ตอนที่ 34 : จองห้องพักและซื้ออาวุธเพิ่ม
ต๋วนเค่อนิ่งเงียบไป และจิงเหว่ยก็หยุดคิดเช่นกัน ทั้งสองนิ่งงันไปนานหนึ่งก้านธูปจนกระทั่งจิงเหว่ยพูดออกมา
“เด็กคนนั้นอยากได้อะไรจากซากเจ้านี่รึ?”
จิงเหว่ยถาม
ต๋วนเค่อหยุดเงียบและมองปู่ของนาง
“เขาอยากขายวัตถุดิบจากซากของมันและเก็บเนื้อไว้กับตัว”
ต๋วนเค่อตอบ
“อืม เจ้าให้เนื้อเขาไม่ได้ เราไม่รู้ว่าเนื้อจะส่งผลอย่างไร แล้วถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูด เราต้องสืบให้มากกว่านี้”
จิงเหว่ยพูด
“ข้าควรทำอย่างไรรึท่านปู่?”
ต๋วนเค่อถาม
จิงเหว่ยคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“หาเนื้อสัตว์ที่มีพลังเท่ากันให้เขา ส่วนค่าวัตถุดิบ เจ้าคิดเอาก็แล้วกัน‘
“ย่อมได้ ท่านปู่ ข้าจะทำตามท่านบอก”
ต๋วนเค่อตอบ
จิงเหว่ยหันหลังเดินไปทางตำหนัก เมื่อถึงประตูตำหนักเขาก็หยุดและพูด
“ชำระล้างซากหมาป่านั่นและใช้มันสืบหาร่องรอยใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นมา เราไม่อยากให้เรื่องปีก่อนซ้ำรอย”
ต๋วนเค่อไม่พูดและเพียงแค่พยักหน้ารับ จิงเหว่ยเข้าสู่ตำหนักและหายลับสายตาไป เมื่อรู้ว่าต้องทำเช่นใด นางโบกมือให้ซากหมาป่าลอยขึ้นมา จากนั้นจึงขยับมือและค่ายกลขนาดเล็กก็ปรากฏเหนือซากหมาป่า
เพลิงค่อย ๆ ลุกไหม้จากซากหมาป่าและค่ายกลก็เริ่มเคลื่อนไหว
“ชำระล้าง!”
ต๋วนเค่อตะโกน
ซากหมาป่าลุกไหม้กลายเป็นแอ่งโลหิต เมื่อทั้งตัวกลายเป็นโลหิตแล้ว ต๋วนเค่อโยนศิลาเล็กสี่ก้อนขนาดเท่าไข่มุกลงไป มันเริ่มหมุนวนรอบแอ่งโลหิต หินหมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนแอ่งโลหิตหมุนเช่นกัน
หลังจากห้านาที ศิลาทั้งสี่ก็หยุดหมุนและแอ่งโลหิตได้กลายเป็นหินอ่อนสีแดงเข้ม ต๋วนเค่อเรียกศิลาทั้งสี่กลับและเก็บหินอ่อนสีแดงที่ลอยอยู่กลางอากาศ
เมื่อทำขั้นตอนทุกอย่างจบ ต๋วนเค่อดีดนิ้วและปรากฏตัวในห้องหลังร้าน นางเดินออกมาจากประตูและโบกมือปิดการทำงานของค่ายกลที่ประตู จากนั้นก็ออกจากร้านและเห็นเลื่อนที่ดูไม่ค่อยสวยงามจอดอยู่ นางไม่สนใจเลื่อนและมองรอบ ๆ หาคน เมื่อไม่เห็นผู้ใดอยู่ใกล้ ๆ นางก็ดึงยันต์กระดาษออกมาฉีก
ทันทีที่ยันต์กระดาษขาดครึ่ง ต๋วนเค่อก็มีร่างกายโปร่งใสจนกระทั่งมองไม่เห็นในที่สุด ต๋วนเค่อที่ล่องหนเรียกตอบออกมาลอยข้างหน้านาง นางกระโดดขึ้นดาบและบินไปทางป่าเมืองเหนือ
ต๋วนเค่อบินในความเร็วที่ถ้าหากมองนางเห็น นางจะกลายเป็นภาพเบลอในสายตาผู้คน นางถึงป่าลึกในไม่กี่นาที นี่คือพื้นที่ที่สัตว์อสูรอาศัยอยู่มาก ไม่มีนายพรานคนใดกล้ามาไกลถึงเพียงนี้ มีเพียงผู้บ่มเพาะพลังหยิบมือเดียวเท่านั้นที่จะรอดจากส่วนนี้ของป่าได้ ที่นี่นั้นมีเรื่องคำถามและโหยหวนของสัตว์จำนวนมหาศาล ป่านั้นมืดและหนาแน่น แสงแดดแทบจะส่องทะลุไม่พ้นร่องใบไม้
ต๋วนเค่อบินทั่วป่าและส่งสัมผัสจิตค้นหาสัตว์ที่มีร่างกายขั้น 9 ซึ่งนางหาเจอในเวลาเพียงวินาทีเดียว นางไม่แม้แต่ลงพื้นและขยับนิ้วมือเท่านั้น มีดปราณจิตขนาดเท่าฝ่ามือได้ก่อตัวบนอากาศ
นางชี้ไปยังตำแหน่งที่สัตว์ตัวนั้นอยู่และมีดปราณจิตก็พุ่งไปข้างหน้า ไม่มีเสียงร้องของสัตว์ดังออกมาในตอนที่ต๋วนเค่อปล่อยมีดปราณจิตออกไป มีดปราณจิตย้อนกลับมาในอีกห้าวินาทีพร้อมกับซากสัตว์ที่ขนาดพอ ๆ กับหมาป่าเล็กที่หลินมู่นำมา
ต๋วนเค่อโบกมือและซากสัตว์ก็ถูกชำแหละในวินาทีเดียว นางเก็บเนื้อไว้ในสมบัติเก็บของและหยิบแผ่นไม้ออกมา แผ่นไม้นั้นเป็นทรงกลมและมีร่องวงกลมตรงกลาง
ต๋วนเค่อเรียกหินอ่อนสีแดงเข้มที่นางชำระล้างจากศพหมาป่าเล็กของหลินมู่และวางในร่องกลมบนแผ่นไม้
เมื่อหินอ่อนสีแดงถูกวางลงบนแผ่นไม้กลม มันก็เริ่มเปล่งแสง แผ่นไม้ลอยจากมือต๋วนเค่อไปยังทิศทางหนึ่งและต๋วนเค่อบินตามไป
หลินมู่ไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นและกำลังตามหาโรงเตี๊ยมในเมืองอยู่ เขาถามโรงเตี๊ยมเกือบครึ่งเมืองและยังหาห้องพักไม่ได้ เขายืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมอีกแห่งในตอนนี้ ที่นี่ตั้งอยู่ใกล้กับทางออกเมืองและมีคุณภาพที่แย่กว่าโรงเตี๊ยมก่อนหน้า
“ข้าจะหาห้องจากที่นี่ได้ไหมนะ”
หลินมู่พูดกับตัวเองและเดินผ่านประตูโรงเตี๊ยม
เขาเดินไปที่โต๊ะรับแขกและพูดกับเสมียนที่นั่งอยู่
“มีห้องว่างสำหรับหน้าหนาวหรือไม่?”
หลินมู่ถาม
เสมียนมองหลินมู่ด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“ใช่ เรามีห้องว่างอยู่ แต่ต้องจ่ายมัดจำและจะเข้าพักได้อีกในห้าวันนับจากวันนี้”
เสมียนตอบ
หลินมู่คิดว่าเสมียนจะปฏิเสธ เขาจึงดีใจเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำตอบ เขาไม่ใส่ใจเรื่องที่เขาจะต้องรออีกห้าวันเพื่อพักในห้องหรือเรื่องที่ต้องจ่ายมัดจำล่วงหน้าเลย
“ข้าขอจองห้องนั้นก็แล้วกัน ทั้งหน้าหนาวเลย”
หลินมู่พูดด้วยความมั่นใจ
เสมียนพยักหน้าและลงทะเบียนให้เขา
“จ่ายสามเหรียญทองแล้วข้าจะลงชื่อให้”
เสมียนพูด
หลินมู่หยิบ 3 เหรียญทองที่เตรียมไว้ล่วงหน้าและยื่นให้เสมียน
“เจ้าชื่ออะไรรึ?”
เสมียนถามและจุ่มพู่กันลงในน้ำหมึก
“ข้าชื่อหลินมู่”
เสมียนหยิบแผ่นป้ายไม้เล็ก ๆ ที่มีชื่อโรงเตี๊ยมสลักเอาไว้ออกมา มันเขียนว่า ‘โรงเตี๊ยมลมเหนือ’ หลินมู่รับแผ่นไม้และเก็บไว้ในกระเป๋า
“อีกห้าวันให้ใช้แผ่นป้ายนั้นบอกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ เขาจะพาไปที่ห้องพักให้”
เสมียนอธิบาย
หลินมู่พยักหน้ารับและหันหลังออกจากโรงเตี๊ยม
‘ข้าต้องกลับไปที่ร้าน เกือบสามชั่วโมงครึ่งแล้วที่ข้าออกมา ต๋วนเค่อบอกให้กลับในสามชั่วโมง นางน่าจะพร้อมแล้ว’
หลินมู่คิด
หลินมู่เดินกลับไปที่ร้านใน 10 นาทีและเห็นว่าเลื่อนของเขายังอยู่ที่ข้างร้าน
“คงไม่มีใครคิดจะขโมยเลื่อนกระจอก ๆ ที่ข้าทำสินะ”
หลินมู่พูดอย่างอารมณ์ดี
เขาดันประตูที่ส่งเสียงดังลั่นตอนเปิดออกและเข้าไปในร้าน เขาเดินไปที่โต๊ะขายและกำลังจะสั่นกระดิ่งแต่ประตูร้ายก็เปิดพอดี หลินมู่หันไปมองและเห็นว่าต๋วนเค่อเดินเข้ามาในร้าน
‘หา ทำไมนางอยู่ข้างนอกล่ะ?’
หลินมู่คิดในใจ
“ข้าจะไปเอาเนื้อมา เจ้ารอที่นี่”
ต๋วนเค่อพูดกับหลินมู่พร้อมเดินผ่านเขาไปที่ประตูหลังโต๊ะขาย
นางกลับมาในอีกหนึ่งนาทีพร้อมกับถุงที่ดูอัดแน่น นางวางถุงบนโต๊ะและทำท่ามือให้หลินมู่ นางพูด
“นี่เนื้อของเจ้า ส่วนเรื่องเงิน…”
แต่ก่อนที่นางจะพูดจบ หลินมู่ก็พูดแทรกนาง
“อืมม แทนที่จะเป็นเงิน ข้าอยากได้อาวุธน่ะ”
หลินมู่พูด
“อยากได้อาวุธเพิ่มรึ? ได้ดาบนั่นไปแล้วยังไม่พอใจรึไง?”
ต๋วนเค่อถาม
“ไม่เลย ข้าชอบดาบนั่นมาก ข้าแค่อยากได้อาวุธเพิ่มในตอนที่ข้าทำมันหายตอนที่ต่อสู้หรืออะไรแบบนั้น แล้วข้าก็อยากเรียนรู้วิธีใช้อาวุธอย่างอื่นด้วย”
หลินมู่อธิบาย
ต๋วนเค่อพยักหน้าพูด
“ได้สิ เลือกดูในร้านเลย อยากได้อะไรเจ้าก็หยิบไป ถ้าอยากให้ประเมินดี ๆ ก็ต้องจ่ายเพิ่ม”
หลินมู่เดินรอบร้านและหยิบอะไรก็ตามที่เขาชอบ สุดท้ายเขาก็เลือกของมา 12 ชิ้นจากร้าน เขาวางทั้งหมดที่โต๊ะขาย น้ำหนักของอาวุธทั้งหมดนั้นไม่ทำให้หลินมู่ที่มีร่างกายขั้น 6 รู้สึกหนักอีกแล้ว
อาวุธที่เขาเลือกนั้นมีหลากหลายประเภท เขาเลือกสนับมือต่อสู้หนึ่งคู่ ดาบยาว ดาบบางเล่มเล็ก ดาบธรรรมดา ขวานใหญ่ ขวานเล็ก โล่เล็ก โล่ใหญ่ หอก และมีดที่ไม่เหมือนกันอีกสามเล่ม
ต๋วนเค่อแปลกใจเล็กน้อยกับอาวุธหลากหลายชนิดแต่ก็ไม่แสดงออกทางสีหน้า
“แค่นี้รึ?”
ต๋วนเค่อถาม
“ใช่แล้ว ทั้งหมดราคาเท่าไหร่?”
หลินมู่ถาม
“น่าจะราคาใกล้เคียงกับวัตถุดิบที่เจ้าเอามาขายนั่นแหละ”
ต๋วนเค่อตอบ
หลินมู่พยักหน้าด้วยความดีใจและรวบกองอาวุธทั้งหมดบนโล่ใหญ่ก่อนจะวางไว้บนเลื่อนนอกร้าน จากนั้นก็แบกถุงเนื้อออกจากร้านไป ต๋วนเค่อมองดูเขาเดินออกไปด้านนอก
‘เด็กนั่นก็โง่อยู่ไม่ใช่รึไง? ไม่ถามราคาของที่เอามาขายด้วยซ้ำ’
ต๋วนเค่อพูดกับตัวเองก่อนจะโบกมือผนึกประตูด้วยค่ายกล
จากนั้นนางก็เข้าประตูข้างหลังโต๊ะขายออกจากร้านไป