตุใดเขาจึงพบกับเรื่องนี้? เขากำลังไล่ล่าจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง แล้วสัตว์ประหลาดตัวนี้มาจากที่ใด? เขาพบสัตว์ประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร?
ในที่สุดเขาก็ตระหนักถึงบางสิ่ง เขากล่าวอย่างยากลำบาก “เจ้าคือ...หลี่ฉิงซาน?”
“เป็นข้า!” เสียงที่เหมือนโลหะขูดกันดังขึ้น นั่นเป็นความจริงที่ทำให้จ้าวเหลียงฉิงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
สำหรับหลี่ฉิงซาน เขารู้สึกประหลาดใจมากเพราะเขารู้สึกว่าจ้าวเหลียงฉิงอ่อนแอเกินไป แรงกดดันที่เขาเคยรู้สึกจากจ้าวเหลียงฉิงเมื่อเขาอยู่ในร่างมนุษย์หายไปอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้ด้วยการใช้กำลังเล็กน้อย เขาก็สามารถบดขยี้จอมยุทธ์ขั้นห้าผู้นี้ได้เหมือนแมลงแล้ว
‘หมายความว่าข้ายังมั่นใจในตัวเองไม่มากพองั้นหรือ?’ หลี่ฉิงซานคิด
“ชะ...ช่วยข้าด้วย!” จ้าวเหลียงฉิงกล่าวออกมาอย่างยากลำบากขณะที่เขาไอออกมาเป็นเลือดอย่างต่อเนื่อง
“อย่าแม้แต่จะคิด!” หลี่ฉิงซานใช้กำลังบางส่วน จากนั้นเลือดก็ไหลออกมาจากช่องว่างระหว่างนิ้วของเขา ร่างของจ้าวเหลียงฉิงถูกบดขยี้จนแหลกเหลวในพริบตา
เพลิงโลหิตช่วยเผาทำลายซากศพและเปลี่ยนเลือดทุกหยดเป็นพลังของตัวมันเอง กล่าวได้ว่ามันเก็บกวาดสิ่งที่หลี่ฉิงซานทำไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หลี่ฉิงซานกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ เขายืดแขนและขาพร้อมกับพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าจริงจังกับเรื่องนี้มากแต่มันกลายเป็นว่าเขาก็เพียงเท่านี้”
เสี่ยวอันยื่นนิ้วออกไปเหมือนดาบ กระดูกที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นบินเข้าไปในกระเป๋าร้อยสมบัติของเขา เขาลบร่องรอยของสิ่งที่เกิดขึ้นออกไปจนหมดสิ้น
ราวกับอยู่ที่บ้านของตน หลี่ฉิงซานเดินเข้าไปในห้องนอนที่หรูหราเหมือนวังใต้ดิน เขาหยิบกระเป๋าร้อยสมบัติขึ้นมาจากข้างเตียงก่อนจะเงยหน้าขึ้นและศึกษาศิลปะอีโรติกที่วาดอยู่บนผนัง “น่าเกลียด!”
เสี่ยวอันรวบรวมเสื้อผ้าของจ้าวเหลียงฉิงและฟู่หรงที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น หลังจากลังเลเล็กน้อย เขาไม่ได้จัดเตียงให้เรียบร้อย เขาลบร่องรอยเล็กๆออกไปอย่างระมัดระวังและทำให้มันเหมือนกับคนทั้งสองหลบหนีไปเพราะกลัวถูกลงโทษ
หลังจากยืนยันว่าไม่มีสิ่งที่น่าสนใจเหลืออยู่อีก หลี่ฉิงซานก็เปิดปากถาม “เสร็จหรือยัง?”
เสี่ยวอันพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็กลับออกไปด้วยเส้นทางเดิมอย่างเงียบๆ
เมื่อพวกเขากลับมาถึงภูเขา มันก็เป็นเวลาเกือบเช้าแล้ว หลี่ฉิงซานไม่ได้จุดตะเกียง เขาใช้แสงจันทร์ที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างเพื่อตรวจสอบกำไรของเขา
เงินเก็บของฟู่หรงและรายได้ของจ้าวเหลียงฉิงในฐานะผู้รับผิดชอบหอเมฆาพิรุณแห่งเมืองเจียเผิงรวมกันเป็นเงินหนึ่งล้านสองแสนตำลึง นี่ยังไม่รวมเครื่องประดับและทองคำ
มียันต์สองสามแผ่น สองจากสามเป็นยันต์ระดับกลาง
เม็ดยารวบรวมพลังปราณมีมากกว่าห้าสิบเม็ด นี่สามารถเติมเต็มส่วนที่หลี่ฉิงซานพึ่งกินเข้าไปก่อนหน้านี้
มีหินสองสามก้อนที่มีพลังงานบริสุทธิ์บรรจุอยู่ ดูเหมือนพวกมันจะเป็นหินวิญญาณในตำนาน
อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเดินทางครั้งนี้ สิ่งที่มีค่าที่สุดคือดาบโปร่งแสงขนาดเล็กที่อยู่ในกระเป๋าร้อยสมบัติของจ้าวเหลียงฉิง ดาบมีความยาวเพียงหนึ่งฟุตและไม่มีด้ามจับ เห็นได้ชัดว่ามันทำมาจากโลหะแต่มีคุณสมบัติคล้ายหยก
หลี่ฉิงานถือดาบเล่มเล็กไว้ในฝ่ามือและตรวจสอบอย่างระมัดระวัง เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่อ่อนโยนแต่ทรงพลังไหลผ่าน มันเหนือกว่าดาบวายุของเขาและเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับกลางที่แท้จริง
แต่ดาบไม่มีด้ามจับ แล้วเขาจะใช้งานมันอย่างไร? ทันใดนั้นหลี่ฉิงซานก็นึกไปถึงกระบี่บินของเฒ่ามังกรทะยานและกระบองสีดำของหวังฝูซื่อ ดาบเล่มนี้อาจมีวิธีใช้งานในรูปแบบเดียวกัน
หลี่ฉิงซานมีความสุขมาก สังคมมนุษย์เป็นสถานที่ที่ดี หากเขายังอยู่ในป่า เขาคงไม่ได้รับเม็ดยามากมายเช่นนี้ ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาจะช้ามาก
แม้แต่การบ่มเพาะของปีศาจก็ต้องใช้เวลานับศตวรรษ แต่เขามั่นใจว่าหากสิ่งนี้ยังดำเนินต่อไป เขาจะสามารถลดเวลาลงได้มาก
การต่อสู้ในคืนนี้ทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น ไม่ว่าจอมยุทธ์ขั้นหกจะทรงพลังเพียงใด เขาก็มั่นใจว่าตนเองสามารถต่อสู้กับตัวตนดังกล่าว
“จ้าวจื่อป๋อ โอ้ จ้าวจื่อป๋อ ข้าสงสัยนักว่าเจ้ามีของดีใดอยู่ในกระเป๋าร้อยสมบัติของเจ้า?” หลี่ฉิงซานเลียริมฝีปาก
กล่าวได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างเล็งเป้าไปที่กันและกัน