ตอนที่ 33 : สัตว์กลายพันธุ์
หลินมู่เคยเจอต๋วนเค่อมาหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางที่คลายความเยือกเย็นและแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติและเขาอาจจะทำบางอย่างพลาดไป
“มีเรื่องอะไรรึ?”
หลินมู่ถามด้วยความสงสัย
ต๋วนเค่อกลับมาได้สติและรู้ตัวว่านางแสดงสีหน้าตกใจออกไป เมื่อเห็นใบหน้าเป็นห่วงของหลินมู่นางก็รู้ว่าเขาเห็นสีหน้านางเสียแล้ว นางจึงฝืนควบคุมอารมณ์ตอบออกไป
“เจ้าสังหารสัตว์ชั้นสูงตัวนี้ได้อย่างไร?”
ต๋วนเค่อถาม นางพยายามจะเลี่ยงเหตุผลที่แสดงสีหน้าออกมา
ถ้าหากหลินมู่สับสนกับสีหน้าของนาง ตอนนี้เขาก็ต้องสับสนกับคำถามของนางด้วย
“สัตว์ชั้นสูงนี่หมายความว่าอย่างไรรึ?”
หลินมู่ถาม
“สัตว์ตัวนี้เป็นสัตว์ชั้นสูงที่มีร่างกายอย่างน้อยในขั้น 9”
ต๋วนเค่อตอบ
สีหน้าของหลินมู่ค่อย ๆ เปลี่ยนจากความสับสนเป็นความกลัวเมื่อได้ยินคำของต๋วนเค่อ เขาเลี่ยงที่จะล่าสัตว์ชั้นสูงอย่างวีวมีดโกนที่มีร่างกายขั้น 9 เช่นกัน แต่เขากลับลงเอยไปสังหารสัตว์อีกตัวที่มีพลังเท่ากัน
หลินมู่มิอาจเข้าใจได้เลยว่าเหตุใดเขาจึงทำเรื่องยากท้าทายเช่นนี้สำเร็จ จากนั้นเขาก็จำได้ว่ากะโหลกของหมาป่าหลังเหล็กนั้นแหลกละเอียดในกระบวนท่าเดียว แต่หมาป่าเล็กตัวนี้มิได้เป็นอะไรนัก แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดมันถึงไม่ตอบโต้ในตอนที่เขาโจมตี ถ้าหากเป็นสัตว์ชั้นสูงจริง มันน่าจะรู้ตัวว่าเขาอยู่ที่นั่นในทันทีที่เขาเผยตัว
เหตุผลเดียวที่เขาฆ่าหมาป่าหลังเหล็กในตอนนั้นได้ก็เพราะว่าพวกมันยุ่งอยู่กับทหารรับจ้างแลละบาดเจ็บเหนื่อยล้าด้วย ไม่มีทางเลยที่วิธีการเดิมจะได้ผลถ้าหากมันอยู่ในสภาพดีพร้อม ไม่ต้องพูดถึงสัตว์ที่แข็งแกร่งกว่านั้น
เหงื่อเย็นผุดออกมาที่หน้าผากหลินมู่ ต๋วนเค่อเห็นความหวาดกลัวและแตกตื่นได้ในใบหน้าหลินมู่
‘อย่าบอกนะว่าเจ้าเด็กนี่ไม่รู้ว่าล่าสัตว์ที่มีพลังเท่าใด’
ต๋วนเค่อคิด
“เจ้ารู้พลังของเจ้านี่ล่วงหน้ารึไม่?”
ต๋วนเค่อถาม
หลินมู่ที่ดูจะเป็นใบ้กลับมาได้สติเมื่อถูกถาม
“ไม่ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันชื่ออะไร”
หลินมู่ตอบ
ต๋วนเค่อเพียงแค่มองซากสัตว์หลังจากได้ฟังคำตอบของหลินมู่และไม่พูดอะไรออกมาเลย เมื่อเห็นว่านางไม่ตอบหลินมู่จึงถาม
“เจ้านี่…มันชื่ออะไรรึ?”
หลินมู่ถาม
“มันไม่มีชื่อ อย่างน้อยก็จนถึงตอนนี้”
ต๋วนเค่อพูดโดยไม่ละสายตาจากมัน
“หมายความว่ายังไง ใยมันถึงไม่มีชื่อเล่า?”
หลินมู่ถามขณะที่เช็ดเหยื่อเย็นบนหน้าผาก
ต๋วนเค่อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาจากซากสัตว์และมองหลินมู่
“เจ้านี่…มันกลายพันธุ์ ตามธรรมชาติมิได้เป็นเช่นนี้”
ต๋วนเค่อตอบ
“กลายพันธุ์? มันคืออะไรรึ?”
หลินมู่ถามด้วยความสงสัย
“สัตว์บางตัว ถ้าหากได้กินหรือสัมผัสกับของบางอย่าง มันจะเปลี่ยนแปลงร่างกายด้วยอิทธิพลด้วยของสิ่งนั้น แต่ส่วนมากพวกมันก็ขยายพันธุ์ไม่ได้และกลายเป็นสายพันธุ์พิเศษ ที่มีมันเพียงแค่ตัวเดียว”
ต๋วนเค่ออธิบาย
นี่เป็นข้อมูลที่ใหม่มากสำหรับหลินมู่ เขาไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนแม้กระทั่งจากบิดาที่รอบรู้ในเรื่องสัตว์ป่าอย่างมากและยังเป็นนางพรานอีกด้วย เมื่อเห็นว่าหลินมู่กำลังพยายามย่อยข้อมูลที่นางเพิ่งจะบอกไป ต๋วนเค่อก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“แล้วเจ้าเอาชนะมันที่แข็งแกร่งกว่าขนาดนี้ได้ยังไง?”
ต๋วนเค่อถาม
“เจ้านี่ไม่ตอบสนองอย่างที่ควรจะเป็น ข้าดักรอแล้วก็สังหารมันได้ในสองกระบวนท่า”
หลินมู่อธิบาย
“อธิบายมากกว่านี้ไม่ได้เรอะ?”
ต๋วนเค่อตอบ
“ข้าวางเหยื่อล่อแล้วรอให้มีตัวอะไรมา ข้าซ่อนตัวอยู่ตลอดและโจมตีในตอนที่มันอยู่ในตำแหน่งดีและไม่เห็นข้า กระบวนท่าแรกข้าทำมันหยุดนิ่งจนล้มไปกับพื้นได้ แล้วหลังจากนั้นข้าก็ฟันคอมัน”
หลินมู่อธิบายเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียด
“มันยังกลายพันธุ์ไม่เสร็จดีรึ? แต่จากพลังนี้ มันคล้ายกับ ‘เจ้านั่น’ นะ”
ต๋วนเค่อพูดเบา ๆ
“หืม อะไรรึ?”
หลินมู่ถามเมื่อได้ยินนางพึมพำ
ต๋วนเค่อหยุดและมองหลินมู่ก่อนจะพูดห้วน ๆ
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
หลินมู่ตกใจกับเสียงห้วนของนางเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร
“เจ้าจะขายเจ้านี่สินะ?”
ต๋วนเค่อถามเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่ ข้าไม่ได้ขายทั้งตัว ข้าจะเก็บเนื้อเอาไว้”
หลินมู่ตอบ
“แล้วทำไมเจ้าไม่เชือดมันก่อนมาเล่า?”
ต๋วนเค่อถามด้วยความรำคาญในน้ำเสียง
“ขะ…ข้าไม่รู้ว่ามันขายส่วนไหนได้บ้าง ก็เลย…เก็บมันมาทั้งตัวเลย”
หลินมู่ตอบอย่างอาย ๆ
“อืม ไม่เป็นไร เจ้ามารับเงินกับเนื้อในอีกสามชั่วโมง ข้าจะคิดค่าชำแหละเพิ่มด้วย”
ต๋วนเค่อตอบอย่างตรงไปตรงมา
หลินมู่ผงะเล็กน้อยในประโยคหลัง แต่เขาก็พยักหน้าและเดินออกจากร้าน เขาไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าเขาจะได้เงินมากเท่าใดเพราะเขารู้ดีว่านางร้ายคนนี้เริ่มจะรำคาญเขาแล้ว
หลังหลินมู่ออกจากร้าน ดวงตาของต๋วนเค่อเริ่มแสดงความตึงเครียด นางโบกมือและอักษรโบราณมากมายก็ได้ปรากฏขึ้นมาจากประตูร้าน ถ้าหากมีผู้ใดมองมาที่ร้านจากข้างนอกตอนนี้ก็จะเห็นว่ามันเป็นกำแพงธรรมดา ไม่มีป้ายร้านอยู่ในซอยเปลี่ยวนี้เลย
ต๋วนเค่อขยับมือและทำให้ซากสัตว์ลอยขึ้นมา นางเดินผ่านประตูหลังโต๊ะขายที่เปิดออกมาเองให้นาง ซากสัตว์ลอยอยู่ข้างหลังนางและลอยตามนางเข้าไปในประตู
ต๋วนเค่อเข้าสู่ห้องขนาดเล็กที่มีแสงตะเกียงที่แขวนบนหลังคา ไม่มีทางเข้าหรือออกที่นี่ยกเว้นประตูที่ต๋วนเค่อเข้ามา นางดีดนิ้วและตะเกียงที่อยู่ในห้องก็ดับไฟ แต่แทนที่มันจะมืด ภาพของห้องก็เปลี่ยนเป็นสีขาวพร้อมกับต๋วนเค่อที่หายตัวไป
ต๋วนเค่อปรากฏตัวอีกครั้งในไม่นานที่สวนขนาดใหญ่มหึมา มีบ่อน้ำประดับ แม่น้ำ ลำธาร และภูเขาปลอม มีสะพานที่ออกแบบให้สลับซับซ้อนแผ่ขยายข้ามทั้งแม่น้ำลำธารพร้อมมัจฉางดงามแหวกว่ายในวารี
ที่อีกฟากของสวนจะเห็นตำหนักที่ตกแต่งอย่างปราณีตไปด้วยภาพวาด รูปปั้น และอักษรเขียนพู่กัน ที่หน้าตำหนักจะมีหอเล็กล้อมรอบไปด้วยบุพผาจิตหลายร้อยดอกที่ส่งกลิ่นหอมน่ายินดีออกมา
ชายชรานั่งสงบนิ่งในหออยู่นั่นเอง เขากำลังดื่มชาในถ้วยที่ส่งกลิ่นให้ใจสงบ ชายชราผู้นี่มิใช่ใครแต่คือเจ้าของร้านจิงเหว่ย จิงเหว่ยนั่นเอง และเขาก็เป็นปู่ของต๋วนเค่อด้วย
ต๋วนเค่อเดินเข้าไปยังหอหยุดที่ด้านหลังจิงเหว่ย ชายชรากำลังรื่นรมย์กับชาและมิได้หันมองต๋วนเค่อ
“ท่านปู่”
ต๋วนเค่อเรียกด้วยความรัก
ชายชรากระดกชาอึกเดียวหมดถ้วนและหันมาหาหลานสาว
“กลับมาจากร้านแล้วรึ เจ้าเด็กหลินมู่ใช่ไหม?”
จิงเหว่ยถาม เขาปล่อยให้รสชาติชาซึมซาบผ่านดวงตาที่ยังปิดอยู่
“ใช่ ท่านปู่ เขา…เอาของแปลก ๆ มา”
ต๋วนเค่อตอบด้วยความไม่แน่ใจในน้ำเสียงของนาง
จิงเหว่ยลืมตาเมื่อได้ยินคำของต๋วนเค่อ
“ทำไมกัน เขาเอาอะไรมา?”
เขาถามด้วยเสียงชวนให้มั่นใจ
ต๋วนเค่อขยับนิ้ว ซากหมาป่าเล็กขยับมาที่ด้านหน้านางและลอยลงพื้น นางชี้มันและพูด
“เจ้านี่”
จิงเหว่ยละสายตามองซากสัตว์
“อืม กลายพันธุ์ แล้วก็มีพลังระดับสัตว์ชั้นสูง”
จิงเหว่ยพูดกับตัวเอง
“เขาสังหารมันเองรึ?”
จิงเหว่ยถามต๋วนเค่อ
“ใช่ เด็กนั่นบอกข้าแบบนั้น แล้วก็ไม่น่าจะโกหกด้วย”
ต๋วนเค่อตอบ
“เขาไม่น่าจะสังหารสิ่งนี้ได้เลย”
จิงเหว่ยพูด
“ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอกท่านปู่ สัตว์นี่ยังกลายพันธุ์ไม่สมบูรณ์ มันตอบโต้ไม่ทันตอนเด็กนั่นโจมตี”
ต๋วนเค่ออธิบาย
จากนั้นนางหยุดไป และพูดต่อ
“พลังของตัวนี้ มันคล้ายกับ ‘เจ้านั่น’ จากปีที่แล้วมาก ๆ เลย”
“ข้าคิดว่าเจ้าทำลายร่องรอยของสิ่งนั้นไปหมดแล้ว แม้แต่สิ่งที่ศิษย์นิกายสามหม้อโบตั๋นก็ทำไม่ได้”
จิงเหว่ยพูดเชิงตั้งคำถาม
“ข้าทำไปแล้ว แต่เมื่อมีเจ้านี่โผล่มา ข้าคิดว่ามันอาจจะกลายพันธุ์เพราะผลกระทบจาก ‘สิ่งนั้น’ นะ”
ต๋วนเค่อตอบด้วยใบหน้าสับสน