ตอนที่ 9-47 สร้างฐานในแดนอนารยชน
ลินลี่ย์แปลงเป็นนักรบเลือดมังกรเริ่มหาร่องรอยไล่ไปตามแม่น้ำโบนี่ตลอดเส้นทางจนถึงเมืองนีลและตรวจสอบพื้นที่โดยรอบอย่างระมัดระวัง บ่อยครั้งที่เขาต้องพักเพื่อฟื้นฟูพลังจิต
เขาใช้เวลาค้นหาหกวันหกคืนเต็มและมองดูตามเมืองที่อยู่ใกล้ทุกเมือง
อย่างไรก็ตาม...
เขาไม่พบเรย์โนลด์
“อาจารย์ลินลี่ย์ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่หอการค้าดอว์สันของเราพบคุณชายเรย์โนลด์ เรารับรองได้เลยว่าเขาจะต้องกลับบ้านอย่างปลอดภัยแน่”
ผู้บริหารระดับสูงของหอการค้าดอว์สันที่อยู่ในหนึ่งของจังหวัดชายแดนของจักรวรรดิโรฮอลท์พูดกับลินลี่ย์ด้วยความเคารพ
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
ในตอนนี้ทางเลือกเดียวที่เขามีก็คือฝากฝังงานนี้ให้กับหอการค้าดอว์สัน ในใจเขาลินลี่ย์รู้สึกงงเล็กน้อย “น้องสี่หนีไปที่ไหน? ทำไมเขาไม่ไปสาขาของหอการค้าดอว์สัน? หอการค้าดอว์สันมีสาขาอยู่ในเมืองปกครองแต่ละเมือง”
ความจริงลินลี่ย์ไม่เข้าใจ
เรย์โนลด์หวาดกลัวกับช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตบนเรือขนทาส เรย์โนลด์คิดว่าตราบใดที่เขาอยู่ในเขตเมืองชายแดนจักรวรรดิโรฮอลท์ ไม่ว่ายังไงก็ตามเขาจะไม่เข้าเมืองใหญ่ แม้ว่าเมืองใหญ่จะมีสาขาของหอการค้าดอว์สันก็ตาม แต่ก็ยังมีองค์การค้าทาสอยู่ด้วย ถ้าเขาถูกองค์การค้าทาสจับหรือเมื่อองค์การค้าทาสพบตัว เขาจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง
“ความเสี่ยงใดๆ ที่จะถูกจับถือว่าเสี่ยงมากเกินไป ข้าควรใช้เส้นทางข้างเคียง” เรย์โนลด์ยืนยันการตัดสินใจของเขา
เมื่อฟื้นพลังแล้วเขามุ่งหน้าสู่แดนอนารยชนเดินข้ามผ่านบางประเทศไปคงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ทันทีที่เขาไปถึงแดนอนารยชนตอนนั้นเขาค่อยติดต่อกับหอการค้าดอว์สัน และจากนั้นเขาจะกลับไปได้อย่างปลอดภัย
ยามราตรีนั้นลานกว้างธรรมดาภายในเมืองแห่งหนึ่งของมณฑลอาคเนย์ของจักรวรรดิโอเบรียน ซาสเลอร์ พี่น้องบาร์เกอร์ รีเบ็คกาลีนาและเจนน์ชุมนุมอยู่ที่นี่ทุกคน
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเกทส์สะพายขวานยักษ์ที่หลังเดินมาเปิดประตู ที่หน้าประตูมีบริกรสามคนเข็นรถอาหารเข้ามา
“ทำไมพวกเจ้าใช้เวลานานนัก?” เกทส์ถลึงตามองบุรุษทั้งสามทำให้พวกเขาสะท้านใจ อยู่ต่อหน้าเกทส์ที่ตัวโตมหึมา บุรุษทั้งสามเหมือนกับเด็กเล็ก
ทันใดนั้นเสียงสัตว์คำรามได้ยินมาจากลานบ้าน บริกรทั้งสามคนหันไปมองตามเสียง
เสือดำเมฆาแฮรุย่างเท้าช้าๆอย่างเกียจคร้านรัศมีธรรมชาติของอสูรเวทชั้นสูงอย่างเสือดำเมฆามากพอจะทำให้หัวใจคนสะท้าน แฮรุเหลือบมองคนทั้งสามด้วยดวงตาสีดำเย็นชาและจากนั้นหันหน้าหนีอย่างรังเกียจและนอนลงกับพื้น
บริกรทั้งสามคนมองหน้ากันเองไม่กล้าส่งเสียงอะไรแม้แต่น้อย
พวกเขารีบวางจานอาหารทั้งหมดลงบนโต๊ะ จากนั้นรีบออกไปโดยเร็ว เมื่อพวกเขาเดินออกมาจากลานบ้านพักแล้ว พวกเขาปาดเหงื่อบนหน้าผาก
“คนพวกนี้เป็นใครกัน? บุรุษห้าคนนั้น ตัวใหญ่มหึมาจริงๆ!”
“และขวานเหล่านั้น มันใหญ่โตมากดูแล้วน้ำหนักอย่างน้อยต้องเป็นพันปอนด์แน่”
“แล้วยังตาแก่นั่น เขาดูเหมือนโครงกระดูก พอเขามองข้าเท่านั้น ข้าก็รู้สึกกลัว แต่สุภาพสตรีทั้งสามงามหยดย้อยเป็นบ้า ถ้าข้าสามารถแต่งสาวงามอย่างนั้นได้สักคนข้ายอมอายุสั้นลงสักยี่สิบสามสิบปี”
ในสายตาของบริกรโรงแรมเหล่านี้ แขกที่เข้าพักที่ลานแห่งนั้นเป็นกลุ่มคนที่ทรงพลังอำนาจน่าหวาดกลัว ขณะที่ซาสเลอร์และคนอื่นๆ กิน,บีบีและแฮรุยังคงอยู่ในลานสนาม ทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาสามารถรู้สึกได้ว่าลินลี่ย์กำลังมุ่งหน้ามาด้วยความเร็วสูง
ในเวลาไม่นานต่อมาลินลี่ย์อยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้มก็เหาะลงมาจากท้องฟ้า
“ใต้เท้าลินลี่ย์” บาร์เกอร์และน้องๆวิ่งมาต้อนรับเขาอย่างตื่นเต้น เจนน์รีเบ็คกาและลีนาก็ออกมารับเขาเช่นกัน
“ลินลี่ย์! เป็นยังไงบ้าง? พบเรย์โนลด์ไหม?” ซาสเลอร์ถาม
ลินลี่ย์ส่ายหน้าตอนนี้ลินลี่ย์อยู่ในอารมณ์ที่ดี เนื่องจากองค์การค้าทาสไม่พบตัวเรย์โนลด์เนื่องจากพลังของเรย์โนลด์ในฐานะจอมเวทระดับเจ็ด ตราบใดที่เขาไม่ตอแยคนที่ทรงพลังเขาจะไม่ตกอยู่ในอันตราย
“ตอนนี้น้องสี่เป็นทหารมาหลายปีแล้ว และองค์การค้าทาสจะไม่ไล่ล่าตามเขาอีกต่อไป...ประเมินจากสถานการณ์แล้ว เขาน่าจะมีโอกาสหนีรอดได้ 100%” ลินลี่ย์มั่นใจในสหายของเขามาก
“ถ้าเรย์โนลด์ไม่สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยภายใต้เงื่อนไขที่เอื้ออำนวยขนาดนั้นแล้ว เขาก็ไม่คู่ควรเป็นน้องของใต้เท้าแล้ว จักรวรรดิโรฮอลท์มีเสถียรภาพและปลอดภัยมากอยู่แล้ว” เกทส์พูดเสียงดัง “ในอดีตเมื่อเราพี่น้องเป็นแค่นักรบระดับเจ็ดเราก็ใช้ชีวิตที่ยอดเยี่ยมอยู่ในดินแดนแปดแคว้นอิสระกันแล้ว”
ลินลี่ย์หัวเราะ
เขาเข้าไปในห้องพร้อมกับคนอื่นและเริ่มมื้อค่ำด้วยกัน
“ลินลี่ย์” ซาสเลอร์วางช้อนส้อมจากนั้นถาม “เรากำลังจะไปที่แดนอนารยชน เจ้ามีแผนยังไงบ้าง?”
ลินลี่ย์รู้ว่าซาสเลอร์เป็นสมาชิกที่มีประสบการณ์มากที่สุดในกลุ่มเขา มีบุรุษอายุแปดร้อยปีอยู่ใกล้ตัวเขา หลายๆอย่างจะสำเร็จได้ง่ายมากขึ้น
“ซาสเลอร์! ท่านคิดว่าเราควรจะทำยังไง?” ลินลี่ย์ถาม
บาร์เกอร์กล่าว “ใต้เท้าลินลี่ย์ความจริงข้าคิดว่าแดนอนารยชนก็คงเป็นที่คล้ายกับแปดแคว้นอิสระตอนเหนือของพวกเรา ท่านก็แค่คุยกันด้วยกำปั้นเนื่องจากเรามีพลังอำนาจมากมายเราจะตั้งกองกำลังอันยิ่งใหญ่ได้อย่างรวดเร็วแน่นอน”
ซาสเลอร์พยักหน้า “สิ่งที่บาร์เกอร์อธิบายไปก็คือวิธีการรูปแบบหนึ่ง ใช่แล้ว ลินลี่ย์..ข้าเชื่อว่าเรามีทางเลือกอยู่สองทางแล้วในตอนนี้ ทางแรกก็คือสิ่งที่บาร์เกอร์เพิ่งพูดไป ใช้ชื่อเสียงในฐานะเซียนของเรา เราก็สามารถครอบครอง เราจะสามารถครอบครองอาณาเขตได้กว้างขวางอย่างรวดเร็ว ในดินแดนอนารยชนชื่อเสียงของเซียนมีผลเป็นอย่างมาก
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
ดินแดนอนารยชนมีความวุ่นวายและสู้รบกันบ่อยครั้ง พลเมืองที่ติดอยู่ในวังวนการสู้รบที่วุ่นวายนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้นำของพวกเขาจะมีพลังอำนาจ ถ้าเขาประกาศกับสาธารณชนว่าเป็นนักสู้ระดับเซียนก็จะมีคนมากมายยินดีติดตามลินลี่ย์แน่นอน
ที่สำคัญคือพวกเซียนสามารถจัดการให้บริวารของเขาได้รับการปกป้องคุ้มครองเป็นอย่างดี
“ทางเลือกที่สองเริ่มจากน้อยที่สุดโดยไม่ประกาศสถานะของเจ้า ลินลี่ย์ เราจะเริ่มต้นในพื้นที่เล็กๆ ก่อนอื่นเราจะหาเมืองน้อยธรรมดาที่ซึ่งประชาชนธรรมดาอยู่อาศัยกันไม่ถึงกับแย่มากนัก แม้แต่ข้าเองก็ยังเคยทำแบบนี้มาแล้ว ข้าสามารถครอบครองเมืองน้อยขนาดนั้นได้ง่าย และจากนั้น เราจึงค่อยๆ ขยายไปยังเมืองใหญ่ แล้วตั้งเป็นแคว้นอิสระและจากนั้นเรายังคงก้าวไปทีละก้าว ในอดีต..ข้าเองก็เป็นเจ้าครองแคว้นในดินแดนอนารยชนด้วยตัวเองเหมือนกัน” ซาสเลอร์หัวเราะ
วิธีที่สองคือวิธีที่คนผู้มีความทะเยอทะยานหลายคนใช้กัน
ที่สำคัญคือวิธีการแรกต้องเป็นยอดฝีมือที่ทรงพลังอำนาจและใช้พลังอำนาจเข้าครอบครอง
“ใต้เท้า, ท่านต้องการจะใช้วิธีการแบบไหน?” ซาสเลอร์มองดูลินลี่ย์ “ประโยชน์ของวิธีการแรกก็คือทำได้รวดเร็ว ภายในปีเดียว เราสามารถครอบครองแว่นแคว้นในแดนอนารยชนได้มากมาย วิธีที่สองจะช้ากว่า แต่กลับได้พื้นฐานที่มั่นคงมากกว่า”
เจนน์และหญิงสาวอีกสองคนบาร์เกอร์และน้องๆ ทุกคนมองดูลินลี่ย์ รอให้เขาตัดสินใจ
“ซาสเลอร์, เราจะใช้วิธีที่สอง” ลินลี่ย์ตัดสินใจหลังจากไตร่ตรองชั่วขณะ
“เป้าหมายของเราคือศาสนจักรเจิดจรัส และศาสนจักรเจิดจรัสก็มีฝีมือในการดึงดูดผู้คนมากมาย เราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวช้าๆไปทีละก้าวและทำให้ประชาชนทั่วไปยินดีปฏิบัติตามคำสั่งของเราเต็มที่ เราต้องให้พวกเขามีความรู้สึกที่ดีในการเป็นผู้ครอบครอง มิฉะนั้น..ต่อให้เรายึดอาณาเขตได้กว้างขวาง แต่เมื่อเราต้องสู้กับศาสนจักรเจิดจรัสเราจะมีผู้ต่อต้านและก่อจลาจลมากมาย” ลินลี่ย์กล่าว
ซาสเลอร์หัวเราะและพยักหน้า
“แบบนั้นก็ดี เราจะขยายกันแบบลับๆ เราจะไม่ดึงดูดความสนใจมากนัก มิฉะนั้นถ้าเราเริ่มชูธงยี่ห้อลินลี่ย์แต่แรกเริ่มเราอาจดึงดูดศัตรูแข็งแกร่งมาจากหลายพื้นที่ก็เป็นได้”
ซาสเลอร์เงียบไปชั่วครู่จากนั้นพูดต่อ “ลินลี่ย์,ศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาทั้งสองนิกายนี้มีอิทธิพลต่อดินแดนอนารยชนมาก ถ้าเจ้าต้องการขยายพื้นที่ที่นั่น ข้าคิดว่า...ก้าวแรกให้ไปเริ่มใกล้พื้นที่ไพรทมิฬ หรือไม่ก็ดินแดนเหนือสุดของแดนอนารยชน”
ลินลี่ย์เลิกคิ้ว “พื้นที่เหนือสุดของแดนอนารยชนหรือ?”
“ถูกแล้ว พื้นที่ใกล้ไพรทมิฬ เพราะความที่มักเผชิญเจอกับอสูรเวทของไพรทมิฬคนในพื้นที่นั้นมักจะแข็งแกร่งและดุร้าย มีพลเมืองไม่กี่คนในที่นั้นที่ศรัทธาศาสนจักรเจิดจรัส พวกเขาเทิดทูนบูชาผู้แข็งแกร่ง ด้วยพลังของเรา เราไม่จำเป็นต้องกลัวอสูรเวทระดับต่ำและระดับกลางเลยแม้แต่น้อย” ซาสเลอร์ยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของซาสเลอร์ ลินลี่ย์เห็นด้วยในใจ
“จากชายขอบตะวันออกไปชายขอบตะวันตกของตอนเหนือของแดนอนารยชนระยะราวพันไมล์ มีเมืองเล็กๆอยู่หลายเมืองและประชากรสองสามหมื่นอยู่ในเมืองเหล่านั้นมีตัวเลือกมากมายสำหรับเราทีเดียว”
ซาสเลอร์พูดด้วยความมั่นใจ
ในฐานะที่ซาสเลอร์เห็นมาแล้วและเคยครองเมืองในแดนอนารยชนซึ่งมีประชากรเพียงหมื่นคนมาแล้วง่ายเหมือนกับหายใจ ทั้งซาสเลอร์หรือพี่น้องบาร์เกอร์ก็สามารถสร้างแคว้นอิสระได้ด้วยกำลังตัวเอง มีเมืองเล็กๆ อยู่มากมายแล้ว
กลุ่มของลินลี่ย์แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
เขามีกลุ่มของนักสู้ระดับเซียนเกือบทั้งหมด บีบีและแฮรุก็เป็นระดับเซียนชั้นสูงมีแนวโน้มว่าแม้แต่กองกำลังลับของศาสนจักรเจิดจรัสที่ซ่อนตัวอยู่ในดินแดนอนารยชนก็ไม่ใช่คู่มือต่อกรพลังของลินลี่ย์
สำหรับกลุ่มเช่นนั้นการสร้างฐานในดินแดนอนารยชนย่อมเป็นเรื่องง่ายอย่างเหลือเชื่อ
แดนอนารยชนมีพื้นที่ขนาดมากกว่าครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิโอเบรียนและพอๆ กับขนาดของศาสนจักรเจิดจรัส, จักรวรรดิโรฮอลท์และจักรวรรดิไรน์ในปัจจุบัน
นานมาแล้วเมื่อมีการนำการคำนวณมาใช้กับแดนอนารยชน ก็พบว่า 48แคว้นอิสระมีประชากรรวมกันเกินกว่าสามร้อยล้าน ประชากรมากมายขนาดนั้นไม่น้อยกว่าจำนวนประชากรของจักรวรรดิไรน์และจักรวรรดิโรฮอลท์ สงครามการต่อสู้วุ่นวายนับครั้งไม่ถ้วนไม่ได้ลดจำนวนประชากรลงมากเท่าใดแต่กลับทำให้คนในพื้นที่นั้นโหดเหี้ยมและดุร้ายมากขึ้น
พื้นที่วุ่นวายแบบนี้เหมาะที่จะเป็นสนามแสดงฝีมือของยอดฝีมือที่ทรงพลัง!
หลังจากผ่านข้ามชายแดนมาแล้วกลุ่มของลินลี่ย์ก็เข้าสู่แดนอนารยชน เมื่อเข้ามาถึงเมืองแรกที่สุดในแดนอนารยชน ลินลี่ย์สามารถรู้สึกได้ถึงความบ้าคลั่งและความวุ่นวายของคนที่อาศัยอยู่ที่นี่
“สงครามยาวนานหลายปีทำให้ราคาอาหารในแดนอนารยชนราคาแพงหูฉี่ แม้แต่แคว้นบางแคว้นก็ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อยุติการสู้รบระหว่างฤดูกาลเก็บเกี่ยว บางครั้งพวกเขายังถูกบังคับให้สู้รบ...” ซาสเลอร์ถอนหายใจ
ดินแดนอนารยชนแตกต่างจากสหภาพศักดิ์สิทธิ์และจักรวรรดิโอเบรียนโดยสิ้นเชิง
ในเมืองหลายเมืองของสหภาพศักดิ์สิทธิ์และจักรวรรดิโอเบรียนทุกคนสามารถรู้สึกได้ถึงความสงบสุขและบรรยากาศที่เป็นมิตร สตรีชั้นสูงและกุลธิดาสวมเสื้อผ้าชั้นดีเดินกรีดกรายไปมาบนท้องถนน
แต่ในดินแดนอนารยชนมีแต่นักรบสวมเกราะหนักสามารถเห็นได้อยู่ทั่วทุกที่และเมืองต่างๆ เต็มไปด้วยกลิ่นอายโหดร้ายให้ความรู้สึกว่าหากพูดผิดหูคำเดียวอาจถึงตายได้ นี่คือบรรทัดฐานของที่นี่
กลุ่มของลินลี่ย์ยังคงเดินทางขึ้นเหนือต่อไป ขณะที่พวกเขาเดินทางพวกเขาสังเกตพื้นที่ท้องถิ่นอย่างระมัดระวัง ทำความเข้าใจดินแดนอนารยชนไว้เป็นเรื่องที่ดีกว่า
“นักบวช?” ลินลี่ย์เห็นคนสวมชุดนักบวชแต่ไกล “พวกนักบวชของศาสนจักรเจิดจรัสสามารถพบเห็นได้ทุกที่ในแดนอนารยชน และพวกเขาทั้งหมดล้วนเผยแพร่คำสอนของศาสนจักรเจิดจรัสอย่างเปิดเผย”
ขณะที่พวกเขาเดินทางต่อไป ลินลี่ย์รู้สึกหนักใจมากขึ้น
อิทธิพลของศาสนจักรเจิดจรัสที่มีอยู่มากมาย
กลุ่มของลินลี่ย์เดินทางกันอย่างรวดเร็ว หลังจากเดินทางติดต่อกันสิบวัน พวกเขาก็มาถึงพื้นที่ส่วนเหนือของดินแดนอนารยชน ลินลี่ย์และคนของเขาเข้าไปยังเมืองเล็กๆชื่อว่า ‘เมืองแบล็คเดิร์ท’
เวลาบ่าย
ภายในห้องส่วนตัวของโรงแรมธรรมดาซาสเลอร์พูดกับลินลี่ย์ “เกี่ยวกับเรื่องที่ข้าได้สืบมาจากเมื่อเช้านี้ เจ้าเมืองแบล็คเดิร์ทนี้ เป็นพวกสมองกลวงไม่มีอะไร ทั้งหมดที่เขาต้องการคือปกครองเมืองน้อยพอใจกับความมีอิทธิพลต่อท้องถิ่น เขามีอิทธิพลมากและกดขี่พลเมืองของตน...ข้าคิดว่าที่นี่เหมาะให้เราครอบครองเป็นเมืองน้อยเมืองแรกของเรา”
“แต่นี่เป็นเพียงเมืองเมืองแรกที่เราหยิบยกขึ้นพิจารณานะ!” ลินลี่ย์ค่อนข้างประหลาดใจ
ซาสเลอร์หัวเราะ“นี่เป็นเรื่องธรรมดา ในดินแดนอนารยชนนอกจากแคว้นเพียงไม่กี่แคว้นผู้ปกครองส่วนใหญ่จะกดขี่ข่มเหงพลเมืองของพวกเขามาก ที่สำคัญคือ สงครามสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและพวกเขาอาจสูญเสียอำนาจ เป็นธรรมดาที่พวกเขาต้องการเพลิดเพลินกับอำนาจขณะที่พวกเขาสามารถทำได้”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
“ก็ได้ อย่างนั้นเราเริ่มกันที่เมืองแบล็คเดิร์ท” ลินลี่ย์ตัดสินใจทันที
ตาของพี่น้องบาร์เกอร์ที่อยู่ใกล้ๆวูบวาบเป็นประกาย เกทส์เป็นคนแรกที่พูดอย่างตื่นเต้น “ใต้เท้า ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านไม่ต้องทำอะไร เราก็แค่ตรงไปฆ่าเจ้าผู้นำนั่นและจากนั้นขู่ขวัญให้พวกทหารไม่กี่พันคนนี้หวาดผวา ไม่มีอะไรยากสักนิดสำหรับเรื่องนี้”
พี่น้องบาร์เกอร์ทั้งห้าคนเคยนำกองทัพเข้าสู้รบในแปดแคว้นอิสระตอนเหนือ พวกเขาชอบมากกับชีวิตที่ทำให้โลหิตสูบฉีดแรง
“ใต้เท้าไม่ต้องห่วง คืนนี้ท่านจะได้อยู่ภายในจวนเจ้าเมืองแบล็คเดิร์ทเป็นแน่” บาร์เกอร์ตบอกพลางกล่าวรับรอง