วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0121
บทที่ 38 เอลเดอร์ลิช พ่อพระของคนตาย (3)
* * *
นักบุญหญิงมองหน้ามนุษย์
เสียงของอีกฝ่ายฟังดูคุ้นหู เพราะเพิ่งได้ไปเมื่อสองวันก่อน
ทั้งที่อยู่ท่ามกลางพายุเถ้าถ่านและทราย แต่ภาพลักษณ์ของมนุษย์กลับดูคมชัดจนเธอไม่อยากละสายตา
มือข้างหนึ่งกำมีดสั้นที่หล่นจากปากนักบุญหญิงไว้แนบแน่น
“อะ…”
คำพูดขาดห้วง
เป็นเพราะเธอไม่ได้พูดมานาน หรือเพราะตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้ากันแน่?
เหตุผลยังคงเป็นปริศนา แต่กลิ่นของเถ้าถ่านที่กระแทกปลายจมูก ปลุกให้เธอตื่นจากภวังค์
นักบุญหญิงจ้องมีดสั้นที่มนุษย์กำลังถือ
โคล์บ’ รานเดอจู — ปีศาจที่เกิดจากจุดจบของเทพ
เธอเตรียมใจตายตามลำพัง เพื่อที่จะพูดประโยคสุดท้ายออกมา
จึงไม่มีใครควรอยู่ที่นี่
“…ไม่”
เธอสับสนมาก เสียงสั่นเครืออย่างมิอาจหักห้าม
“เจ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้…”
วินาทีดังกล่าว วีว่าซิสซิโม่ตระหนัก
โคล์บ’ รานเดอจูในมือมนุษย์ยังมิได้สำแดงพลัง
ไม่สิ คล้ายกับมันไม่มีพลังเหลือ
คังซอนฮูจ้องมีดในมือสักพักก่อนจะโยนเล่นสองสามหน
โคล์บ’ รานเดอจูถูกชำระล้างเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่จะหลุดออกจากปากวีว่าซิสซิโม่ด้วยซ้ำ
เธอชำระล้างปีศาจโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาจักรวาลของนักบุญหญิงเริ่มสั่นเครือ
‘ยังกับคนตายในหลุมศพ’
เนื่องจากไม่มีพลังปัดเป่าปีศาจ เธอจึงต้องใช้ชีวิตท่ามกลางคำถากถางนั้นมาตลอด
สมัยที่เคยตำหนิตัวเอง ว่าทำตัวไม่สมกับฐานะนักบุญหญิง
แต่ในความเป็นจริง วีว่าซิสซิโม่สามารถชำระล้างปีศาจที่เกิดมาพร้อมความตายของเทพ
ลิลี่ข้างๆ ที่อุดปากและจมูกด้วยผ้าคลุมสีขาว กล่าวกับมนุษย์
“…เจ้ารู้ได้ยังไง?”
“หือ?”
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าโคล์บ’ รานเดอจูถูกชำระล้าง?”
คังซอนฮูยังคงจ้องมีด เป็นมีดสองคมที่คมกริบ อาจสังเกตเห็นได้ยากเพราะกำลังอยู่ท่ามกลางพายุฝุ่นทรายและเถ้าถ่าน
กลิ่นบรรยากาศของที่นี่ค่อนข้างฉุน ไม่รู้ว่าเพราะปีศาจหรือออร่าแห่งความตาย
“ฉันไม่รู้สักหน่อย”
“แล้วทำไม…”
“แค่คิดว่า มันน่าจะเป็นแบบนั้น”
ลิลี่จ้องคังซอนฮูสักพัก
ตามความเห็นของเธอ ชายคนนี้ไม่ได้เชื่อใจใครง่ายนัก
อาจฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่คังซอนฮูไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาในอาณาเขตง่ายๆ
ทว่า ในยามคับขัน เขากลับกล้าเชื่อใจคนอื่นโดยไม่ต้องมีหลักฐานรองรับ
“ได้เห็นความมุ่งมันของนักบุญหญิง ฉันเชื่อว่าเป็นไปได้น่ะ”
ด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้
ลิลี่มิอาจทำความเข้าใจ แต่เธอไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อการตัดสินใจของอีกฝ่าย
ทุกครั้งที่คังซอนฮูเชื่อมั่น มันจะจริงเสมอ
“เพราะความศรัทธาและความพยายามไม่มีวันทรยศใคร”
พูดจบ มนุษย์ขว้างมีดลงพื้นเต็มแรง
ฉีก!
ณ ตำแหน่งที่มีดปักลึกลงไปมีอักษรรูนสลักอยู่
นักบุญหญิงอ่านรูนดังกล่าวไม่ออก
เพราะอักขระนั่น ไม่ใช่แค่รูนธรรมดา
* * *
“แฮ่ก… แฮ่ก…”
เทลาเทอรีวางมือลงบนเข่าพลางหายใจหอบ
ยิ่งพวกเธอเข้าใกล้ยอดเขา พายุเถ้าถ่านก็ยิ่งทวีความรุนแรงจนยากจะหายใจ
รีเบคก้านำขวดแก้วออกมาและทาของเหลวรอบปาก
ริมฝีปากที่แต่เดิมมีสีฟ้า เริ่มเผยรอยแตก
“เจ้าไหวนะ?”
“ข้าไม่น่าตามเจ้ามาเลย… เพราะข้า… เจ้าถึงมาสาย…”
“ไม่เป็นไร เจ้าทำดีแล้ว ที่เหลือก็แค่อดทนไปให้ถึงยอดเขา”
เทลาเทอรีรู้สึกผิด ขณะเดียวกันก็ทึ่งในความอ่อนโยนของอีกฝ่าย
แวมไพร์ไม่ได้เป็นแบบนี้สักหน่อย
พวกเขาอาจอ่อนโยน แต่ก็รักความเป็นส่วนตัวมาก ไม่ชอบสุงสิงกับใคร และเกลียดการถูกบุกรุกอาณาเขต
เทลาเทอรีไม่ต่างอะไรกับภาระของรีเบคก้า แต่อีกฝ่ายกลับยังคอยให้กำลังใจ
“เหนื่อยใช่ไหม? ค่อยๆ หายใจ”
“ไม่เป็นไร ฟูว… ข้ายังไหว”
“ขี่หลังข้าสิ”
รีเบคก้าหันหลังให้เทลาเทอรี
เทลาเทอรีส่ายหน้าขณะหายใจแรง
“ไม่…!”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าฝึกร่างกายมา ถ้าแค่คนเดียวยังพอแบกได้…”
“ไม่ใช่แบบนั้น… ข้าจะทำด้วยตัวเอง… ต้องทำด้วยตัวเอง”
เทลาเทอรีเงยหน้ามอง แม้จะอยู่ท่ามกลางพายุ แต่ก็ใกล้มากจนมองเห็นยอดเขา
“ข้าจะไม่เป็นภาระ… ข้าจะขึ้นไปด้วยตัวเอง”
รีเบคก้าพยักหน้า
ทั้งสองสามารถรับรู้ได้ว่า บนที่ราบเหนือยอดเขามีสัตว์ร่างใหญ่กำลังเคลื่อนไหว
“เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว!”
รีเบคก้าพยักหน้าพลางจับมือเทลาเทอรี
“เจ้าทำได้แน่”
ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังที่ราบสูง ยิ่งเข้าใกล้ยอดเขา เนินก็ยิ่งลดระดับความชัน ช่วยให้เทลาเทอรีมีโอกาสได้พักหายใจหายคอ
คำถามเริ่มต้นขึ้น
“…น่าแปลก แถวนี้ควรจะเต็มไปด้วยสัตว์อสูรที่ปนเปื้อนอิทธิพลจากปีศาจสิ”
“สัตว์อสูร?”
“ใช่ สัตว์อสูรคือคำเรียกกลุ่มสัตว์ป่าที่ถูกปีศาจดึงดูด พวกมันมีแนวโน้มที่จะรวมตัวกันปกป้องปีศาจ นั่นคือเหตุผลที่พวกเราแทบจะศึกษาภูเขาลูกนี้ไม่ได้เลย… ระหว่างทางที่เดินขึ้นมา เจ้าเห็นสัตว์อสูรสักตัวหรือยัง?”
รีเบคก้าส่ายหน้า
ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง สถานการณ์ปัจจุบันก็นับว่าแปลกมาก
รีเบคก้าเชื่อว่าโลกนี้ไม่มีความบังเอิญ ทุกสิ่งต้องมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง
ทันใดนั้น เทลาเทอรีและรีเบคก้ามองเห็นพร้อมกัน
ณ สันเขาฝั่งตรงข้ามภายในพายุ ร่างของสตรีผู้หนึ่งกำลังส่องแสง
รูปร่างคล้ายมนุษย์ มือข้างหนึ่งถือดาบ เค้าโครงค่อนข้างเลือนรางเพราะถูกบดบังด้วยพายุขี้เถ้า แต่ก็ไม่เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่าร่างของเธอกำลังสว่างเจิดจ้า
รีเบคก้าไม่รู้ว่านั่นคืออะไร
เทลาเทอรีขยับริมฝีปากอันแห้งผาก ดวงตาจดจ่อในจุดเดิม
“…นั่นมัน”
“อะไรหรือ? สัตว์อสูร?”
“…อวตารของดารากร”
ทันใดนั้น รีเบคก้าฉุกคิดได้ว่า เคยมีดารากรร่วงหล่นอยู่แถวนี้
ใต้เท้าดารากรเต็มไปด้วยซากศพสัตว์ร้าย แต่เมื่อดารากรคุกเข่าลงหนึ่งข้างและใช้มือสัมผัส ศพเหล่านั้นก็สลายไปราวกับถูกเผา
ดารากรหันมาทางรีเบคก้าและเทลาเทอรี
จากนั้นก็หายตัวไปท่ามกลางพายุ
ทุกสิ่งเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
รีเบคก้ายืนเหม่อด้วยอารมณ์ท่วมท้น
“เมื่อครู่มัน… อะไรกัน?”
“มีดารากรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้…”
“ดารากรมาทำอะไร? ไม่สมเหตุสมผลเลย”
กระทั่งรีเบคก้าผู้เชี่ยวชาญด้านเทววิทยา ก็ยังมองหาจุดเชื่อมโยงไม่ได้
ตามปกติแล้ว ดารากรจะแทรกแซงโลกไม่ได้เว้นเสียแต่จะบรรลุเงื่อนไขพิเศษ
เหล่าเทวราชาไม่อนุญาตแน่
อย่างมากก็ทำได้เพียงแอบส่งวิวรณ์ให้ลูกหลานดวงดาวทางอ้อม
แต่ตัวตนเมื่อครู่คืออวตารของดารากรไม่ผิดแน่
มีดารากรบางตนแหกกฎและใช้พลังแทรกแซงโลก?
เทลาเทอรีก็สงสัยในสิ่งเดียวกัน แต่เธอเลือกจะถามข้ามขั้น
“…และถ้าคิดจะใช้พลังแทรกแซง ทำไมถึงจัดการแค่สัตว์อสูร?”
พลังของดารากรสามารถเป็นภัยคุกคามต่อปีศาจข้างบน บางทีอาจจัดการมันได้ไม่ยาก
แล้วทำไมดารากรที่ลงทุนแหกกฎ ถึงทำเพียงสังหารสัตว์อสูร?
ทำไปเพื่ออะไร? ผลลัพธ์คงไม่มากไปกว่าการช่วยเปิดทาง
“ช่วยเปิดทาง…!”
ดวงตาสีฟ้าของเทลาเทอรีเริ่มสั่นเทา
“…ดารากรแค่มาช่วยเปิดทาง!”
“เปิดทาง?”
“ดารากรช่วยเปิดทางให้… นักบุญหญิงกับเอลเดอร์ลิช… เข้าถึงตัวปีศาจได้ง่ายขึ้น”
“ทำแบบนั้นไปทำไม…?”
“…เพื่อมอบเกียรติให้พวกเขายับยั้งอสูรด้วยตัวเอง ดารากรคือตัวตนที่โหยหาตำนาน”
เทลาเทอรีมองเห็นยอดเขาชัดเจนขึ้น
ท่ามกลางยุคสมัยแห่งความเสื่อมโทรม เธอเห็นภาพหลอนคล้ายกับสง่าราศีแห่งทองคำ จากยอดเขาที่อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายความตาย
“ดารากรเดิมพันว่า สองคนนั้นจะสร้างตำนานขึ้นมาได้ พระองค์เชื่อใจถึงขนาดยอมลงทุนฝ่าฝืนข้อห้ามของเทวราชา”
เทลาเทอรีเริ่มมีเรี่ยวแรงส่งตัวเองเดินขึ้นยอดเขา
“ถ้าอยากจะมีส่วนร่วม พวกเราต้องเร่งมือ…”
รีเบคก้ามองกลับหลังสักพัก ก่อนจะเกร็งขาและมุ่งหน้าไปยังยอดเขาเถ้าถ่าน
* * *
รอยัลบลัด เผ่าพันธุ์ที่ถูกทอดทิ้ง และลูกหลานดวงดาว กำลังยืนนิ่งบนที่ราบสูงซึ่งปกคลุมด้วยพายุแห่งความตาย
นักบุญหญิงที่เลือกสละชีวิตตัวเองพร้อมกับเปิดปากพูดด้วยความแน่วแน่ ปัจจุบันยังคงมีชีวิตอยู่
โคล์บ’ รานเดอจูถูกชำระล้างแล้ว แม้วิญญาณปีศาจจะยังหลงเหลือ แต่ก็ไม่ใช่ปีศาจเหมือนเดิม
“เธอทำได้ นักบุญหญิง”
คำพูดมนุษย์ทำเอาน้ำตาหญิงสาวไหลพราก หัวใจเต็มไปด้วยความอิ่มเอม
แต่ในเวลาเดียวกัน กาลอสร้องคำรามอีกครั้ง
เสียงร้องอันหยาบกร้าน โสมม และไม่ถูกขัดเกลา ฟังดูน่าขยะแขยงเหมาะกับนิรันดร์ชนที่เลือกจบชีวิตตัวเองและกลายเป็นปีศาจ
เสียงดังกล่าวดึงสตินักบุญหญิงกลับมา
เธอปิดปากสนิทอีกครั้ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาและเถ้าถ่าน กำลังเผยอารมณ์หวาดกลัว
เธอชำระล้างโคล์บ’ รานเดอจูสำเร็จก็จริง แต่นั่นหมายความว่าตอนนี้ไม่เหลือวิธีเอาชนะกาลอสแล้ว
ความสุขเลือนหายอย่างรวดเร็ว แทนที่ด้วยความสิ้นหวัง
กลิ่นฉุนบนยอดเขาทะลวงเข้ามาในจมูกรุนแรงยิ่งกว่าเก่า
“ทำไมกัน… ทำไมถึงต้องเป็นตอนนี้…”
นักบุญหญิงพูดด้วยแข้งขาที่อ่อนแรง
เธอทำไม่สำเร็จในตอนที่อยากทำแทบตาย
แต่กลับสำเร็จง่ายๆ ในตอนที่อยากพึ่งพาพลังของมัน
การหันหลังให้เทพ ต้องจ่ายค่าชดเชยแพงขนาดนี้เชียว?
“…หนีไป”
นักบุญหญิงฝืนเค้นลมออกจากปอด
แม้จะไม่รู้ว่าชายคนนี้มาทำอะไร แต่เธอปรารถนาที่จะตายคนเดียวตามคำทำนาย ไม่อยากให้มีใครโดนลูกหลง
“รีบหนีไป… ตอนนี้ยังไม่สาย กาลอสยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ จงรักษาชีวิตเพื่อปกป้องทองคำของเจ้า”
“…แล้วเธอทำยังไงต่อ? โคล์บอะไรนั่นไร้พลังไปแล้ว”
“ตามคำพยากรณ์ ข้าจะตายที่นี่พร้อมปีศาจ”
“…เธอเตรียมใจตายไว้แล้ว?”
มนุษย์ยังคงยืนสองขา เงยหน้ามองปีศาจที่ค่อยๆ ยกตัวขึ้น
ปีศาจมีขนาดใหญ่เสียจน เพียงแค่มองก็เกิดความกลัวเป็นล้นพ้น
เธอหันกลับมามองชายหนุ่มอีกครั้ง
มนุษย์พูดต่อ
“เธอเตรียมใจตาย และถ่อมาถึงที่นี่เพื่อทำให้ดีที่สุด”
ต้องการจะพูดอะไรกันแน่?
นักบุญหญิงเงยหน้าขึ้น ร่างกายขนาดมหึมาของปีศาจถูกแผ่นหลังมนุษย์บดบังไปหลายส่วน
“ถ้าอย่างนั้น… ทำไมสีหน้าของเธอถึงไม่มีความสุขกับผลลัพธ์เลยล่ะ?”
“…ได้สติสักที! ได้โปรด!”
ไม่อยากพูดแบบนี้เลย
แต่เธออยากตายแค่คนเดียวจริงๆ
“คำพยากรณ์จะเกิดขึ้นบนโลกอย่างไร้เงื่อนไข! และไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือปีศาจ!”
น้ำตาไหลพรากอีกครั้ง น้ำเสียงแหบแห้งขณะพรั่งพรูถ้อยคำ
“ปีศาจกับข้ามีชะตากรรมที่ต้องตายพร้อมกัน! เจ้าไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้อง! รีบออกไปจากที่นี่เร็วเข้า!”
“อารมณ์รุนแรงกว่าที่คิดนะ ถึงได้มีคำกล่าวที่ว่า เราไม่มีทางรู้จักตัวตนของใครจนกว่าจะได้ฟังอีกฝ่ายพูด”
“เจ้าฟังอยู่รึเปล่า…?”
“ฉันมีคำถาม”
มนุษย์ยังคงยืนมองปีศาจ
ออร่าแห่งความตายจากปากปีศาจค่อยๆ เอ่อล้นลงมาข้างล่าง
เพียงไม่นาน ลมหายใจของมังกรร่วงที่หล่นก็แผ่ปกคลุมท้องฟ้า
นักบุญหญิงเบิกตากว้างขณะกระชากสติสัมปชัญญะที่กำลังล่องลอยให้กลับมา
“ในคำพยากรณ์ของปีศาจและนักบุญหญิง… มีฉันอยู่ด้วยไหม”
“…”
ไม่มี
คำพยากรณ์ไม่ได้เขียนเอาไว้
และนั่นก็ไม่เห็นจะสำคัญ นักบุญหญิงคิดแบบนั้น
มนุษย์ยื่นมือเล็กๆ ของตนไปทางกาลอส
ก็แค่มือธรรมดาๆ ของมนุษย์
กายาแสนอ่อนแอของปุถุชนที่สามารถแหลกสลาย หากกาลอสขยับตัวเพียงเล็กน้อย
มนุษย์กำลังยืนเผชิญหน้ากับปีศาจนิรันดร์ชน ด้วยวิญญาณและภาชนะอันอ่อนแอของปุถุชน
แต่ใบหน้าของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“…อึก!”
ปีศาจเงยหน้าขึ้น แค่นั้นก็ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน
ลมหายใจสีดำพรั่งพรูจากปากปีศาจจนกระทั่งเต็มท้องฟ้า
พลังงานสีดำถูกวังวนบนท้องฟ้าดูดกลืนจนกลายเป็นต้นเสา
เมฆโดยรอบถูกปนเปื้อน วังวนเริ่มกระจายโรคระบาดแห่งความตายออกไปทั่วทุกซอกมุมโลก
“นักบุญหญิงเคยพูดใช่ไหม… พวกเราไม่ใช่หมากบนกระดานของเทพ”
“…ใช่”
“ถ้าอย่างนั้น มาต่อต้านคำพยากรณ์อันแม่นยำกันเถอะ”
มนุษย์หลับตาลง
ณ ตำแหน่งที่โคล์บ’ รานเดอจูปักอยู่ อักษรรูนกะพริบแสงจาง
รูนที่ไม่รู้ว่าถูกวาดขึ้นตอนไหน กำลังมอบความสว่างไปทั่วบริเวณ
ไม่นานก็มีพลังงานเอ่อล้นออกจากรูน แต่ก็ดับสนิทในทันที
“รูน? ไม่ได้! หยุดก่อน! เจ้าเด็กใหม่อย่าใช้รูน!”
เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง
เป็นเทลาเทอรี ตามมาด้วยรีเบคก้า
“ลืมไปแล้วหรือว่าใช้รูนที่นี่ไม่ได้! ข้าไม่กังขาพลังของเจ้าหรอกนะ แต่ภาษารูนน่ะ…”
“นี่ไม่ใช่ภาษารูน”
เป็นเสียงของลิลี่
เธอยังคงจ้องปีศาจราวกับไม่อยากพลาดเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิด
“มันคือภาษาแห่งราชัน”
มนุษย์ท่องประโยคที่ไม่มีใครมีสิทธิ์ได้ยิน
ดอน เบอร์นิก้า กิโฮเต้
DON BERNIKA QUIJOTE
นามแห่งนิรันดร์ชนที่ไม่มีใครในยุคนี้ล่วงรู้
* * *
อาศัยเลือดเป็นสื่อกลาง แวมไพร์สามารถเชื่อมวิญญาณกับผู้ที่ตนเชื่อใจไปตลอดชีวิต
แต่มังกรอาศัยเพียงนาม เพื่อยอมให้ใครสักคนหยิบยืมวิญญาณชั่วขณะ
มนุษย์ท่องนามเต็มของมังกร
เขาสัมผัสได้ทันที มังกรกำลังอยู่ที่ไหน กำลังเผชิญความยากลำบากแบบใด และตั้งใจจะทำสิ่งใด
มนุษย์หยุดทุกสิ่งและตั้งใจถ่ายทอดข้อความ
ความปรารถนาของมนุษย์มีเพียง:
ขอให้การเรียกหาท่านในครั้งนี้ ไม่รบกวนการเดินทางเพื่อค้นหาชะตากรรมของท่าน
มังกรได้ยินเช่นนั้นจึงคิด
มังกรไตร่ตรองระดับของอุปสรรคที่มนุษย์กำลังเผชิญ
มังกรใคร่ครวญว่า ตนต้องให้มนุษย์ยืมพลังมากแค่ไหน อีกฝ่ายจึงจะก้าวไปต่อได้
จนกระทั่ง มังกรตัดสินใจ
มังกรพ่นลมหายใจข้ามห้วงจักรวาล โดยเล็งมายังสิ่งโสมมที่กำลังขวางทางมนุษย์
* * *
นักบุญหญิงแหงนมองท้องฟ้า นั่นเพราะเธอสัมผัสได้ว่า สายลมได้หยุดลง
พายุที่ปกคลุมยอดเขามาเนิ่นนาน หลุดลงโดยไม่มีลางบอกเหตุ
เทลาเทอรีแหงนมองท้องฟ้า
เธอสังเกตเห็นว่า มีดาวดวงหนึ่งปรากฏขึ้นกะทันหัน
ภายในใจครุ่นคิด เหตุใดตนถึงยังมองเห็นดาวทั้งที่ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ?
รีเบคก้าเองก็เงยหน้ามอง และพบดาวดวงหนึ่งกำลังส่องแสงสีขาวสว่าง
ดาวสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนเท่ากับดวงจันทร์
แต่รีเบคก้าทราบดีว่านั่นไม่ใช่ดวงจันทร์
“…หลบเร็ว!”
อาศัยสัญชาตญาณอันเฉียบแหลม รีเบคก้าประเมินว่าหากอยากมีชีวิตรอด ต้องรีบเคลื่อนไหวตั้งแต่ตอนนี้
เธอนำผ้าคลุมสีขาวที่มนุษย์มอบให้มาคลุมตัวและกอดเทลาเทอรีไว้
ดวงดาวที่ปรากฏขึ้นกะทันหัน ขยายขนาดเท่าดวงจันทร์ และไม่นานก็เท่าดวงอาทิตย์
จากนั้นก็กลายเป็นเสาลำแสงที่ทะลวงกลุ่มเมฆบนท้องฟ้า
วังวนขนาดมหึมาบนท้องฟ้าถูกเจาะจนกลวงโบ๋ เมฆดำที่มิอาจทนต่อพลังทำลายล้างบริสุทธิ์ ถูกเป่าจนกระจัดกระจายไปทุกทิศและระเหย
เผยให้เห็นท้องฟ้าสีครามและจักรวาลสีดำทรงกลม
เสาลำแสงกระทบกับใจกลางที่ราบสูงเหนือยอดเขาด้วยความเร็วเสียง
แรงปะทะส่งผลให้แผ่นดินยุบตัวเป็นวงกว้าง ไม่มีใครรักษาสมดุลไว้ได้ท่ามกลางแรงสะเทือน
ฝุ่นทรายและเถ้าถ่านถูกแผดเผาในพริบตา ลำแสงกระทบกับกระดูกสีขาวของกาลอสที่ยังไม่ลืมตา
เสียงอึกทึกดังขึ้นเพียงชั่วครู่ ตอนแรกคิดว่าคงดังจนดูแตก แต่ไม่นานก็เงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงแผดเผาของเสาลำแสง
ในอ้อมอกมนุษย์ ลิลี่ที่แอบชะโงกดวงตาออกมาหนึ่งข้าง มองเห็นชัดเจนว่าเสาลำแสงกำลังชำระล้างวิญญาณปีศาจ
เบรธของมังกร
ลมหายใจของราชันโทสะสีชาด ที่พ่นกลับมายังโลกเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้สหายของตน
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (2/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel