ยอดยุทธคลิกเดียว!! ตอนที่ 436 ศิษพี่ปรากฏตัว
ซู่เสี่ยวไป่นั้นติดตามหลิงทิงจนมาถึงตำหนักของนาง
นี้เป็นครั้งแรกที่ซู่เสี่ยวไป่ได้เห็นตำหนักของผู้อาวุโสของนิกาย จะเรียกว่าตำหนักก็ไม่เต็มปาก เพราะมันไม่ต่างจากมิติโลกส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย
ในพื้นที่แห่งนี้ ไม่มีสิ่งใดมองผ่านเข้ามาได้มันถูกปิดกั้นจากภายนอกทั้งหมด และผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดในตำหนักแห่งนี้คือหลิงทิง!
ภายในพื้นที่ตำหนักนั้นมีเสียงหมู่นกน้อยขับขานร้องเพลง กลิ่นหอมของดอกไม้นับพันๆ ทุ่งหญ้าเขียวขจีไกลออกไปสุดลูกหูลูกตาราวกับพื้นทั้งหมดถูกปูด้วยหยกเขียวอ่อน มีไก่ฟ้า และสัตว์ป่าที่ดูงดงามพบเห็นได้ทั่วไป บางตัวนั้นใหญ่โตราวกับภูเขา บางตัวก็เล็กเท่าเมล็ดข้าวก็มี
ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่า
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตัวตนเขตแดนบรรพชนบรรพกาลนั้นถึงถือครองความมั่งคั่งได้มากมายขนาดนี้ ต่อให้ใช้ทั้งชาติก็ยังไม่หมดเลยด้วยซ้ำ เพราะเพียงแค่สมบัติตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นในตำหนักแห่งนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นความร่ำรวยที่ทำให้คนเป็นบ้าได้
ซู่เสี่ยวไป่นั้นเป็นศิษคนแรกของหลิงทิง ที่หลิงทิงนั้นยอมเปิดใจยอมรับ นางจึงให้ซู่เสี่ยวไป่ไปไหนมาไหนในตำหนักแห่งนี้ได้อย่างอิสระ และที่พักของซู่เสี่ยวไป่นั้นอยู่ในตำหนักของหลิงทิง
“ศิษไป่ ถ้าหากไม่มีอะไร อย่าได้มารบกวนข้าเข้าใจไหม?”
หลังจากที่หลิงทิงพูดจบนางก็ออกไปจากห้องพักของซู่เสี่ยวไป่ทันที
“เฮ้อ…”
ซู่เสี่ยวไป่นั้นถอนหายใจออกมาอย่างแรง ก่อนที่เขาจะกลับเข้าไปในโลกมิติส่วนตัวทันที
สิ่งที่เขาเจอมาในวันนี้มันหนักอึ้งเกินไป หนักที่สุดที่เขาเคยเผชิญมาตลอดปีครึ่งนี้เสียอีก
“สถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายเกินไป อาณาจักรคลื่นโบราณแฝงตัวอยู่ในทุกที่แล้วจริงๆ และยังปลอมตัวเป็นตัวตนที่ดำรงตำแหน่งสูงอีกด้วย ขนาดนิกายที่ทรงอำนาจยังไม่รอดพ้นการแทรกแซงของพวกมันได้”
“พวกมันแทรกแซงมาถึงระดับนี้ได้อย่างไรนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่เราเจอตอนนี้ก็แค่นิกายเดียว อาจจะมีนิกายมหาอำนาจมากกว่านี้ถูกแทรกแซงไปแล้ว”
ซู่เสี่ยวไป่นั้นหยิบจอกเหล้าและขวดเหล้าผลไม้ออกมาจากมิติเก็บของ ก่อนที่เขาจะนั่งพักลงพร้อมกับรินเหล้าอย่างใจเย็นและคิดทบทวนทุกอย่าง
“พวกสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรคลื่นโบราณนั้น มันใช้วิธีการที่น่าเกียจมาก ไม่รู้ว่าหนึ่งในผู้อาวุโสของนิกายจะมีใครเป็นสายลับจากอาณาจักรคลื่นโบราณอีก เราแยกไม่ออกว่าคนไหนตัวจริงคนไหนตัวปลอม”
“แต่ดูจากท่าที่ของพวกมันแล้ว สิ่งที่เราทำกับพวกมันในอาณาจักรคงไม่มีค่าให้พวกมันสนใจ”
เมื่อซู่เสี่ยวไป่คิดได้เขาก็ยกเหล้าขึ้นจิบ
ซู่เสี่ยวไป่มองว่าเงาของเขาเหมือนโรคร้ายที่แพร่ระบาดไปทั่ว และกัดกินทุกอย่างที่พวกมันไปถึง ทั้งในจักรวาลทวีปใหญ่ และในอาณาจักรคลื่นโบราณ และสร้างความพินาศไปทั่ว สร้างความเสียหายอย่างหนัก
แต่ซู่เสี่ยวไป่ไม่คิดว่า สิ่งที่อาณาจักรคลื่นโบราณทำกับจักรวาลทวีปใหญ่จะหนักกว่า
พวกมันแทรกซึมเข้าไปทุกที่ ตั้งแต่ระดับล่างๆ ขึ้นไปถึงระดับสูงของพิภพ หากว่าเมื่อไรที่อาณาจักรคลื่นโบราณเปิดศึกเต็มตัวไม่อย่าจะคิดเลยว่าจะเหลือพิภพมหาพันภพหลักกี่ภพกัน
จาก 3,600 แห่งคงเหลือ 360 แห่งในพริบตา!
“ถึงอย่างนั้นอาณาจักรคลื่นโบราณก็ยังไม่กล้าลงมือทำอะไรตามใจ นั้นแปลว่าในจักรวาลทวีปใหญ่ยังมีบางสิ่งที่ทำให้พวกมันหวาดกลัวได้อยู่ และเป็นไปได้ว่าสิ่งนั้นจะต้องพลิกสถานการณ์ทั้งหมดได้”
“หากว่ามีสิ่งนั้นอยู่จริง อาณาจักรคลื่นโบราณคงต้องทำให้แน่ใจก่อนว่ารับมือกับสิ่งนั้นได้แล้ว”
“ถึงจะลงมือ….”
“แต่ก่อนหน้านั้น…..เราเอาเวลาต่อจากนี้ไปเก็บเกี่ยวสมบัติปล้นชิงจากตัวตนอัจฉริยะทั้งหลายดีกว่า!”
จากสายตาที่ดูลึกล้ำก็เปลี่ยนเป็นสายตาที่เจ้าเล่ห์ทันที
เขาได้ถามเรื่องการประลองกับหลิงทิงแล้วด้วย และได้คำตอบว่าการประลองจะเกิดขึ้่นในอีกหนึ่งปีครึ่ง
แต่หลิงทิงบอกว่าเขานั้นเป็นศิษใหม่ของนิกาย จึงไม่เหมาะที่จะเข้าร่วมการประลองนั้น เพราะมันอันตรายเกินไป
เพราะหลิงทิงเห็นว่าซู่เสี่ยวไป่มีความกระตืนรือร้นอย่างมากในเรื่องนี้ จึงได้ห้ามปรามเขาไว้ก่อน
แต่ซู่เสี่ยวไป่กลับคิดว่าการประลองอัจฉริยะจักรวาลนั้น จะมีแต่ยอดอัจฉริยะจากทั่วทุกมุมของจักรวาลมารวมตัวกัน มันก็เลยกลายเป็นแหล่งรวมสมบัติล้ำค่าไปด้วย
หากเขาทำการสังหารหมู่ และเก็บเกี่ยวสมบัติของเหล่าอัจฉริยะทั้งหมดมา เขาจะร่ำรวยขนาดไหน!
ในเวลาเดียวกันซู่เสี่ยวไป่เองก็ได้รู้อีกเรื่องจากหลิงทิงอีกว่า กาประลองอัจฉริยะจักรวาลนั้น เป็นการประลองฝีมือระหว่างจักรพรรดิบรรพชนของนิกาย
หากจะพูดอีกนัยหนึ่งนั้นก้คือ ผู้ที่จะเข้าร่วมการประลองนั้นไม่ว่าจะมีขอบเขตพลังสูงเท่าไรก็ไม่สนใจขอเพียงแค่มีตบะบ่มเพาะไม่เกินเขตแดนจักรพรรดิบรรพชนก้าวที่ 10 ก็พอ!
หากว่าเป็นแก่นแท้บรรพชนหรือสูงขึ้นไปไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมการประลองเด็ดขาด
แปลว่าไม่ได้มีปัญหากับเขตแดนกึ่งบรรพชนอย่างซู่เสี่ยวไป่ถ้าจะลงแข่ง!
หากว่ายินยอมที่จะเสี่ยงชีวิต และมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนก็สามารถที่จะเข้าร่วมการประลองได้!!
แต่ถึงอย่างงั้นก็มีกึ่งบรรพชนไม่กี่ตนเท่านั้นที่เข้าร่วมการประลองในอดีต เนื่องจากความต่างของเขตแดนใหญ่ 1 เขตแดน หากว่าเขาฉายแววขึ้นมาได้ และมีโอกาสได้แสดงฝีมือแล้วยังไม่ตาย ก็มีหลายตัวตนที่ยินดีจะรับกึ่งบรรพชนผู้นั้นไปเป็นศิษทันที ทำให้การประลองนี้เป็นที่สนใจจากเหล่าอัจฉริยะทั่วจักรวาล
และหากว่าเขานั้นสามารถลงมือสังหารอัจฉริยะได้สักคน โดยที่มีเขตแดนกึ่งบรรพชน มันจะสร้างความสนใจได้มากพอจนตัวตนโบราณนั้นมองลงมา และให้ความสนใจ และมีโอกาสที่เขาจะรับตัวตนนั้นเป็นศิษ!
“หลิงทิงบอกด้วยว่าในการประลองอัจฉริยะจักรวาลนั้น มีแต่ปีศาจและอสูรกายมากมายที่ยากจะหยั่งถึง ขอบเขตพลังของพวกเขามีตั้งแต่แก่นแท้บรรพชน บรรพชนสูงสุด แม้แต่เทียบเท่ากับเขตแดนบรรพชนบรรพกาลก็มี!!”
“แต่พลังของเราในตอนนี้แค่บรรพชนสูงสุด ก็ถือว่าเหนือกว่าเกณฑ์มาตรฐานแล้ว”
“แต่ก็ยังห่างไกลกับบรรพชนสูงสุดระดับสูง…”
และเงื้อนไขการเข้าร่วมการประลองนั้นมีเพียงข้อเดียว ขอแค่มีตบะบ่มเพาะไม่เกินเขตแดนจักรพรรดิบรรพชน นอกนั้นจะไม่คิดถึงเรื่องเผ่าพันธ์ หรือพิภพ ไม่คำนึงถึงนิกายที่สังกัด หรือไม่เสียดายชีวิต ก็สามารถเข้าร่วมได้ทั้งหมด
นั้นหมายความว่าการประลองนี้เปิดรับอัจฉริยะจากทุกแห่งในจักรวาล
ถึงแม้ว่าจะมีเหล่าอัจฉริยะที่บ่มเพาะอีกแค่ 1 วันก็จะทะลวงเขตแดนแก่นแท้บรรพชนเข้าร่วมได้ด้วย และมันฟังดูไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไร
แต่ในจักรวาลแห่งนี้หากพูดกันตามตรง เราจะไปถามหาความยุติธรรมกับใครได้?
หากกลัวตาย ก็ไม่ต้องเข้าร่วมก็สิ้นเรื่อง?
ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบเวลาการฝึกบ่มเพาะของเขากับเหล่าอัจฉริยะที่ฝึกฝนกันมาเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นล้านปีนั้นซู่เสี่ยวไป่ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่พึ่งหัดคลาน
แต่ซู่เสี่ยวไป่เข้าร่วมการประลองไม่ใช่เพื่อหวังของรางวัลจากการแข่งขันหรือชื่อเสียง เขาต้องการที่จะไล่ฆ่าปล้นเหล่าอัจฉริยะอย่างเปิดเผยและชอบธรรมโดยไม่ถูกคิดบัญชีตามหลัง!
แต่เพื่อจะทำการนั้น เขาจะต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเองเสียก่อน!
“เราเป็นศิษของนิกายมหาอำนาจแล้ว และเป็นศิษส่วนตัวของผู้อาวุโสนิกาย เราต้องใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์!”
“อย่างน้อยๆ ช่องมิติต่างๆ หรือช่องมิติกาลเวลาที่พาไปยังพิภพมหาพันภพอื่น เราเองก็น่าจะมีสิทธิ์เข้าไปใช้ได้ และรู้ช่องทางไปหาพิภพมหาพันภพใหม่ๆ!”
“แล้วที่นี้จะไม่มีพิภพไหนหลบซ่อนพ้นสายตาของเราได้อีก!”
เหตุผลที่ซู่เสี่ยวไป่เข้าร่วมนิกายคืออะไรกันแน่?
หนึ่งในเหตุผลนั้นก็เพื่อจะใช้ฐานะของตัวเองในนิกายเพื่อสืบหาข้อมูลที่ตัวตนทั่วไปเข้าไม่ถึง และไม่สามารถซื้อได้!
หากได้ยืนในจุดที่สูง ก็ยิ่งเห็นทุกอย่างได้ไกลขึ้น!
“เราต้องไปแล้ว”
เหลือแค่ลงมือทำเท่านั้น
ซู่เสี่ยวไป่ออกจากมิติโลกส่วนตัว และออกไปจากที่พักของตัวเองทันที มุ่งหน้าไปยังส่วนอื่นๆ ของนิกาย
สิ่งที่ทำให้นิกายแห่งนี้เป็นนิกายมหาอำนาจได้นั้น ไม่ใช่เพียงเพราะขุมอำนาจที่ทรงพลัง มันคือทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่ภายในนิกายด้วย!
ที่ร่ำรวยกว่าโลกภายนอก และหนึ่งในนั้นคือวิชาที่นิกายถือครอง!
จากวิชาระดับต่ำสุดจนไปถึงวิชาระดับบรรพชนสามารถหาแลกเปลี่ยนได้ที่หอวิชา แต่ทองคำเอกภพนั้นใช้แลกเปลี่ยนไม่ได้ แต่สิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนได้นั้นคือแต้มนิกาย
เช่นเดียวกันกับหอยา หอศาสตรา และหอรวมสมบัติ และทุกสิ่งที่ต้องการนั้นสามารถแลกได้ด้วยแต้มนิกาย!
“วิชาฝึกฝนการบ่มเพาะนั้นแพงเกินไป ไม่คุ้มที่จะแลก”
“เราไม่ต้องการยา ยุทธภัณฑ์หรือสมบัติ”
“ตอนนี้มีเพียงช่องมิติของนิกายเท่านั้นที่เราสนใจจะใช้และด้วยฐานะศิษของผู้อาวุโสทำให้ได้รับส่วนลด 8 ใน 10 ส่วนจากการแลกซื้อสิ่งของต่างๆ ด้วยแต้มนิกาย”
“ถึงอย่างงั้นก็เถอะเรายังต้องหาแต้มนิกายจากไหน”
“เอ๋….ดูเหมือนว่ามันจะมีภารกิจของทางนิกายที่หากรับมาทำแล้ว จะได้แต้มนิกายตอบแทน”
ซู่เสี่ยวไป่นั้นเดินเตร็ดเตร่อยู่ในโถงของนิกายและดูป้ายสลักแนะนำสิ่งต่างๆ ให้กับศิษสาวก
สิ่งที่เขาต้องการนั้นคือแต้มนิกาย
ตอนนี้เรื่องช่องมิตินั้นเขาไม่กังวลอีกเขาสามารถใช้เดินทางไปยังพิภพมหาพันภพได้ตามที่ต้องการ
และหลังจากนั้นก็แค่ส่งเงาออกไปจัดการเก็บกวาดทุกอย่าง
แต่การจะใช้ช่องมิติหนึ่งครั้งต้องใช้แต้มนิกายถึง 50 ล้านแต้ม!
สำหรับซู่เสี่ยวไป่ที่ได้รับส่วนลดจะเหลือแค่ 10 ล้านแต้ม
แต่มีภารกิจในนิกายหลายภารกิจที่ให้ค่าตอบแทนเป็นล้านแต้มเช่นเดียวกัน ทำให้ซู่เสี่ยวไป่นั้นมองหาภารกิจระดับสูงของนิกาย
ไม่ต้องพูดว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนในการทำภารกิจให้สำเร็จ สำหรับซู่เสี่ยวไป่ต้องถามว่ามีภารกิจให้เขาทำพอหรือไม่?
“ศิษน้องเล็ก ไหนทำหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้เล่า”
อยู่ๆ ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลังของซู่เสี่ยวไป่
เสียงนี่ทำให้ซู่เสี่ยวไป่ถึงกับคิ้วขมวดเข้าหากันทันที
ก่อนที่จะหันหัวไปอย่างช้าๆ และพบว่าเสียงนั้นเป็นของเด็กหนุ่มดูเจ้าสำราญในชุดสีน้ำเงิน พร้อมกับคาบต้นหญ้าไว้ในปาก ใช่แล้วเขาคือไต๋หลาน!!